ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 220
บทที่ 220 ได้กำไลทองอีกแล้ว
เป็นเพราะพวกเขาได้รับเนื้อส่วนนี้จากเม่ยเจี่ย อาหารที่บ้านจึงยกระดับขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
เรื่องนี้ทำให้ท่านแม่โจวยื่นเงินให้หลินชิงเหอ 10 หยวนจนเธอรู้สึกงงงวย “คุณแม่ให้เงินฉันทำไมเหรอคะ?”
“ซื้อเนื้อเยอะขนาดนี้คงใช้เงินเยอะเลยน่ะสิ” ท่านแม่โจวตอบ
นับตั้งแต่ที่มาร่วมรับประทานอาหารกับลูกชายคนเล็กและลูกสะใภ้ ท่านแม่โจวก็รู้สึกผิดเล็กน้อย นางรู้ว่าสะใภ้สี่ใช้จ่ายหนัก แต่สิ่งที่หล่อนไม่รู้ก็คือเงินที่เธอใช้จ่ายไปก็เพื่อชิงไป๋กับลูก ๆ ทั้งสาม
โจวชิงไป๋มีเสื้อผ้าหลายชุด มีแค่เสื้อกันหนาวเท่านั้นที่มีเพียง 2 ตัว ซึ่งเสื้อสองตัวนี้ล้วนเป็นฝีมือของภรรยา
เช่นเดียวกับเด็ก 3 คน พวกเขาทุกคนได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี
เพราะว่าเจ้าใหญ่ผู้เป็นหลานชายคนโตกำลังเติบโตขึ้น เธอจึงพยายามทำอาหารอย่างมั่นใจว่าเขาจะได้กินแต่ของดี ๆ ทุกวัน จนท่านแม่โจวรู้สึกว่าหากเป็นนางแล้ว นางอาจไม่เต็มใจที่จะเลี้ยงหลานได้ถึงขนาดนี้
ตรงกันข้าม สะใภ้สี่กลับกินอย่างแมวดม เธอกินแต่แตงกวาหรือไม่ก็มะเขือเทศ อย่างมากที่สุดก็กินเนื้อแค่ชิ้นสองชิ้น และกินไข่แค่ฟองเดียวต่อวัน แต่นั่นก็คือทั้งหมดที่เธอกิน
เป็นเพราะความสามารถที่ผ่านมาหลายปีของหลินชิงเหอ ท่านแม่โจวจึงเลือกที่จะลืมว่าเมื่อก่อนหน้านี้เธอดูแลลูกชายของเธออย่างไร
คนเราต้องมองไปข้างหน้า ทิ้งสิ่งเล็ก ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตไปเสีย ทำไมต้องไปฟื้นฝอยหาตะเข็บอีกล่ะ?
เพราะได้กินแต่อาหารดี ๆ นี่เอง จึงเป็นธรรมดาที่ต้องรู้ว่ามันมีต้นทุนสูง นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมท่านแม่โจวจึงออกเงินสมทบให้
หลินชิงเหอหัวเราะในลำคอเมื่อได้ยินดังนี้ “คุณแม่เก็บไว้เถอะค่ะ เนื้อนี่ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าซื้อมาไว้กินเอง ที่บ้านเราก็ยังมีเงินเหลืออยู่ ถ้าไม่มีเงินแล้วฉันถึงจะมาขอคุณแม่นะคะ”
เธอจะรับเงินของแม่สามีไว้ได้อย่างไรล่ะ?
“รับไปเถอะ คุณพ่อขอให้ฉันเอามาให้เธอน่ะ” ท่านแม่โจวยืนกราน
หลินชิงเหอไม่มีความคิดที่จะรับไว้ แต่เมื่อเห็นว่านางอยากให้จริง ๆ เธอจึงรับไว้ “ก็ได้ค่ะ งั้นฉันไม่เกรงใจคุณแม่แล้ว แต่ถ้าคุณแม่ต้องใช้เงินก็บอกฉันนะคะ”
ท่านแม่โจวยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นก็กระซิบบอกเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าใหญ่ “ป้าไฉ่ของเธอมาหาฉันอีกแล้ว และอยากแนะนำเสี่ยวฉาให้กับเจ้าใหญ่ด้วย”
“ตอนนี้ยังเร็วเกินไปค่ะ” หลินชิงเหอตอบ
“ฉันก็บอกไปแบบนั้นเหมือนกัน เพราะคิดว่าในอนาคตเจ้าใหญ่ต้องได้แต่งกับผู้หญิงฉลาดสักคน” ่ท่านแม่โจวบอก นางเองก็มีความคิดแบบนี้เช่นกัน
นางเชื่อว่าเหตุที่หลานชายคนโตเรียนเก่งขนาดนี้ก็เพราะเขาได้ความเก่งกาจมาจากแม่ ไม่อย่างนั้นหากดูแค่ฝั่งตระกูลโจวแล้ว พวกเขาจะผลิตหลานชายที่เรียนเก่งขนาดนี้ได้อย่างไรล่ะ?
เป็นไปไม่ได้หรอก
เรื่องนี้จึงแสดงถึงความสำคัญของการมีคู่ครองที่ดี
หลังเจ้าใหญ่เรียนมาถึงขั้นสูงขนาดนี้ได้ในที่สุดแล้ว ในอนาคตเขาคงต้องหาใครสักคนที่เก่งกาจเหมือนกัน จึงไม่มีเหตุผลเลยที่เขาจะต้องหาหญิงสาวในหมู่บ้าน โดยเฉพาะสาวน้อยเสี่ยวฉา หล่อนแสนดีก็จริง แต่ก็ซื่อเกินไป ไม่สามารถควบคุมหลานชายของนางได้หรอก
ต้องบอกว่าท่านแม่โจวมีความคิดเหมือนกับหลินชิงเหอเช่นกัน
หญิงชรารู้สึกว่ามันคงจะดีกว่าหากเจ้าใหญ่หาผู้หญิงแบบสะใภ้สี่ได้ เพราะหล่อนสามารถควบคุมอาสี่ได้อยู่หมัด แม้อาสี่จะเป็นคนดี แต่ก็ไม่ควรหาใครสักคนที่นิสัยคล้ายกันให้กับเขา
เมื่อดูอาสองแล้ว เขาตกอยู่ใต้อาณัติของภรรยาโดยสมบูรณ์ ไม่มีความหวังเลยสักนิด
อาหนึ่งกับอาสามก็เหมือนกัน ไม่ได้ดีเท่ากับอาสี่เลย
ท่านแม่โจวจึงตัดสินใจว่าหากหลานชายคนโตคิดจะมองหาคู่ครองในอนาคต นางคงต้องเปิดหูเปิดตาและพิจารณาอย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป ทำไมต้องรีบร้อนด้วย?
ตระกูลไฉ่อยากจะตีตราจองเป็นทองแผ่นเดียวกันในตอนนี้เลยงั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ
หลินชิงเหอหัวเราะในลำคอและไม่ได้เอ่ยอะไร ในใจเธอคิดว่าเขาเป็นแค่เด็ก 11 ขวบที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเลยสักนิด ทำไมเขาจะต้องหาภรรยาในตอนนี้ด้วย? ค่อยมองหาในตอนที่เขาอายุ 31 ก็ยังไม่สาย
แต่เจ้าใหญ่ผู้มีความสูง 165 เซนติเมตรตอนอายุ 11 ขวบกับ 6 เดือน มีแรงขับเคลื่อนสูงมาก
ตอนนี้เขาไม่ต้องตั้งใจเรียนและทำเพียงรอจนกว่าจะถึงวันเข้าโรงเรียนมัธยมปลายในวันที่ 1 กันยายน เขาจึงไปทำงานเก็บแต้มค่าแรงกับพ่อของเขาทุกวัน ซึ่งแน่นอนว่าหลินชิงเหอก็ให้เขาร่ำเรียนตำราเรียนของชั้นมัธยมปลายล่วงหน้าเช่นกัน
ส่วนการเรียนของเจ้ารองกับเจ้าสามนั้น เธอไม่ค่อยเข้มงวดนัก พวกเขาสามารถเรียนได้ตามปกติโดยไม่ต้องเร่งรัดหลักสูตร เดิมทีเธออยากให้เจ้าใหญ่ใช้เวลาเรียนหนังสือตามปกติ แต่เพื่อจะคว้าตั๋วรถขบวนแรกของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ เธอจึงต้องผลักดันให้ลูกชายคนโตเรียนอย่างหนัก
และโชคดีที่ทุกสิ่งเป็นไปอย่างที่กำหนดไว้
2 ปีต่อจากนั้นจะมีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยพอดีกับที่เขาจบการศึกษาจากชั้นปีที่สองของโรงเรียนมัธยมปลาย
ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน หลินชิงเหอจึงไม่มีการเรียนการสอน เธอเดินทอดน่องไปทั่วทั้งเมืองในเวลาว่างและนำสินค้าเกษตรจำนวนมากไปขาย
อย่างเช่น ถั่วลิสง งา และถั่วเหลือง ซึ่งในชนบทขายได้ราคาไม่มากนัก แต่ยังขายจนหมดได้เมื่อนำมาขายในเมือง
“แม่หนู เธอยังมีถั่วลิสงพวกนี้อยู่ไหมจ๊ะ? ป้ามีของบางอย่างอยู่ในมือ แต่ไม่รู้ว่าเธออยากจะแลกไหมน่ะจ้ะ” หญิงชราร่างเล็กคนหนึ่งมองดูหลินชิงเหอและเอ่ยกระซิบ
หลินชิงเหอไม่รู้จักนางจึงตอบไปว่า “คุณป้าคะ ของพวกนี้ฉันอุตส่าห์แลกมาได้อย่างยากลำบาก ครอบครัวของฉันต้องใช้เงินจริง ๆ ค่ะ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ทำแบบนี้หรอก”
เธอปฏิบัติกับคนที่ไม่รู้จักแบบนี้ เธอไม่อาจแสดงท่าทางว่าตกลงในทันทีที่มีการแลกของ ใครจะรู้ล่ะว่าอีกฝ่ายเป็นสายลับหรือเปล่า?
“อย่าปิดบังฉันเลยจ้ะ มองแว๊บเดียวป้าก็รู้แล้วว่าเธอเป็นระดับมืออาชีพ ลูกชายสองคนของป้ามีงานทำอยู่ แต่เมื่อไม่มีคูปองส่วนแบ่งอาหารแล้วหลานป้าก็อดอยาก ป้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อสอบสวนอะไรเธอหรอกจ้ะ” หญิงชราร่างเล็กกระซิบ
ได้ยินดังนี้ หลินชิงเหอก็ยิ้ม “คุณป้าอยากแลกมันด้วยเงินหรืออะไรเหรอคะ?”
“มากับป้าเถอะจ้ะ” หญิงชราร่างเล็กเอ่ย
หลินชิงเหอเดินตามไป ในยุคนี้ผู้คนต่างพากันหวาดกลัวเมื่อไรก็ตามที่ได้ยินเสียงตะโกน นางจึงไม่กล้าลักพาตัวใคร อีกอย่างหนึ่งนางก็ไม่ได้เข้าไปในตรอกเล็ก ๆ อย่างมากก็รอที่ปากทางเข้าของตรอกสายใหญ่
หญิงชราร่างเล็กไม่คิดที่จะพาเธอเข้าไป นางขอให้เธอรอด้านนอกโดยที่นางเป็นฝ่ายเข้าไปเอง
หลังจากที่นางออกมา นางก็นำเธอไปยังตรอกแห่งหนึ่งที่ไร้ผู้คน
“แม่หนู ดูสิ่งนี้สิจ๊ะ” เมื่อหญิงชราเห็นว่าไม่มีใครอยู่แล้วนางก็เผยบางส่วนของกำไลทองออกมาให้เห็น
หลินชิงเหอเหลือบมองแค่แว๊บเดียวก็รู้ว่าเป็นอะไร เธอส่ายหน้า “คุณป้าต้องล้อเล่นแน่ ๆ เลยค่ะ ของยุคโบราณแบบนี้ไม่อาจแลกได้แม้กระทั่งหมั่นโถวลูกหนึ่งด้วยซ้ำ มันจะมีประโยชน์อะไรกับฉันล่ะคะ?”
“ตอนนี้มันไร้ค่าก็จริง แต่ในอนาคตมันจะต้องมีค่ามากแน่ ๆ จ้ะ หากไม่ใช่เพราะตอนนี้เราหุงหาอาหารที่บ้านไม่ได้ ป้าคงไม่หยิบออกมาหรอก” หญิงชราเอ่ย ในดวงตาของนางฉายแววลังเลอย่างเห็นได้ชัด
หลินชิงเหอรู้สึกว่าการกดราคากับหญิงชราคนนี้คงจะเป็นการเอาเปรียบเกินไปหน่อย เธอเลยพูดว่า “งั้นคุณป้าอยากจะแลกมันกับอะไรเหรอคะ?”
“หนูเอาคูปองอาหาร 50 ชั่งมาแลก แล้วกำไลวงนี้จะเป็นของหนูจ้ะ” หญิงชราเอ่ยพลางจ้องมองเธอ
“คุณป้าหยิบออกมาให้ฉันดูหน่อยสิคะ” หลินชิงเหอมองกลับ
หญิงชราเผยกำไลทองวงนั้นให้เห็นเต็ม ๆ ตา หลินชิงเหอลองชั่งน้ำหนักดูก็พบว่ามันค่อนข้างหนัก เธอจึงพูดว่า “คูปอง 40 ชั่งแล้วกันค่ะ”
“45 ชั่งได้ไหมจ๊ะ”
“ก็ได้ค่ะ…”
หลินชิงเหอหยิบคูปองอาหารออกมาจากกระเป๋าเสื้อ คูปองพวกนี้ได้มาจากการแลกกับอาหารของเธอ ส่วนในมิติของเธอนั้นมีคูปองอาหารทั่วประเทศของกองทัพที่โจวชิงไป๋นำกลับมาอยู่มากมาย ของพวกนั้นมีค่ามหาศาล ซึ่งเธอจะเก็บไว้ใช้ในภายภาคหน้า
หญิงชราไม่คิดว่าเธอจะให้คูปองกันตรง ๆ แบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่พูดอะไร นางเป็นคนเก็บกำไลวงนี้ได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ของนางหรอก
นางจะแลกเปลี่ยนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้