ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 198
บทที่ 198 ปีการศึกษาใหม่
แน่นอนว่ามันเป็นมุมมองชีวิตในสายตาของหลินชิงเหอเอง
เธอไม่ได้พูดออกไปดัง ๆ หากท่านแม่โจวจับได้แม้แต่เสี้ยวเดียว นางคงจะคิดมากแน่ ๆ
แตงโมลูกใหญ่ที่นำกลับมาได้ถูกแบ่งกินภายในครอบครัว ซึ่งแต่ละคนได้กินคนละชิ้นและขอมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นเรื่องที่ดี
มีเพียงสองหรือสามครอบครัวในหมู่บ้านเท่านั้นที่สามารถซื้อแตงโมได้
แต่เมื่อหลินชิงเหอเห็นโจวเซี่ยแทะเล็มเปลือกแตงโมที่เจ้าสามกินเสร็จแล้ว เธอก็รู้สึกไม่สบายใจ
หากสะใภ้รองมาเห็นเข้าหล่อนต้องโมโหแน่
“เซี่ยเซี่ย ทิ้งเปลือกแตงโมไปเถอะ” หลินชิงเหอเดินเข้าไปหาและมอบลูกอมสองเม็ดให้เขาเพื่อให้เขาทิ้งเปลือกแตงโมนั้นไป
“ขอบคุณอาสะใภ้สี่ครับ” โจวเซี่ยดีใจอย่างมาก เขาทิ้งเปลือกแตงโมไร้รสชาติไปแล้วรับลูกอมนมไว้แทน
“ตอนนี้หนูเรียนเป็นไงบ้างน่ะ?” หลินชิงเหอถาม
“ผมพยายามฟังอย่างจริงจังอยู่ครับ” โจวเซี่ยได้แต่ตอบไปแบบนั้น
ตอนนี้เจ้ารองเรียนอยู่ในภาคการศึกษาปลายของชั้นประถมปีที่สาม ขณะที่โจวเซี่ยยังคงอยู่ชั้นประถมปีที่สอง เหตุผลที่เขาสอบผ่านมาได้สำเร็จก็เป็นเพราะความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องจากเจ้ารอง ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องซ้ำชั้นแน่
ในหมู่บ้านนี้มีเด็กเรียนซ้ำชั้นอยู่เยอะมาก
แต่ผลการสอบของโจวเซี่ยนับว่าเฉียดฉิวจะสอบตกแหล่ไม่แหล่เหมือนกัน
“ถ้าหนูไม่เข้าใจก็มาถามอานะ” หลินชิงเหอจะพูดอะไรได้อีกล่ะ?
“ครับ” โจวเซี่ยพยักหน้าและกลับบ้านไปพร้อมลูกอม
เขาไม่ได้เขมือบลูกอมทั้งสองเม็ด แต่กลับให้อีกเม็ดหนึ่งกับน้องสาวคนเล็ก
“ทำไมหนูไม่ได้ล่ะ?” โจวลิ่วนีเห็นเข้าก็ถามเขา
“อาสะใภ้สี่ให้มาแค่สองเม็ด ฉันจะให้เธอได้ยังไงล่ะ?” โจวเซี่ยตอบ
โจวลิ่วนีฟังแล้วจึงรู้สึกไม่พอใจ “ชีวิตของคุณอาออกจะดีขนาดนี้ ทำไมหล่อนไม่ให้มาเยอะกว่านี้ล่ะ? ให้มาแค่สองเม็ดเนี่ยนะ! คุณอาซูต้าหลินยังให้เยอะกว่าหล่อนเลย!”
โจวซานนีย่นคิ้ว “น้องพูดอะไรน่ะ?”
“พี่อย่ามายุ่ง!” โจวลิ่วนีพองแก้ม
สะใภ้รองคว้าไม้เรียวเตรียมฟาดสั่งสอน โจวลิ่วนีจึงวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว และมาเตร็ดเตร่ที่บ้านของอาสะใภ้สี่
หลินชิงเหอเห็นหล่อนในตอนที่ออกมารดน้ำ
“อาสะใภ้สี่คะ อาให้ลูกอมกับพี่ชายหนูสองเม็ดเหรอคะ?” โจวลิ่วนีถามด้วยรอยยิ้ม
“อืม” หลินชิงเหอทำเพียงเหลือบมองหล่อน จากนั้นก็หมุนตัวกลับเข้าบ้าน
เธอไม่มีความรู้สึกดี ๆ กับลูกสาวคนรองของสะใภ้รองนัก เด็กคนนี้เป็นคนสองหน้า นิสัยเหมือนแม่ของหล่อนไม่มีผิด
แม้สะใภ้รองจะเว้นระยะห่างจากหวังหลิงแล้ว แต่มันก็มีนิสัยบางอย่างที่ยากจะเปลี่ยนแปลงต่อให้ปรับปรุงตัวแล้วก็ตาม
เมื่อเห็นว่าอาสะใภ้สี่ไม่สนใจ โจวลิ่วนีก็กระทืบเท้า “ผู้หญิงใจร้ายใจดำ!”
พูดดังนี้หล่อนก็หันหลังเตรียมกลับบ้าน แต่เมื่อหันหลังมาก็เห็นเจ้าสามยืนอยู่ข้างหลังด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
โจวลิ่วนีถึงกับสะดุ้งตกใจ “เจ้าสาม นายทำอะไรน่ะ? มาแบบนี้ตกใจแทบตายเลยนะ!”
“คราวหน้าอย่ามาที่บ้านฉันอีกนะ กล้าพูดว่าแม่ของฉันเป็นผู้หญิงใจร้ายใจดำแบบนี้ ฉันว่าคนที่ใจร้ายใจดำที่สุดน่ะคือเธอต่างหาก!” เจ้าสามโต้กลับ จากนั้นก็หันหลังเดินเข้าบ้าน
โจวลิ่วนีแผดเสียงร้องทันที “อย่ามาสั่งฉันนะ!”
เจ้าสามเมินหล่อนเสีย เขาเดินเข้าไปในบ้านและฟ้องแม่ในทันทีว่าโจวลิ่วนีพูดจาให้ร้ายลับหลังเธอ
หลินชิงเหอแค่นเสียงหลังได้ยินดังนี้ “อย่าไปสนใจหล่อนเลย ฟังดูแล้วยัยเด็กคนนี้มีกำพืดไม่ดีนักหรอก”
“ใครมีกำพืดไม่ดีกัน?” ในตอนนี้เองท่านแม่โจวก็ได้กลับมาพอดีพร้อมกับซูสวิ่นน้อย
“ไม่มีอะไรค่ะ” หลินชิงเหอไม่อยากพูดอะไรอีก
เจ้าสามเห็นย่ามาก็รีบฟ้องทันที “โจวลิ่วนีครับ! หล่อนเรียกแม่ว่าผู้หญิงใจร้ายใจดำลับหลังแม่!”
ท่านแม่โจวถึงกับอึ้งไป จากนั้นก็มองหลินชิงเหอ “เกิดอะไรขึ้น?”
“ฉันเห็นเซี่ยเซี่ยเคี้ยวเปลือกแตงโมที่เจ้าสามกินเสร็จแล้วก็ทนไม่ได้เลยให้ลูกอมไปสองเม็ดแล้วบอกให้เขาโยนเปลือกแตงโมทิ้งไป ลิ่วนีไม่ได้ลูกอมก็เลยมาหาฉัน แต่ฉันไม่สนใจหล่อน หล่อนก็เลยไม่พอใจน่ะค่ะ” หลินชิงเหอพูดขณะเลือกวัตถุดิบเตรียมทำอาหาร
เธอไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ โจวลิ่วนีจะเป็นอะไรมันเกี่ยวกับเธอตรงไหนล่ะ?
แต่สุดท้ายแล้วหล่อนก็ยังเด็ก จึงเป็นเรื่องดีกว่าที่จะบอกกับท่านแม่โจวและให้นางไปบอกเรื่องนี้กับสะใภ้รอง คอยดูว่ามันจะช่วยกอบกู้หล่อนและไม่ปล่อยให้ตระกูลโจวผลิตลูกสาวที่สร้างความเกลียดชังได้หรือไม่
นับตั้งแต่ที่หมู่บ้านโจวเจี่ยมีหวังหลิงเป็นกรณีศึกษา ทุกครอบครัวต่างเข้มงวดกวดขันกับลูกสาวของตัวเองมากขึ้น
โดยไม่ต้องบอก ท่านแม่โจวไปพูดเรื่องนี้กับสะใภ้รองทันที นางปล่อยซูสวิ่นน้อยไว้ที่บ้านสะใภ้สี่ขณะไปว่ากล่าวเรื่องนี้กับสะใภ้รอง
สะใภ้รองไม่คิดว่าลูกสาวคนรองของหล่อนจะกล้าอวดดีขนาดนี้ อย่าว่าแต่นินทาลับหลังเลย หล่อนยังถูกเจ้าสามจับได้อีกด้วย
ดังนั้นหล่อนจึงไม่ให้ลูกสาวคนนี้ได้กินหมูผัดหน่อไม้
หลังพี่ชายรองรู้เหตุผลเรื่องนี้ เขาก็ไม่ได้ห้ามหล่อน
เขาเองก็ตำหนิสะใภ้รองเช่นกัน “นิสัยของยัยเด็กคนนี้เหมือนคุณในอดีตไม่มีผิดเลย แต่หล่อนไม่ได้มีเหตุมีผลเหมือนคุณในตอนนี้ ถ้าคุณไม่สนใจสั่งสอนหล่อนดี ๆ ในอนาคตเราคงไม่เหลือหน้าสู้ใครแน่หากเกิดอะไรขึ้น”
แม้สะใภ้รองจะอับอายจนโมโห แต่หล่อนก็ยังตวัดสายตาแข็งกร้าวมาทางโจวลิ่วนี “ถ้าฉันได้ยินแกพูดจาดูถูกผู้ใหญ่อีก ฉันจะหักขาสุนัขของแกซะ!”
โจวลิ่วนีมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนักภายในตระกูลโจว สาว ๆ ในครอบครัวสาขาแรกกับสาขาสามมาเล่นแต่กับโจวซานนี ไม่มีใครมาเล่นกับโจวลิ่วนีเลย
เด็กคนนี้เป็นคนปากร้าย หล่อนไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครหากเกิดอะไรขึ้น ยิ่งกว่านั้นใครจะรู้ล่ะว่าหล่อนได้นิสัยแย่ ๆ แบบนี้มาจากไหน ในเรื่องที่ชอบจับผิดข้อบกพร่องของคนอื่น
แต่ในคราวนี้หล่อนถูกทุบตีอย่างหนักจนผู้คนต่างไร้เหตุผลไปว่าทำไม
โจวต้านีเป็นสาวแล้ว หล่อนเองก็มาห้ามปรามเรื่องนี้ ปีหน้าหล่อนจะได้แต่งงาน ดังนั้นในปีนี้สะใภ้ใหญ่จึงไม่ได้ให้โจวต้านีออกไปทำงานในทุ่งนา แต่ให้อยู่กับบ้านเพื่อช่วยเหลืองานบ้าน ส่วนมากก็เพื่อตั้งใจบำรุงหล่อนเพื่อเตรียมออกเรือน
พูดเรื่องนี้แล้ว เวลาก็ช่างผ่านไปรวดเร็วนัก เพียงแค่พริบตาเดียวโจวต้านีก็เตรียมออกเรือนแล้ว
หลินชิงเหอจดจำเรื่องนี้ไว้ เธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสะใภ้ใหญ่ และยังมีความประทับใจที่ดีกับโจวต้านีอีกด้วย ในเรื่องที่หล่อนเป็นเด็กมีเหตุมีผลดี
เธอจึงตั้งใจจะมอบของขวัญแต่งงานบางอย่าง เธอไม่มีของดี ๆ เหลืออยู่แล้ว จึงวางแผนจะเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ให้โจวต้านีแทน
นี่ถือว่าเป็นของขวัญชั้นยอดเลยทีเดียว
เด็กสาวบางคนในบ้านที่ยากจนอาจไม่มีเสื้อผ้าใหม่ใส่ในตอนที่ออกเรือนไปแล้ว
หลินชิงเหอแจ้งเรื่องนี้กับสะใภ้ใหญ่ล่วงหน้า เพื่อไม่ให้สะใภ้ใหญ่ต้องเตรียมเสื้อผ้าอีกชุดหนึ่ง
บทเรียนของโจวลิ่วนีไม่ได้สร้างแรงสะเทือนใด ๆ มันผ่านไปภายในชั่วข้ามวัน
ตอนนี้เป็นวันที่หนึ่งของเดือนกันยายนแล้ว เจ้าสามเริ่มเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งพอดี โดยหลินชิงเหอไม่มีแผนที่จะให้เด็กคนนี้เลื่อนชั้น แต่ให้เขาเรียนแบบสบาย ๆ
ใครบอกล่ะว่าพื้นฐานของเขาไม่ดีเท่าพี่ชายสองคน เจ้าใหญ่กับเจ้ารองต่างมีความกระตือรือร้นสูงต่างหาก แต่สำหรับเจ้าสามนั้นเขาอยู่ไม่สุขเลยสักนาทีหนึ่ง
เมื่อเขายังเล็กกว่านี้ เขายังนั่งนิ่ง ๆ ได้ แต่ตอนนี้เขากลับซุกซนมากขึ้นเมื่อโตขึ้น
เขามักจะให้ซูเฉิงน้อยปีนต้นไม้ขึ้นไปขโมยไข่นกในรังหรือไม่ก็ออกไปขุดหัวมันเทศในทุ่งอยู่บ่อยๆ !
แล้วหลินชิงเหอทำอะไรได้ล่ะ? เธอได้แต่ตีเขาไปรอบหนึ่งจากนั้นก็ไปขอโทษกับฝ่ายผลิต
แต่ไม่ได้มีแค่ครอบครัวของเธอที่ทำแบบนี้ มันจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทว่าเทียบกับพี่ชายสองคนแล้ว เด็กคนนี้กลับซนมากที่สุด
อย่างไรก็ตามเขาก็ยังมีความสุขมากเมื่อได้เข้าโรงเรียนในวันที่ 1 ของเดือนกันยายน เขารอคอยที่จะได้ไปโรงเรียนมานานแล้ว!
เขาได้เข้าโรงเรียนประถมแห่งเดียวกับพี่ชายคนรอง
ส่วนเจ้าใหญ่ได้ซ้อนท้ายจักรยานของหลินชิงเหอเพื่อไปโรงเรียนมัธยมต้นและเริ่มเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในปีการศึกษาใหม่นี้