ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 228 บรรดาสะใภ้คุยกัน
บทที่ 228 บรรดาสะใภ้คุยกัน
โจวลิ่วนีเป็นคนเริ่มประเด็นไม่อยากกินอาหารร่วมกันที่บ้านในวันสิ้นปี
“ปีที่แล้วเรากินข้าวด้วยกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมปีนี้เราไม่ทำแบบนั้นแล้วล่ะ?” โจวลิ่วนีเอ่ย
“ไม่ต้องพูดเรื่องนี้เลย หลังจากที่เธอทำตัวแบบนั้นในปีที่แล้ว ทุกคนก็หวาดกลัวกันหมด ใครจะอยากกินข้าวกับเธอล่ะ” โจวซานนียังไม่ทันพูดอะไร โจวเซี่ยก็เอ่ยขึ้นมา
โจวลิ่วนีมีท่าทางรำคาญทันที “พี่หมายความว่ายังไงคะ? ปีที่แล้วพี่เองก็กินเยอะเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? แถมงานเลี้ยงวันสิ้นปีก็ไม่ใช่แค่อาหารมื้อเดียวหรือไง?”
โจวเซี่ยไม่อยากพูดอะไรไร้สาระกับหล่อนอีก เขาวิ่งตามหาเจ้ารองหลังกินเสร็จ
หลังจากนั้นครู่หนึ่งหลินชิงเหอก็มา เธอนำลูกอมถุงหนึ่งมาด้วยและแบ่งให้กับบรรดาหลานชายหลานสาว ไม่ว่าจะมากจะน้อยก็ถือว่าเป็นสินน้ำใจอย่างหนึ่ง
“คุณอาสะใภ้สี่คะ ทำไมปีนี้คุณอาไม่มากินข้าวที่บ้านตระกูลโจวอีกล่ะคะ?” โจวลิ่วนีหยิบลูกอมไปแล้วก็ถามขึ้น
“บ้านอามีคนตั้งเยอะ ดังนั้นแยกกันกินก็น่าจะดีกว่าน่ะจ้ะ” หลินชิงเหอเหลือบมองและเอ่ยตอบบ
จริง ๆ เลย…ลิ่วนีคนนี้นี่นะ…
ช่างเถอะ หล่อนไม่ใช่ลูกสาวเธอ เธอไม่อาจทำตัวเป็นสุนัขที่เอะอะมะเทิ่งสั่งสอนหนูหรอก
โจวลิ่วนีเอ่ย “ปีนี้ครอบครัวของหนูเตรียมอาหารอร่อย ๆ ไว้เยอะมากเลยนะคะ ถ้าเรากินด้วยกันแล้วก็แบ่งให้ทุกคนได้”
ฉันเกือบจะเชื่อหนูเสียแล้วสิ หลินชิงเหอคิดในใจ
“อาสะใภ้สี่คะ ปีหน้าหนูอยากเรียนบ้าง แต่แม่ไม่ยอมให้หนูเรียนน่ะค่ะ” ลิ่วนีเอ่ย
“แม่ของหนูไม่ยอมให้เรียน งั้นหนูก็บอกพ่อของหนูสิ” หลินชิงเหอตอบ
“พ่อหนูไม่พูดอะไรเลยค่ะ คุณอาสะใภ้สี่คะ ทำไมคุณอาไม่ช่วยจ่ายค่าเล่าเรียนให้หนูหน่อยล่ะคะ? หนูโตขึ้นแล้วหนูจะตอบแทนอาอย่างแน่นอนค่ะ” โจวลิ่วนีเสนอ
“เรื่องนี้ถามแม่ของหนูก่อนนะ” หลินชิงเหอทำเพียงยิ้มและมองสะใภ้รอง
สะใภ้รองเพิ่งออกมาและยืนอยู่ตรงประตูบ้านพอดี หล่อนกวาดสายตามองโดยรอบ เห็นชัดว่ากำลังมองหาไม้เรียวอยู่ โจวลิ่วนีจึงรีบวิ่งหนีไปในทันที
หลินชิงเหอทำเพียงห้ามปรามแต่ผิวเผินว่าเด็กยังเล็กอยู่ จากนั้นเธอก็เดินมาคุยกับสะใภ้ใหญ่และสะใภ้สาม
สะใภ้ใหญ่เพิ่งได้ยินคำพูดหน้าด้านของโจวลิ่วนี หล่อนก็ลดเสียงลงต่ำ “อย่าไปสนใจลิ่วนียัยเด็กคนนั้นเลย ไม่รู้ว่าหล่อนเรียนรู้ความปลิ้นปล้อนตลบตะแลงแบบนั้นมาจากไหน หล่อนมักจะโยนทุกอย่างให้พี่สาวและไม่เชื่อฟังหลังโดนแม่ตีแล้วก็ตาม ต่อไปในภายภาคหน้าหล่อนจะเป็นยังไง?”
“เมื่อวานนี้ฉันเห็นหล่อนรับลูกอมจากเด็กชายที่ชื่อเฉินฟางด้วยนะคะ” สะใภ้สามเอ่ยพลางย่นคิ้ว
“เกิดเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?” สะใภ้ใหญ่ประหลาดใจ หลินชิงเหอเองก็ด้วย
“ฉันเห็นค่ะว่าหล่อนให้น้ำตาลกลับไป ฉันเลยไม่ได้บอกพี่สะใภ้รอง” สะใภ้สามเอ่ย
สะใภ้ใหญ่ส่ายหน้า “ยัยเด็กคนนี้เจ้าเล่ห์คดโกงเกินไปแล้ว หล่อนเป็นแบบนี้แล้วตอนโตขึ้นจะสอนได้ยังไงเนี่ย?”
หลินชิงเหอไม่มีความรู้สึกประทับใจกับโจวลิ่วนี เธอจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาคุยเรื่องผลผลิตในที่ต่าง ๆ ของปีนี้ ซึ่งเธอได้ยินเรื่องนี้มาจากโจวชิงไป๋ตอนที่เขากลับมาบ้าน
โจวชิงไป๋เดินทางไปประชุมในอำเภอกับฝ่ายผลิตเพื่อรายงานผล แม้เขาจะไม่ได้รับค่าตอบแทน แต่ทุกคนก็ให้ความเคารพนับถือเขามากขึ้น
โตยทั่วไปแล้วเธอได้ยินมาว่าฝ่ายผลิตอื่นไม่ได้ส่งมอบส่วนแบ่งสาธารณะและได้รับแจกสิ่งของบรรเทาทุกข์แทน
“ไม่ใช่ว่าจะชมตัวเองนะ แต่ฝ่ายผลิตของเราเป็นส่วนน้อยนักที่สามารถทำงานด้วยกันได้จริง ๆ” สะใภ้สามให้ความเห็นหลังจากฟังจบ
“ก่อนหน้านั้นไม่ได้กลมเกลียวกันแบบนี้หรอก ตอนนั้นทุกคนกำลังอดอยากจนแทบบ้าและไม่กล้าที่จะขี้เกียจเลยน่ะสิ” สะใภ้ใหญ่เอ่ย หล่อนแต่งงานเข้าตระกูลโจวเป็นคนแรก ๆ
“พวกเธอคุยเรื่องอะไรกันไม่เห็นเรียกฉันมาร่วมคุยด้วยเลย” สะใภ้รองมาพร้อมกับตะกร้าใส่ไหมพรมใบหนึ่ง หล่อนอยากจะถักมันเป็นเสื้อกันหนาว
หลินชิงเหอหยิบเมล็ดแตงให้หล่อนหนึ่งกำมือ “พอดีฉันเห็นว่าพี่ใส่ผ้ากันเปื้อนอยู่น่ะค่ะก็เลยรู้ว่ายุ่ง แต่ฉันรู้ว่าทันทีที่พี่เสร็จงานแล้วพี่ก็จะมาที่นี่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะถักเสื้อหรอกนะคะ แทะเมล็ดแตงนี่ก่อนเถอะค่ะ รสพะโล้เลยนะคะ”
สะใภ้รองรับไว้ด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “เธอพูดเรื่องอะไรถึงไหนแล้ว?”
“กำลังพูดเรื่องที่ว่าฝ่ายผลิตของเราดียังไงน่ะสิคะ” หลินชิงเหอพูด
“ใช่แล้วล่ะ ผลผลิตของบ้านฝั่งแม่ฉันไม่ดีเท่าของเราเลย” สะใภ้รองพยักหน้า
“พี่คงจะเก็บเงินไว้เยอะสินะคะ?” หลินชิงเหอยิ้ม
“ฉันจะเก็บเงินไว้เยอะขนาดไหนกัน?” สะใภ้สามหัวเราะ
“ยังดีกว่าตอนก่อนที่จะแยกครอบครัวน่ะ” สะใภ้ใหญ่พูด
อย่าคิดว่าในยุคนี้คนหลายคนจะแยกครอบครัวได้อย่างครอบครัวตระกูลโจว กลับกัน หลาย ๆ ครอบครัวยังคงขยายครอบครัวแทน การแยกครอบครัวไม่ใช่สิ่งที่นิยมทำกันนักในสังคมนี้
มันเป็นเรื่องยากนักที่จะแยกครอบครัวเหมือนกับตระกูลโจวที่ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวแยกครอบครัวตอนที่พวกเขายังหนุ่มยังสาว
ถึงอย่างนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องและสะใภ้ในบ้านตระกูลโจวก็ยังกลมเกลียวกันอยู่ แม้จะมีบางครั้งที่เกิดทะเลาะกันบ้าง แต่ก็มักจะผ่านไปด้วยดี
“ไม่ว่าเราจะเก็บเงินยังไง เราก็มีเยอะไม่เท่าแม่เจ้าใหญ่หรอก” แม้สะใภ้รองจะพอใจกับการแยกครอบครัว แต่หล่อนก็ยังเอ่ยเรื่องนี้
หลินชิงเหอโบกมือ “เราเป็นสะใภ้กันมาหลายปี พี่ไม่รู้เหรอคะว่าฉันเป็นคนยังไง? ไม่ว่าฉันจะเก็บเงินได้เยอะขนาดไหนฉันก็เก็บไม่อยู่หรอกค่ะ เมื่อไหร่ที่มีเงินฉันก็ใช้จ่าย เงินน้อยนิดที่ชิงไป๋หามาได้ตลอดทั้งปีถึงกับไม่เหลือเก็บเลยทีเดียว”
สะใภ้ทั้งสามถึงกับเหงื่อตก
พวกหล่อนรู้ดีว่าสะใภ้สี่ได้เงินมากที่สุดในกลุ่ม เธอได้เป็นครู มีเงินเดือนและแต้มค่าแรงให้ นี่ไม่ใช่รายได้งั้นเหรอ?
แม้เธอจะหาเงินได้ แต่เธอก็จ่ายไปไม่น้อยเหมือนกัน
หล่อนสั่งนมสดในหน้าร้อนและนมผงในหน้าหนาว เด็ก ๆ ตัวสูงใหญ่ขนาดนั้นแล้ว มันจำเป็นต้องดื่มของชนิดนี้ไหม?
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ซื้อมา ยังมีอาหารอีกสามมื้้อต่อวันอีก เรื่องนี้พวกหล่อนไม่ต้องถามถึงเลย แค่มองห็นบรรดาของสามีพวกหล่อนว่าดีใจนนาดไหนที่ได้กินข้าวที่นั่่นก็รู้แล้ว
อาหารทั้งหลายจะต้องเป็นของดีจำนวนมากแน่ ๆ
ดังนั้นเมื่อหลินชิงเหอบอกว่าเธอสามารถจ่ายหนึ่งหยวนสองเหมาด้วยเงินหนึ่งหยวนที่มีได้ มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
สะใภ้ใหญ่เอ่ย “อีกไม่นานเจ้าใหญ่จะได้เข้ามหาวิทยาลัยแล้วนี่ มันต้องใช้เงินเยอะไหม?”
“มันไม่ต้องใช้เงินหรอกค่ะ หากเขาสอบได้ทุกอย่างก็จะได้มาเปล่า ๆ มีทั้งอาหารที่เพียงพอให้เขาประทังชีพได้ หลังจบการศึกษาในภายภาคหน้าแล้ว เขาก็จะได้เข้าทำงาน แล้วก็สามารถทำงานเก็บเงินแต่งภรรยาได้น่ะค่ะ” หลินชิงเหอตอบ
“แล้วเจ้ารองกับเจ้าสามล่ะ?” สะใภ้รองถาม
“พวกเขาคงจะเรียนรู้จากพี่ชายคนโตได้ ตอนที่พ่อของพวกเขาแต่งงานกับฉัน เขาก็หาเงินได้ด้วยตัวเอง พวกเขาต้องทำงานด้วยตัวเองหากต้องการจะแต่งภรรยนะคะ” หลินชิงเหอตอบลอย ๆ
ทั้งสะใภ้ใหญ่ สะใภ้้รอง กับสะใภ้สามต่างหน้าเหวอ
แต่เรื่องนี้เป็นความจริง เมื่อพวกหล่อนแต่งเข้ามาในตระกูล ของขวัญวันแต่งงานของพวกหล่อนก็มีสะใภ้ทั้งหลายเป็นคนให้ แต่สำหรับหลินชิงเหอแล้ว น้องเขยคนเล็กกลับเป็นคนจ่ายทุกอย่าง
ช่วงเวลานั้นเคยยากลำบาก แต่เมื่อมีน้องชายสี่อยู่ ทุกอย่างในครอบครัวก็ดูง่ายขึ้น
“แน่นอนว่าฉันใช้เงินฟุ่มเฟือยไปกับพวกเขาล่วงหน้าน่ะค่ะ ฉันแค่รับผิดชอบในเรื่องทำให้พวกเขาเติบโต ส่วนที่เหลือพวกเขาต้องเก็บเงินด้วยตัวเอง เมื่อพวกเขาโตขึ้น ชิงไป๋กับฉันถึงจะเก็บเงินในส่วนของเรา” หลินชิงเหอตอบด้วยรอยยิ้ม
สะใภ้ทั้งสามไม่เชื่อเรื่องนี้ พวกหล่อนเลี้ยงลูกตามวิธีของยุคก่อน แล้วทุกคนจะประหยัดค่าใช้จ่ายอย่างไรล่ะ? ให้ลูกชายมาเลี้ยงดูตอนที่แก่เฒ่าน่ะสิ
ดังนั้นนี่จึงเป็นความแตกต่างเรื่องของแนวคิดในแต่ละยุคสมัย
ถ้าคน ๆ นั้นมีเงินแล้ว ใครจะให้ความเห็นอะไรอีกล่ะ? หล่อนเป็นสะใภ้คนหนึ่ง หล่อนย่อมรู้ความคิดของตัวเอง และมันก็จะเป็นความคิดของสะใภ้ในอนาคตของเธอด้วย
ดังนั้นการมีเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญ ในเมื่อไม่สามารถพึ่งพาเด็ก ๆ ได้ การใช้เงินไปเพื่อจ้างคนดูแลจึงเป็นวิธีที่ง่ายดายที่สุด!