ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 126
บทที่ 126 ภรรยาผู้มีความลับมากมาย
หญิงสาวเริ่มลงมือถักเสื้อกั๊กของโจวชิงไป๋ก่อน ส่วนเสื้อกั๊กของเด็กชายจอมทะเล้นทั้งสามเธอค่อยหาเวลาว่างมาทำทีหลัง
เจ้าใหญ่เองก็เอาแต่พูดว่าพ่อของเขาเป็นคนสำคัญที่สุดในใจของเธอ หลินชิงเหอเห็นด้วยอย่างตรง ๆ และบอกว่าต่อให้พวกเขาทั้งสามคนมัดรวมกันก็ยังแทนที่พ่อในใจแม่ไม่ได้
เจ้าใหญ่ส่งเสียงออกมาอย่างใจสลาย เจ้ารองเองก็ทำท่าว่าใจสลายเหมือนกัน ขณะที่เจ้าสามกระซิบกับพ่อขอต่อรองตัวแม่คืนและบอกว่าเขาไม่อาจเห็นแก่ตัวเก็บแม่ไว้คนเดียวได้
โจวชิงไป๋รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นจนมุมปากโค้งขึ้นไม่หุบ
หลินชิงเหอไม่รู้เลยว่าตนเองตกหลุมพรางของชายคนนี้ไปแล้ว เธอเดินมาหาโจวชิงไป๋เพื่อเทียบขนาดเสื้อกันหนาวกับตัวเขา และจ้องมองทั้งสอง “พวกคุณสองคนพึมพำอะไรกันน่ะ?”
“ไม่มีอะไรครับ” เจ้าสามบอก
“ปล่อยให้พ่อไปทำงานสิ อย่าถ่วงเขาไว้” หลินชิงเหอเอ่ยไล่
ตอนนี้หมดการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงไปแล้ว แม้งานที่ต้องทำในแต่ละวันจะยังเหนื่อยยาก แต่เขาก็ไม่ได้ทำงานหามรุ่งหามค่ำเหมือนอย่างตอนเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง หลินชิงเหอจึงโยนงานทำความสะอาดเล้าหมูกับเล้าไก่ในสวนหลังบ้านให้โจวชิงไป๋ทำอย่างใจดำ
ท่านแม่โจวกับท่านพ่อโจวรอจนกระทั่งเกือบถึงเวลาอาหารเย็นก่อนจะมาหาที่บ้านสะใภ้สี่ แต่อาหารเย็นวันนี้ล่าช้าออกไปเล็กน้อยเพราะหลินชิงเหอนั่งถักเสื้อไปด้วยเอ็ดลูกชายทั้งสามไปด้วยจนเกิดความล่าช้า
หลินชิงเหอเข้าไปในห้องครัว ขณะที่โจวชิงไป๋ทำความสะอาดเล้าหมูและเล้าไก่ในสวนหลังบ้าน ซึ่งตอนนี้ท่านแม่โจวเห็นแล้วก็ไม่รู้สึกปวดใจอีกต่อไป
หลังจากที่นางมาที่นี่บ่อยขึ้น นางก็พบว่าสะใภ้สี่ไม่มีเวลาว่างเลย เธอทั้งปะชุนเสื้อผ้าให้เด็ก ๆ หรือไม่ก็ทำอาหารกับเครื่องดื่มอร่อย ๆ ให้พวกเขา
เธอไม่ได้บำรุงตัวเองมากนัก
แล้วท่านแม่โจวจะตำหนิอะไรได้?
นางปล่อยให้ซูเฉิงน้อยอยู่กับเจ้ารอง ซึ่งเด็กชายที่เหลือก็มาดูแลเขาขณะที่นางเข้าไปช่วยงานในครัว
“คุณแม่ไม่ต้องช่วยหรอกค่ะ มีแค่สามจานนี้เอง” หลินชิงเหอเอ่ย
วันนี้มีไข่เจียวแตงกวาผัด หมูสับกับเต้าหู้ และแกงจืดสาหร่ายกุ้งแห้ง เคียงกับหมั่นโถวข้าวโพด
มันเป็นอาหารง่าย ๆ แต่ยังอร่อยอยู่ เพราะหลินชิงเหอใส่น้ำมันลงไปมาก อาหารเหล่านี้จึงหอมชวนรับประทานอย่างยิ่ง
ท่านแม่โจวเห็นหญิงสาวทำงานอย่างรวดเร็วและดูเหมือนเธอจะไม่ต้องให้นางช่วยจริง ๆ นางเลยเดินมาที่สวนหลังบ้าน
“แม่” โจวชิงไป๋เห็นนางเดินมาหาจึงร้องเรียก
“วันนี้เมียแกเข้าอำเภอไปซื้อฝ้ายมาแล้วก็ขอให้คนบางคนช่วยทำผ้านวมให้ฉันกับพ่อแกน่ะ” ท่านแม่โจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ชิงเหอบอกผมแล้วว่าผ้านวมกับแม่กับพ่อมันอุ่นไม่พอก็เลยจะทำผืนใหม่ให้น่ะครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้าเป็นการยืนยัน
เห็นว่าลูกชายคนเล็กไม่ได้แย้งอะไรแล้ว ท่านแม่โจวก็ยิ้มกริ่มและเอ่ยต่อ “ฉันคิดว่าชิงเหอทำแค่ผ้านวมให้เราเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าหล่อนจะเอาไหมพรมกลับมาให้ฉันได้ถักเสื้อกันหนาวใส่ด้วย”
“ในเมื่อชิงเหอซื้อให้แล้ว แม่ก็ถักเป็นเสื้อใส่นะครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้า
ท่านแม่โจวได้ฟังแล้วก็ละสายตาไปดูหมูอ้วนสองตัวด้วยความพอใจ “หมูสองตัวนี้ หลังจากนั้นมันต้องให้เนื้อมากแน่ ๆ เลย”
แต่นางก็ชะงักไปเมื่อเห็นว่ามันกินอาหารมากขนาดไหน
“ปีนี้คงแลกเนื้อได้มากทีเดียวครับ ถึงตอนนั้นแม่อยากทานอะไรเหรอครับ?” โจวชิงไป๋ถาม
“พ่อแกกับฉันกินอะไรที่ชิงเหอทำได้หมดแหละ” ท่านแม่โจวยิ้ม
โจวชิงไป๋พยักหน้า อาหารที่ภรรยาทำนั้นอร่อยที่สุด
ไม่นานนักโจวชิงไป๋ก็ทำงานในมือเสร็จเรียบร้อย
ปีนี้หมูสองตัวในครอบครัวเขาจะยังไม่ถูกเชือดจนกว่าจะถึงวันสิ้นปี ในช่วงนั้นเองข้าวสาลีฤดูหนาวจะได้รับการปลูกจนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็จะเป็นหมูของฝ่ายผลิตตัวหนึ่งที่จะถูกเชือดก่อน
โจวชิงไป๋จัดการทำความสะอาดตัวเองก่อนจะเข้ามารับประทานอาหาร
หลินชิงเหอจัดเตรียมอาหารอย่างรวดเร็วและยกสำรับขึ้นโต๊ะ
จากนั้นทั้งครอบครัวก็มานั่งล้อมวงและลงมือทานอาหาร
ในยุคนี้ ทุกบ้านทุกโต๊ะล้วนไม่ขาดผักดองหรือชิ้นผักจานหนึ่ง แต่ในบ้านของเธอกลับเป็นเรื่องยากที่จะเห็น หลินชิงเหอไม่ชอบทานมันเลย บ้านของเธอจึงไม่มีอาหารแบบนี้อยู่
บนโต๊ะอาหารมีอาหารไม่กี่จานเท่านั้น ความจริงแล้วหลินชิงเหอเป็นคนประหยัดสุด ๆ แต่สำหรับผู้คนในยุคนี้แล้วพวกเขากลับมองว่ามันหรูหราอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังทานอาหารเสร็จแล้ว ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวก็อุ้มซูเฉิงน้อยกลับไป
เจ้ารองกับเจ้าสามออกไปวิ่งเล่น หลินชิงเหอจึงมอบงานบ้านให้กับเจ้าใหญ่และเดินกลับเข้าไปในห้องเพื่อนำไหมพรมออกมาเริ่มถักเสื้อ โจวชิงไป๋ออกไปอาบน้ำก่อนกลับเข้ามาในสภาพสดชื่นสะอาดสะอ้าน หลินชิงเหอจึงบอกเขาเกี่ยวกับความใฝ่ฝันของเจ้าใหญ่
“ถ้าเขาสอบผ่านได้ เขาก็ไปเรียนได้” โจวชิงไป๋นั่งลงข้างเธอพลางพยักหน้า
“ฉันไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะมีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไหม หากมันมีล่ะก็ ชิงไป๋ ฉันอยากจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยดูน่ะค่ะ” หลินชิงเหอบอก
โจวชิงไป๋อึ้งไปเล็กน้อย “คุณเองก็อยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหมือ่นกันเหรอ?”
“ถ้าฉันสอบได้ ฉันก็จะสอบค่ะ คุณไม่เห็นด้วยเหรอคะ?” หลินชิงเหอช้อนสายตามองเขา
“ไม่ใช่อย่างนั้น ผมแค่เกรงว่ามันจะเป็นเรื่องยากที่จะมีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยน่ะ” โจวชิงไป๋ส่ายหน้า
“มันเป็นเรื่องยากมากค่ะ แต่ฉันมีลางสังหรณ์ว่ามันจะมีการฟื้นฟูในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะสมัครสอบค่ะ คุณอย่ารั้งฉันเลย” หลินชิงเหอจ้องมองเขา
“คุณแน่ใจได้อย่างไรว่ามันจะมี?” โจวชิงไป๋จ้องมองเธอ
“คนที่มีพรสวรรค์คือสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการพัฒนาประเทศชาติ การจะสร้างและพัฒนาชาติต่อไปได้ย่อมต้องการคนที่มีความรู้เป็นจำนวนมาก ด้วยสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ประเทศของเรากำลังขาดแคลนผู้มีพรสวรรค์ ถึงตอนนั้นจะต้องมีการดำเนินการคัดเลือกผู้มีสติปัญญาต่อไป ฉันเลยคาดเดาว่ามันจะต้องมีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยขึ้นมาใหม่ ถูกไหมล่ะคะ?” หลินชิงเหอเอ่ย
โจวชิงไป๋ไม่ได้เอ่ยอะไร เขามีสีหน้าว่างเปล่า และหัวใจของเขาก็หยุดเต้นไปแล้ว
ภรรยาของเขารู้เรื่องราวอะไรมากขนาดนี้เลยเหรอ?
หลินชิงเหอมองเขาและพยายามอย่างเป็นที่สุดที่จะทำให้มันเป็นเรื่องง่าย มันคงไม่ทำให้เขาหวาดกลัวหรอกใช่ไหม?
“ถ้าเกิดมีการสอบจริง คุณก็ไปสมัครสอบเถอะถ้าคุณต้องการ แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้นอกบ้านนะ” โจวชิงไป๋คืนสติกลับมาได้และมองภรรยาด้วยสายตาจริงจัง
ภรรยาของเขาเหมือนจะร่ำเรียนเขียนอ่านเป็นระยะหนึ่งแล้วเธอก็มองการณ์ไกลถึงขนาดนั้น
พูดตามตรงก็คือโจวชิงไป๋ไม่เคยคิดเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเขาเองเลย เห็นชัดว่าสิ่งที่ภรรยาของเขาบอกนั้นเหมือนเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในอนาคต
ทำไมเธอถึงคิดแบบนี้กัน?
ภรรยาของเขาทำให้เขาคาดเดาไม่ออกอยู่เสมอ
“ทำไมคุณถึงมองฉันอย่างนี้ล่ะคะ? ฉันก็แค่ได้ยินเจ้าใหญ่พูดถึงมหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหารก็เลยมีความคิดในตอนแรกอยากจะลองสอบบ้าง แต่เมื่อคิดถึงตัวฉันที่เป็นผู้หญิงขี้เกียจตัวเป็นขนคนดังของหมู่บ้านแล้ว ฉันคงจะไม่ผ่านการคัดเลือกแน่ ๆ ค่ะ หลังจากนั้นฉันก็เลยคิดถึงเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในอนาคต” หลินชิงเหอเริ่มแก้ต่าง
ได้ยินดังนี้โจวชิงไป๋ก็โล่งใจ เขาพยักหน้า “อย่าพูดเรื่องนี้นอกบ้านนะ”
“ฉันไม่โง่หรอกค่ะ ไม่จำเป็นต้องบอกฉันก็พูดเรื่องพวกนี้แค่กับคุณคนเดียวอยู่แล้ว” หลินชิงเหอกลอกตาใส่เขา
โจวชิงไป๋ยิ้ม
“เมื่อไหร่คุณจะเสร็จจากงานล่ะคะ? ที่บ้านไม่มีฟืนเหลืออยู่แล้วน่ะค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยพลางถักเสื้อต่อ
“ยังยุ่งอยู่อีกครึ่งเดือนเลยล่ะ” โจวชิงไป๋ตอบ
“งั้นเราก็ทนอีกหน่อยได้อยู่ค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า
เห็นเธอนั่งถักเสื้อไหมพรมแล้ว โจวชิงไป๋ก็เอ่ยขึ้นมา “ผมได้ยินคุณแม่บอกว่าคุณซื้อไหมพรมมาให้ท่านกับคุณพ่อส่วนหนึ่งนี่”
“ค่ะ ฉันเห็นว่าที่นั่นมันมีอยู่ ก็เลยซื้อกลับมาด้วย” หลินชิงเหอตอบ
“คุณพ่อกับคุณแม่มีความสุขมากเลยนับตั้งแต่ที่พวกเขามากินข้าวที่นี่” ขณะที่โจวชิงไป๋พูด เขาก็ทอดมองภรรยาด้วยสายตาอ่อนโยนเป็นพิเศษ
หลินชิงเหอยิ้มและเอ่ยตอบ “ในเมื่อพวกเขามีความสุขแล้ว ก็ให้พวกเขามาทานข้าวที่นี่เรื่อย ๆ เลยนะคะ” อย่างมากที่สุดก็แค่เพิ่มปริมาณในการทำเท่านั้นเอง
เจ็ดวันต่อมา หลินชิงเหอก็เดินทางไปรับผ้านวม
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ผู้แปลมีเรื่องจะมาประกาศค่ะ ข่าวดีสำหรับสายอยากสะสมนะคะ ทางเอ็นจอยบุ๊คมีแผนจะเปิดพรีออเดอร์ ‘ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม’ ในแบบรูปเล่มแล้ว! ผู้อ่านท่านใดสนใจพรีออเดอร์รูปแบบเล่ม สามารถติดต่อได้ที่หน้าเพจเฟสบุ๊คของเอ็นจอยบุ๊คเลยค่า ทางสำนักพิมพ์จะได้จัดการตีพิมพ์ตามจำนวนท่านผู้อ่านที่สนใจ ผู้แปลดีใจมาก ๆ ที่เรื่องนี้จะได้มีเล่มให้ได้สะสมกัน สั่งเก็บไว้ไม่มีเสียดายแน่นอน เรื่องนี้สนุกมาก ๆ ครอบครัวคุณแม่รอวันที่จะอยู่บนชั้นหนังสือของท่านผู้อ่านอยู่นะคะ
สำหรับท่านที่ไม่ต้องการเก็บแบบเล่มก็สามารถอ่านแบบรายตอนและ Ebook ได้ตามปกติเลยนะคะ ทางเราจะพยายามแปลให้เร็วที่สุดเลยค่า