ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 123
บทที่ 123 ช่องว่างระหว่างวัยขนาดใหญ่
หลังให้คูปองอาหารและเงินกับเม่ยเจี่ยแล้ว หลินชิงเหอก็แบกสิ่งของเหล่านี้กลับบ้าน
มันยังเช้าอยู่เมื่อเธอกลับมาถึงบ้าน แต่เธอยังต้องหุงหาอาหารให้หมูอีกครั้งในช่วงนี้ หมูทั้งคู่ในสวนหลังบ้านได้เติบโตขึ้นกลายเป็นหมูอ้วนตัวใหญ่ไปแล้ว พวกมันเลยหิวเร็วมาก
ตอนนี้เป็นเวลาที่พวกมันต้องสร้างกล้ามเนื้อ หลินชิงเหอจึงเลี้ยงมัน
เธอทำงานหนักไปได้ครู่หนึ่งขณะท่านแม่โจวมาหาพร้อมกับอุ้มซูเฉิงน้อยมาด้วย
ท่านแม่โจววางซูเฉิงน้อยไว้ในห้องให้เขาเล่นอะไรด้วยตัวเองก่อนจะออกมาช่วยลูกสะใภ้ทำงาน
แต่หลินชิงเหอก็บอกนาง “ไม่มีอะไรมากแล้วค่ะคุณแม่ ไปพักผ่อนเถอะค่ะ”
“ไม่จำเป็นต้องพักหรอก แค่เลี้ยงหลานเองฉันจะเหนื่อยได้ยังไง” ท่านแม่โจวตอบ
หลินชิงเหอจึงมอบงานปรุงอาหารหมูให้นางแล้วเอ่ยขึ้น “ทำไม่คุณพ่อถึงไม่มาทานอาหารเช้าที่นี่ล่ะคะ”
“ปล่อยให้คุณพ่อกินข้าวเช้าที่บ้านเถอะ” ท่านแม่โจวไม่คิดว่าเธอจะพูดแบบนี้ นางตอบหลังจากอึ้งไปได้ครู่หนึ่ง
“อย่างดอาหารมื้อนี้เลยค่ะคุณแม่ คุณแม่ต้องตื่นกลางดึกให้ซูเฉิงได้ดื่มนมนะคะ ไม่จำเป็นต้องตื่นเช้ามาทำอาหารเลย แค่บอกให้คุณพ่อมาทานอาหารที่นี่ ฉันจะทำกับข้าวเตรียมไว้พร้อมกัน มันค่อนข้างจะสะดวกอยู่นะคะ” หลินชิงเหอแนะนำ
เธอยังไม่ได้คุยเรื่องนี้กับโจวชิงไป๋ แต่ถึงอย่างนั้นคู่สามีภรรยาคู่นี้ก็มีความคิดเหมือนกันอยู่แล้ว
พวกเขามาทานอาหารกลางวันกับอาหารเย็นด้วยกัน ดังนั้นก็มาทานอาหารเช้าด้วยเลยจะเป็นไรไป?
ท่านแม่โจวยิ้มกริ่มเมื่อได้ยินดังนี้ “ก็ได้ ฉันจะบอกเขาให้เมื่อเขากลับมานะ”
“ฉันบอกคุณพ่อตั้งแต่ตอนที่ไปส่งข้าวเที่ยงแล้วค่ะ” หลินชิงเหอตอบ
“ได้สิ” ท่านแม่โจวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
หลินชิงเหอนำเนื้อแดงออกมาและสับละเอียด เธอกำลังจะทำชุนปิ่งเป็นอาหารกลางวัน และตอนนี้ก็กำลังทำไส้หมูสับอยู่ ซึ่งไม่ต้องบอกเลยว่ามันจะมีรสชาติดีขนาดไหน
ท่านแม่โจวเห็นดังนี้ก็ไม่ว่าอะไร
ตอนนี้นางเปิดใจแล้ว สะใภ้สี่อยากทำอะไรก็ทำได้ตามต้องการ ส่วนนางกับคู่ชีวิตชราก็ทำเพียงเก็บเงินให้หลานชายทั้งสาม
สะใภ้สี่ยังคงซื้อเนื้อกลับมาให้นางกับสามีของนางกินได้ นางไม่สนใจว่าพวกเขาจะกินอะไรหรือจะทำอะไรกินยามเห็นนางกับสามีนางมาร่วมโต๊ะอาหารด้วย ทุกอย่างควรจะเป็นอย่างที่ควรเป็น
ท่านแม่โจวจะบ่นอะไรได้ล่ะ?
อาหารกลางวันของวันนี้เป็นชุนปิ่ง แม้การกินชุนปิ่งจะไม่เข้ากับฤดูนี้สักเท่าไหร่นัก แต่ชุนปิ่งก็ทำง่ายและทานง่าย
ภายในเป็นแตงกวาแท่ง หมูสับกลิ่นหอม และต้นหอมซอย มันให้รสชาติแสนอร่อยอย่างไม่ต้องสงสัยยามห่อพวกมันเข้าด้วยกันในแป้งแผ่นบาง
นอกจากนี้ยังมีซุปไข่คนมะเขือเทศอีกหนึ่งหม้อ ทำให้คนทานรู้สึกคล่องคอสบายท้องนัก
หลินชิงเหอบอกท่านพ่อโจวว่าเขาสามารถมาทานอาหารเช้าที่บ้านของเธอได้
ท่านพ่อโจวหัวเราะและบอกว่าชิงไป๋เองก็บอกเขาเรื่องนี้ในเช้านี้เหมือนกัน
โจวชิงไป๋ยิ้มกริ่มให้ภรรยา เขากับเธอช่างรู้ใจกันดีเหลือเกิน
หลินชิงเหอเองก็กลั้วหัวเราะ เห็นว่าพวกเขากินอิ่มคลายกระหายกันแล้ว เธอก็เก็บข้าวของกลับบ้าน
การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงนี้ช่างเหน็ดเหนื่อยจริง ๆ
หลินชิงเหอจัดการเชือดไก่ที่บ้านไปหนึ่งตัวเพื่อนำไปตุ๋น
ทั้งครอบครัวมารวมตัวกันเพื่อทานอาหารด้วยกัน พวกเขาจะทานไก่ตัวหนึ่งราวทุกครึ่งเดือน ดังนั้นจึงมีไก่สองตัวถูกทานเพื่อบำรุงร่างกายในช่วงการเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วง
ท่านแม่โจวดื่มน้ำแกงพร้อมกับทานเนื้อไก่เป็นจำนวนมาก
ในคืนแห่งวันสิ้นสุดการเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วง ทุกคนต่างรู้สึกโล่งใจ
ท่านแม่โจวนอนบนเตียงเตาพร้อมกับสามีชราและเอ่ยขึ้นมาอย่างเป็นห่วง “ไม่แปลกเลยว่าทำไมสะใภ้สี่ถึงผอมนัก จากที่ฉันเห็น หล่อนกินข้าวทุกมื้อน้อยมากเลย”
นางเห็นเพราะว่าพวกเขาทานข้าวด้วยกัน ในขณะที่ทาน หล่อนทานเพียงข้าวชามเดียวหรือไม่ก็หมั่นโถวครึ่งลูก แถมหล่อนยังชอบทานผักมากกว่าอีกต่างหาก โดยเหลือเนื้อไว้ให้อาสี่กับเด็ก ๆ
“สะใภ้สี่เป็นคนดีเหมือนกันนะ” ท่านพ่อโจวแสดงความเห็น
นับตั้งแต่อาสี่ลาออกมา สะใภ้สี่ก็เปลี่ยนไป ตัวหล่อนในตอนนี้นับว่านิสัยดีโดยแท้ ต่อให้หล่อนไม่สามารถเก็บเงินได้เนื่องจากอาหารการกินที่ทำ แต่หล่อนก็เสียเงินไปกับแค่เรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าหล่อนทำอาหารทั้งหมดนี้เพื่ออาสี่กับหลานชายทั้งสามหรอกหรือ?
แล้วยังจะมีอะไรพูดเกี่ยวกับหล่อนอีกล่ะ?
ท่านแม่โจวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่าสะใภ้สี่เสแสร้ง สะใภ้สี่ไม่มีทางแสดงละครต่อหน้าสามีภรรยาชราอย่างพวกเขาอยู่แล้ว หล่อนมักเป็นคนประเภทบอกหนึ่งก็คือหนึ่ง ทำสองก็คือสอง
สิ่งที่หล่อนทานมากที่สุดก็คือผักต่าง ๆ เหล่านั้น บ่อยครั้งทีเดียวที่เห็นหล่อนถือมะเขือเทศในมือหรือไม่ก็กำลังทานแตงกวาเป็นอาหารว่าง
“ต้องบอกว่าตอนนี้เจ้าสามตัวไม่เล็กแล้วนะ ทำไมสะใภ้สี่ถึงไม่มีวี่แววว่าจะท้องอีกล่ะ?” ท่านแม่โจวเอ่ย
ท่านพ่อโจวตอบ “พวกเขามีลูกชายกันสามคนแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีคนที่สี่แล้วล่ะ บอกอาสี่ให้ทำหมันซะ”
หากมีมากกว่านั้น พวกเขาสองสามีภรรยาชราคงไม่อาจเก็บเงินเพื่อแต่งหลานสะใภ้ได้แน่
“ลูกชายน่ะพอแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเขายังไม่มีลูกสาวหรือ” ท่านแม่โจวกระซิบ
“คุณรับประกันได้ไหมล่ะว่าจะเป็นลูกสาว? ถ้าเกิดพวกเขาได้ลูกชายอีกคนล่ะ?” ท่านพ่อโจวแย้งกลับ
ท่านแม่โจวอยากจะบอกเหลือเกินว่าถ้าท้องลูกชายแล้วก็แค่คลอด ในยุคนี้ใครที่ไหนจะดูถูกกันว่ามีลูกชายมากเกินไป?
แต่เมื่อนึกถึงการใช้ชีวิตของสะใภ้สี่แล้วนางก็ไม่พูดอะไร อีกอย่างหนึ่งสะใภ้สี่ก็มีความสามารถในการให้ลูกชายมากทีเดียว
ถ้าหล่อนเกิดท้องอีก ก็มีโอกาสมากว่าจะได้ลูกชาย
ไม่ว่าพวกเขาสองคนจะเก็บเงินได้มากกว่านี้อย่างไร มันก็คงไม่เพียงพอที่จะเป็นของขวัญให้กับหลานชายทั้งสี่ อีกอย่างหนึ่งพวกเขาก็มีอายุเกิน 60 ปีแล้ว ต่อไปก็คงจะทำงานต่อได้อีกไม่นาน
โดยไม่รู้เลยว่าพ่อแม่สามีคิดอย่างไรกับอนาคตของลูกชายเธอ หลินชิงเหอก็กำลังหมดแรงจากการถูกโจวชิงไป๋จับพลิกไปพลิกมาจนเธอแทบจะกลายเป็นปลาแดดเดียวอยู่แล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ลืมที่จะบอกให้โจวชิงไป๋หยุด “คุณไม่พักเก็บแรงไว้หน่อยเหรอคะ?”
“ผมกำลังพักอยู่น่ะ” โจวชิงไป๋กอดเธออย่างพึงพอใจ
ในตอนนี้เป็นปลายเดือนตุลาคมแล้วและอากาศก็เย็นลงเล็กน้อย หลินชิงเหอจึงไม่รู้สึกร้อนเกินไปยามที่ถูกเขากอด เธอปล่อยให้เขากอดได้ตามใจและเอ่ยขึ้นมา “เริ่มจากพรุ่งนี้คุณทำงานที่สวนหลังบ้านต่อนะคะ!”
การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงสิ้นสุดแล้ว เขาควรทำในสิ่งที่ต้องทำเสียที
โจวชิงไป๋ตกลงและพูดถึงเรื่องที่จะไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายหลังจากนั้น
“รอจนกว่าการเก็บตัวหน้าหนาวจะมาถึงเถอะค่ะ” หลินชิงเหอบอกได้เพียงเท่านี้
เมื่อใดที่ถึงการเก็บตัวฤดูหนาว เธอจะเป็นคนอธิบายให้เขาฟังเองในตอนนั้น ส่วนตอนนี้อย่าเพิ่งปล่อยให้ความโกรธส่งผลกระทบต่อสุขภาพของชายคนนี้เลย
เธอรู้ดีว่าเขาต้องการมีลูกสาวมากขนาดไหน หากเธอทำได้เธอก็จะยอมทนเจ็บคลอดให้เขาสักคน
แต่มันเป็นไปไม่ได้จริง ๆ เธอตัดท่อนำไข่ทำหมันไปแล้ว
“รีบนอนเร็วค่ะ” หลินชิงเหอแนะ
พรุ่งนี้เป็นวันแจกจ่ายอาหาร เธอต้องขนอาหารบางส่วนกลับมาบ้านให้มากขึ้นแล้วค่อยนำไปขายหารายได้
การแจกจ่ายอาหารถือเป็นงานใหญ่ประจำหมู่บ้าน หลินชิงเหอจึงเรียกโจวต้งให้มาช่วยเธอ
เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เธอก็จะได้ขนธัญพืชใส่รถเข็นของโจวต้งกลับไปด้วยกัน
ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวมอบรายการอาหารให้กับโจวชิงไป๋เพื่อขอให้เขาแบกอาหารกลับมาสองส่วน
ใช่แล้ว แบกกลับมาที่บ้านของลูกชายคนเล็กนั่นแหละ
หลินชิงเหอเห็นโจวชิงไป๋หยิบรายการอาหารของพ่อแม่สามีออกมาแล้วก็เงียบไป
เธอไม่ได้คิดจะเป็นคนจัดการอาหารสามมื้อของสามีภรรยาชราคู่นี้ เธอทำอาหารให้ก็เพราะว่าการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงมันลำบากเกินไป สามีภรรยาคู่นี้ก็แค่ทำงานหนักเกินไป เธอเลยคิดว่าจะทำอาหารเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือปริมาณที่มากขึ้นเพื่อให้พวกเขาไม่ลำบากต้องทำอาหารกันเองเท่านั้น
แต่ดูเหมือนว่าพ่อแม่สามีจะคิดว่าพวกเขาสามารถมาร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวของเธอได้ในภายภาคหน้าเสียแล้ว…
“มีอะไรเหรอ?” โจวชิงไป๋ถามยามเห็นหญิงสาวมองรายการอาหารด้วยสายตางุนงง
หลินชิงเหอเห็นการแสดงออกและความคิดที่ เป็นธรรมชาติ ของเขา เรื่องนี้เป็นช่องว่างระหว่างวัยขนาดใหญ่ระหว่างเธอกับชายคนนี้จริง ๆ เธอจะพูดอะไรได้ล่ะ?
ก็ทำได้แค่ยอมรับน่ะสิ!
ตราบใดที่ท่านแม่โจวไม่มายุ่งว่าเธอจะทำอะไรหรืออาหารที่เธอทำมันหรูหราเกินไปไหม มันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้านางมายุ่งเมื่อไหร่ ในวันข้างหน้าก็ต่างคนต่างกินเหมือนเดิมแล้วกัน
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ท่านพ่อโจวเสียงแตกแล้วหนึ่งเรื่องที่ไม่อยากให้ชิงเหอมีลูก แกคงคิดน่ะค่ะว่าหากสามหน่อมีน้องชายเพิ่มมาอีกคน คงลำบากแกกับแม่โจวต้องเก็บเงินเผื่อให้อีก เพราะดูท่าสะใภ้สี่ก็คงไม่มีเงินแต่งภรรยาให้ทั้งสี่หน่อ
แต่อย่างไรก็ตาม พ่อก็ยังไม่เลิกกินแม่ค่ะ ฮ่า
เหมือนตอนนี้ชิงเหอถือเผือกร้อนอย่างไรไม่รู้ที่ออกปากทำอาหารให้พ่อแม่สามีกิน ทำได้แค่ภาวนาว่าขอให้ท่านแม่โจวไม่จู้จี้กับนางแล้วกันค่ะ
ไหหม่า(海馬)