ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 221 เชื่อฟังภรรยา
บทที่ 221 เชื่อฟังภรรยา
หลังทำธุรกรรมกันเสร็จเรียบร้อย หลินชิงเหอก็เก็บกำไลทองไว้และผละจากไป
จากนั้นเธอก็เริ่มครุ่นคิดเรื่องนี้ เรื่องที่ว่าของสีเหลืองกับสีขาวพวกนี้ยังเอาออกมาให้เห็นได้อยู่ ต่อให้พวกมันยังมีมูลค่ามหาศาล แต่จะมีใครกล้าหยิบมันออกมาล่ะ?
แล้วหญิงสาวก็เกิดความคิดที่จะทำธุรกิจสะสมทองคำ
หลังจากราคาพุ่งสูงขึ้นแล้ว มันจะวิเศษขนาดไหนกันนะที่มีรายได้มหาศาลจากพวกมัน?
หลินชิงเหอจึงมาที่ตลาดมืดและใช้ผ้าคลุมอำพรางใบหน้าตัวเองไว้ หลังบอกรหัสลับแล้วเธอก็มาถามหาทองคำ
“ต่อให้ไม่มีใครกล้าเอามันออกมาในตอนนี้ แต่ราคาของมันก็ไม่ถูกเลยครับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ย
ถึงหลินชิงเหอจะอำพรางใบหน้าด้วยผ้าและทาหน้าผากให้มอมแมม เขาก็รู้ว่าคน ๆ นี้เป็นลูกค้าประจำที่สามารถค้าขายด้วยได้
“คิดราคายังไงเหรอคะ?” หลินชิงเหอถาม
“ผมมี 2 เส้นอยู่กับตัว ถ้าคุณอยากได้ผมก็ให้คุณได้นะครับ” ชายหนุ่มเอ่ย เขาเดินเข้าไปหยิบสร้อยทอง 2 เส้นมาจากคน ๆ หนึ่งก่อนจะเดินออกมา
“ราคาเท่าไหร่คะเนี่ย?” หลินชิงเหอเอ่ยขณะรับมาดู
“เส้นนี้ 100 กรัม ส่วนเส้นนี้ 150 กรัม ผมคิดราคาคุณ 200 หยวนแล้วกันครับ” ชายหนุ่มมองเธอและเอ่ยตอบ
“คิดแพงขนาดนี้คุณมาปล้นกันเลยดีกว่าค่ะ” หลินชิงเหอกลอกตา
“มันเป็นทองแท้นะครับ ในเมื่อคุณอยากได้ คุณก็น่าจะรู้ว่าในอนาคตราคาของมันจะแพงขึ้นอีก” ชายหนุ่มตอบ
“50 หยวนแล้วกันค่ะ ถ้าคุณพอใจฉันก็จะรับ ถ้าคุณไม่พอใจก็ลืมที่เราคุยกันเถอะค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยตรง ๆ
“ก็ได้ครับ 50 หยวนก็ 50 หยวน” ชายหนุ่มตอบทันควัน
หลินชิงเหอรู้สึกว่ายังไงเธอก็ไม่เข้าใจกลไกตลาดในตอนนี้เลย นี่มันปั่นราคากันเห็น ๆ!
“ผมบอกพี่สาวแล้ว พี่อย่าทำเหมือนกับว่าถูกหลอกสิครับ ผมคิดราคา 50 หยวนก็เพราะเห็นพี่เป็นลูกค้าประจำของที่นี่ ไม่อย่างนั้นแล้วพี่คิดว่าผมจะขายให้เหรอครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างไม่พอใจนัก
จากนั้นหลินชิงเหอก็ไม่พูดอะไร เธอหยิบสร้อยทองไปและเอ่ยกระซิบ “คุณยังมีอีกไหมคะ?”
“ถ้าพี่สาวอยากได้อีก เราก็มีให้ครับ แต่ขายของพวกนี้มันออกจะเสี่ยงมากอยู่ หากพี่ต้องการ ครั้งหน้ามันจะไม่ถูกแบบนี้แล้วนะครับ” ชายหนุ่มพูด
“งั้นเก็บไว้ให้ฉันสักหน่อยนะคะ ครั้งหน้าฉันจะลองมาดูอีก” หลินชิงเหอบอก
“ก็ได้ครับ แต่ผมจะเก็บไว้ไม่เยอะ หากพี่ต้องการก็มาซื้อครั้งหน้านะครับ” ชายหนุ่มตอบ
หลังหลินชิงเหอจากไปแล้ว ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปในห้อง ซึ่งในนั้นมีชายกลางคนพุงพลุ้ยคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ ซึ่งในยุคนี้น้อยคนนักที่จะเป็นแบบเขา
“ลุงใหญ่ ผู้หญิงคนนี้บอกว่าหล่อนอยากได้ทองอีก เราควรเก็บเพิ่มไหมครับ?” ชายหนุ่มถาม
“น่าสนใจแฮะ ยุคนี้ยังมีคนที่อยากจะเก็บของพวกนี้อยู่อีกเหรอเนี่ย หล่อนไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหนน่ะ?” ชายกลางคนพุงพลุ้ยเอ่ย
“ในสถานการณ์แบบนี้แล้ว จะได้ยินเรื่องนี้มาจากไหนได้ล่ะครับ” ชายหนุ่มตอบ
เมื่อก่อนหน้านี้ตอนที่ทหารแดงจากข้างนอกเข้ามาในอำเภอ ตลาดมืดแห่งนี้ก็ถูกปิดไปชั่วคราวแบบไม่เห็นเงาและธุรกิจต่าง ๆ ก็ซบเซาไปครู่หนึ่ง
“อย่าได้ประมาทคนพวกนี้เชียว” ชายกลางคนเอ่ย จากนั้นก็พูดต่อ “งั้นไปหามาให้หล่อนอีก ครั้งหน้าถ้าหล่อนมาที่นี่ แกก็ให้รางวัลบางอย่างกับหล่อนไป”
“ได้ครับ” ชายหนุ่มตกลง
หลินชิงเหอมองหาตรอกเล็ก ๆ สายหนึ่งและหยิบผ้าขนหนูหมาดออกมาจากมิติมาเช็ดหน้าจนสะอาดก่อนเดินออกมา
เธอกำลังอารมณ์ดี เพราะเธอสะสมทองไว้ในมิติเป็นจำนวนมากโดยไม่ต้องเป็นกังวลใด ๆ เมื่อถึงภายภาคหน้าเธอคงจะขายมันได้
แต่ตอนนี้ต้องสะสมของพวกนี้ไว้ให้มาก ๆ เพื่อเก็บไว้ใช้ในอนาคต
เมื่อคิดได้แล้วหลินชิงเหอจึงไปซื้อของบางอย่างในอำเภอก่อนจะกลับบ้าน
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอก็เห็นว่าโจวชิงไป๋กลับมาแล้ว วันนี้เขาไม่ได้ไปทำงานเพราะต้องไปซื้อยาฆ่าแมลง และกลับมาถึงบ้านเร็วกว่าปกติ
“คุณกลับมาเร็วจังค่ะ” หลินชิงเหอยิ้ม
“ไปที่อำเภอมาเหรอครับ?” โจวชิงไป๋ถาม
“ค่ะ ไปเดินเล่นมา” หลินชิงเหอพยักหน้า เธอไม่ได้บอกเขาในเรื่องที่วางแผนเริ่มสะสมทองคำ เขาทำแค่ต้องตามเธอและมีความสุขกับชีวิตอันแสนสุขในอนาคตเท่านั้น
ต้องบอกว่าบางครั้งนับเป็นโชคดีที่เขาได้แต่งงานกับภรรยาฉลาดมีความสามารถที่อุทิศตนเพื่อเขา
และเห็นชัดว่าโจวชิงไป๋เป็นคนโชคดีคนนั้น
“คืนนี้คุณอยากกินอะไรคะ?” หลินชิงเหอถาม
“เหลียงผี?” โจวชิงไป๋หันมาบอกเธอ เขาชอบอาหารชนิดนี้มาก
“ได้สิคะ” หลินชิงเหอตอบตกลงอย่างอารมณ์ดี แค่เหลียงผีเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก
เนื่องจากโจวชิงไป๋ไม่มีอะไรต้องทำ เขาจึงมาช่วยงานครัวกับเธอ ทั้งคู่ทำงานอยู่ในครัวกันอย่างมีความสุข
ความจริงแล้วมันไม่ต้องใช้ทักษะอะไรพิเศษเลย แค่ใช้เวลาและพลังงานนิดหน่อย แต่หลังจากที่โจวชิงไป๋คุ้นเคยกับงานนี้แล้ว หญิงสาวก็ปล่อยให้เขาเป็นคนจัดการ ส่วนตัวเธอเดินไปที่สวนหลังบ้านเพื่อเด็ดมะเขือเทศมากิน 2 ผล ผลหนึ่งเธอกินเอง ส่วนอีกผลหนึ่งให้โจวชิงไป๋กิน
เด็ก ๆ ทั้งหลายไม่อยู่บ้าน ซูเฉิงน้อยกับซูสวิ่นน้อยก็อยู่กับคุณย่าของเขาและเล่นกันที่บ้านตระกูลโจว ส่งผลให้ไม่มีใครรบกวนจนทั้งคู่รู้สึกว่าบ้านเงียบลงถนัดตา
ขณะที่โจวชิงไป๋เคี้ยวมะเขือเทศพร้อมทำเหลียงผี จู่ ๆ หลินชิงเหอก็เข้าประเด็น “ในวันข้างหน้าเราจะย้ายบ้านกันนะคะ พอเราลงหลักปักฐานได้ เราก็จะพาคุณพ่อคุณแม่มาอยู่ด้วย”
จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องยากที่ผู้หญิงอย่างหลินชิงเหอจะเป็นฝ่ายเสนอความคิดแบบนี้ก่อน แม้มันจะไม่ใช่เรื่องยากในการโน้มน้าวท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจว แต่สิ่งสำคัญก็คือสามีต้องเห็นด้วยกับเธอก่อน
โจวชิงไป๋เองก็ไม่คิดว่าเธอจะพูดแบบนี้ เขานิ่งค้างไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นมา “ตอนนี้ยังเร็วเกินไป”
หลินชิงเหอยิ้มก่อนเอ่ยขึ้น “เราจะย้ายก็ตอนที่คุณพ่อคุณแม่อยากย้ายไปกับเราน่ะค่ะ ถึงตอนนั้นค่าใช้จ่ายก็คงสูงมาก ดังนั้นชิงไป๋คะ เมื่อไหร่ที่ประเทศของเรามีการปฏิรูปและเปิดประเทศ คุณจะไปตั้งร้านกับฉันไหมคะ?”
“มันจะทำกำไรได้เยอะไหม?” โจวชิงไป๋เอ่ยจริงจัง
“คุณกลัวเสียหน้าเหรอคะ?” หลินชิงเหอยิ้มกริ่มเมื่อรู้ทันความคิดของเขาในจุดนี้
“ตราบใดที่ประเทศเราอนุญาตให้ทำ เราก็ไม่เสียหน้าหรอก” โจวชิงไป๋ตอบขณะมองเธอ
นี่คือขีดต่ำสุดที่รับไหวของชายคนนี้ ตราบใดที่ประเทศอนุญาต เขาก็ไม่รู้สึกผิดใด ๆ แต่เขาไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งที่หลินชิงเหอทำในตอนนี้ เขาแค่ทำอะไรภรรยาของเขาไม่ได้ต่างหาก
คืนนั้นที่เขาอยากกินเนื้อ เขาก็แพ้กลยุทธ์ของภรรยาอย่างหมดรูป จากนั้นเขาก็ไม่มีพื้นที่ให้ได้โต้แย้ง
หลินชิงเหอยิ้มก่อนเอ่ยขึ้น “การตั้งร้านแผงลอยริมถนนในอนาคตจะทำกำไรมหาศาลเลยนะคะ”
ในช่วงแรกของการปฏิรูปและเปิดประเทศ การตั้งร้านค้าแผงลอยตามถนนนับว่าเป็นกระแสในยุคนั้น แล้วอะไรล่ะที่ตามมาหลังจากมีการตั้งแผงลอยตามถนน? มันก็คือผู้ประกอบการอิสระอย่างไรล่ะ
หลังจากยุคผู้ประกอบอาชีพอิสระแล้วก็ตามมาด้วยยุคการค้าทางทะเล จากนั้นจึงเป็นยุคแห่งหุ้นและอสังหาริมทรัพย์
ในช่วงแรกที่เกิดกระแสจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะทำรายได้ ดังนั้นการตั้งร้านค้าแผงลอยข้างถนนจึงไม่เจ็บตัวหนักนัก จากนั้นพวกเขาก็จะพิจารณาเปิดหน้าร้านหากว่ามีทุนทรัพย์เพียงพอแล้ว
เธอคงลงหลักปักฐานได้หลังจบการศึกษาแล้ว ในตอนนั้นเธอคงจะพิจารณาเรื่องพวกนี้ได้
โจวชิงไป๋พยักหน้า ภรรยาของเขากล่าวไม่ผิดหรอก ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร เขาก็แค่นำไปปฏิบัติเท่านั้น
หลินชิงเหอมองผู้ชายของเธอด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
โจวชิงไป๋เติมไม้ฟืนเข้าไปหนึ่งกำมือก่อนจะเห็นดวงตาเย้ายวนของภรรยา จากนั้นก็จบลงด้วยการที่ทั้งคู่จูบกันในห้องครัว
ท่านแม่โจวที่พาซูสวิ่นน้อยเข้าบ้านก็ได้มาเห็นพอดีเพราะประตูไม่ได้ปิด นางรีบถอยกลับไปพร้อมกับหลานชายตัวน้อยในทันที
จริง ๆ เลย…กลางวันแสก ๆ แบบนี้พวกเขายังกล้ากอดรัดฟัดเหวี่ยงและแลกจูบกันได้อีก