ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 237 เพื่อนร่วมหอพัก
บทที่ 237 เพื่อนร่วมหอพัก
ไม่ใช่แค่เหล่าบัณฑิตในหมู่บ้านโจวเจี่ยเรียกร้องขอหย่า ในฝ่ายผลิตอื่น ๆ ก็เป็นเหมือนกัน
ต้องบอกว่าปัญหานี้เกิดขึ้นเป็นไฟลามทุ่ง แต่ถึงอย่างนั้นตระกูลโจวก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไร
ท่านแม่โจวรู้สึกอารมณ์ปั่นป่วนขึ้นมาเล็กน้อย ขอบคุณที่สะใภ้สี่เป็นคนเด็ดขาดพอ ไม่อย่างนั้นหากเจอกับปัญหาตอนนี้แล้ว พวกเขาจะแบกหน้าไปคิดบัญชีกับใคร?
ความตั้งใจของเหล่าบัณฑิตไม่อาจสั่นคลอนได้ แม้แต่ลูกเขยคนหนึ่งของหัวหน้าหมู่บ้านก็ขอหย่าจากภรรยา
แต่เขาสัญญาว่าหากสอบผ่านแล้ว เขาจะกลับมารับภรรยากับลูก ๆ ไปอยู่ด้วยกัน
ใครจะรู้ว่าคำสัญญานี้จะเป็นจริงหรือไม่
หลินชิงเหอกับเจ้าใหญ่ได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปักกิ่งในปี 1978
เธอบอกให้เจ้าใหญ่เรียนตามหลักสูตรปัจจุบัน แต่ตัวเธอเองกลับมีแผนของตัวเอง
ถ้านับตามมหาวิทยาลัยตอนนี้ เธอจะจบการศึกษาภายใน 4 ปี บางสาขาวิชาอาจใช้เวลาถึง 5 หรือ 6 ปี ซึ่งหลินชิงเหอไม่อยากเสียเวลามากขนาดนั้น
ต่อให้เธอเรียนตามหลักสูตร มันก็คงจะไม่ล่าช้าเกินไปนัก แต่หลินชิงเหออยากหาเงินแล้ว
การปฏิรูปและการผ่อนปรนต่าง ๆ จะเริ่มขึ้นในปีนี้ ทุกปีนับจากนี้ไปก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
หลินชิงเหอจึงทุ่มเทกับการเรียน
เธออยู่ในภาควิชาภาษาต่างประเทศ เดิมทีเจ้าใหญ่เองก็อยากเรียนภาษาต่างประเทศเหมือนกับแม่ แต่หลินชิงเหอปฎิเสธเพราะเห็นว่าเจ้าใหญ่ถนัดภูมิศาสตร์มากกว่า
หลินชิงเหอจึงให้เขาเรียนในภาควิชาภูมิศาสตร์ และสอนภาษาอังกฤษให้เขา
หลังเจ้าใหญ่เรียนรู้ส่วนของเขาแล้ว เขาก็จะมาหาแม่ที่ชั้นเรียนเพื่อให้รู้สึกอุ่นใจ
นักศึกษาอายุน้อยอย่างเจ้าใหญ่นับว่าหายาก แม้แต่ในสถานที่อย่างมหาวิทยาลัยปักกิ่ง นอกจากนี้เขายังเรียนเก่ง พูดจาฉะฉาน เข้าสังคมเก่ง และหน้าตาหล่อเหลา ทำให้อาจารย์และนักศึกษาในมหาวิทยาลัยปักกิ่งชอบเขามาก
และพวกเขาก็รู้ด้วยว่าหลินชิงเหอที่พูดภาษาต่างประเทศได้คล่องแคล่วเป็นแม่ของเขา
ทั้งสองแม่ลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งได้ ต้องบอกว่าเป็นตำนานของมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว
หลินชิงเหอเตือนเจ้าใหญ่ว่าอย่าหักโหมเรียนเกินไปนักและไปเล่นบาสเกตบอลหรือออกกำลังกายทุกวัน ส่วนตัวเธอเองก็ขลุกอยู่ในห้องสมุดตอนที่มีเวลาว่าง
บางครั้งเธอก็จะไปนั่งที่นี่ทั้งวัน ความตั้งใจเรียนทำให้บรรณารักษ์ชราในห้องสมุดมองเธออย่างชื่นชม
วันนั้นเองหลินชิงเหอเข้าห้องสมุดสายจนเกือบจะไม่มีที่นั่ง
เธอไม่ใช่คนเดียวที่ตั้งใจเรียน นักศึกษาคนอื่น ๆ ก็ขยันหนักมากเหมือนกัน ทุกคนต่างพยายามเรียนอย่างหนักเท่าที่จะเรียนได้
บรรณารักษ์ชราที่ดูแลห้องสมุดจึงให้ที่นั่งกับเธอ “สหายร่วมชั้นคนนี้มานั่งตรงนี้เถอะ ยังมีที่ว่างอยู่”
หลินชิงเหอจึงเดินไปนั่งและเอ่ยขอบคุณเขา
“ผมได้ยินมาว่าคุณไม่เคยไปเรียนในโรงเรียนมาก่อน แค่เข้าเรียนวิชาวรรณกรรมไม่กี่วัน จากนั้นก็เรียนรู้เนื้อหาส่วนที่เหลือด้วยตัวเองอย่างนั้นเหรอครับ?” บรรณารักษ์ชราถาม
“ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันอยากเรียนหนังสือมาก แต่พ่อแม่ไม่ให้เรียน หลังจากนั้นฉันก็โชคดีได้เจอสามีของฉัน ก่อนที่เขาจะได้รับบาดเจ็บและยังไม่ลาออกจากกองทัพ ฉันก็ได้เงินเดือนจากเขา เลยขี้เกียจและไม่ทำงาน ฉันเก็บตัวอยู่ที่บ้าน เลี้ยงดูลูก ๆ และเรียนหนังสือไปด้วยน่ะค่ะ”หลินชิงเหอตอบ
เธอไม่ได้เป็นคนบอกเรื่องนี้เอง ต้องเป็นเจ้าใหญ่เด็กตัวเหม็นคนนั้นแน่ที่พล่ามเรื่องนี้
เขาอยากให้คนรู้กันทั่วว่าเธอเป็นแม่ของเขาและยังมีสามีและลูกชายที่สองอยู่ที่บ้าน
หลินชิงเหอจึงปล่อยให้เขากระทำตามใจ เธอโดดเด่นเกินไปจริง ๆ ไม่นานนักหลังเริ่มการเรียนการสอนก็มีคนบางคนส่งจดหมายสารภาพรักให้เธอแล้ว
เมื่อเด็กชายเห็นเข้า เขาก็รีบเรียนเรียงความ ‘แม่ของผม’ อันทรงพลังด้วยความยาว 3,000 ตัวอักษรแปะลงบนป้ายประกาศข่าวในทันที
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งอาจารย์กับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยจึงได้รู้กันทั่ว
การกระทำนี้นับว่าโหดร้ายนัก ทำให้คนที่หมายตาเธออยู่กลับลำกันแทบไม่ทัน หากใครยังมีความคิดที่จะจีบเธออยู่ พวกเขาก็จะกลายเป็นคนร้ายที่หมายทำลายครอบครัวของเขาไป
แต่หลินชิงเหอไม่ได้โทษเขา เธอปฏิบัติเหมือนกับการมีอยู่ของเขาให้ความรู้สึกปลอดภัย และด้วยการแก้ปัญหาแบบนี้นี่เอง ทำให้ปัญหาต่าง ๆ ลดลงจนเธอสามารถตั้งสมาธิไปกับการเรียนได้
บรรณารักษ์ชราหัวเราะเมื่อได้ยินดังนี้ “กล้าเรียนอย่างลับ ๆ โดยไม่ให้คนอื่นรู้แบบนี้ ชื่อเสียงในหมู่บ้านของคุณคงจะแย่มากเลยใช่ไหมครับ”
“ชื่อเสียงของฉันแย่อยู่แล้วค่ะ ลองนับดูคำปรามาสบางคำก็รู้ อันดับแรกก็หญิงมือเติบประจำหมู่บ้าน ภรรยาผู้ไม่รู้จักใช้ชีวิต หญิงขี้เกียจสันหลังยาว เยอะแยะไปหมด ฉันนับไม่หวาดไม่ไหวหรอกค่ะ เอาเป็นว่าไม่มีใครอยากจะมามีปฏิสัมพันธ์กับฉันเลย”หลินชิงเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ว่าทิศทางลมจะเป็นอย่างไร คนที่ยังแข็งแกร่งก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ แม้จะถูกแรงกระทบหลายอย่างนะครับ” บรรณารักษ์ชราเอ่ย
หลินชิงเหอยิ้ม บรรณารักษ์จึงปล่อยให้เธอเรียนต่อและไม่รบกวนเธออีก เขารู้จักหลินชิงเหอดี เมื่อไหร่ที่หลินชิงเหอมาสาย เขาก็จะจองที่นั่งที่หนึ่งไว้ให้เธอ
ในบางครั้งหลินชิงเหอก็จะมอบหมูตุ๋นให้กับเขา นับว่าเป็นอาหารจานเสริมสำหรับเขา
“คุณครับ วันนี้แม่ผมมานั่งที่นี่ไหม?” โจวข่ายเดินมาถามบรรณารักษ์ชรา
“เพิ่งออกไปน่ะ” ชายชราตอบ
โจวข่ายขอบคุณเขา และเมื่อเขามองหาแม่ บรรณารักษ์ชราก็มีดวงตาฉายแววโศกเศร้า หากลูกชายกับลูกสะใภ้ของเขาอยู่ที่นี่ หลานชายของเขาก็คงจะมีอายุประมาณนั้นแล้ว
โจวข่ายพบแม่ของเขาพอดี หลินชิงเหอจึงเอ่ยทัก “เหงื่อท่วมทั้งตัวเชียว ลูกไปทำอะไรมา?”
“แม่ครับ สุดสัปดาห์นี้ผมมีแผนจะออกไปเที่ยวกับเพื่อน เขามาจากเมืองหลวงล่ะครับ” โจวข่ายบอก
“ไม่มีปัญหา แต่อย่าลืมเอาบัตรประจำตัวนักศึกษาไปด้วยนะ” หลินชิงเหอเอ่ยเตือน
โจวข่ายรับทราบ หลินชิงเหอจึงให้เงินกับเขาอีกหยวนหนึ่งก่อนจะไล่เขาไป
เพื่อนร่วมหอพักของเธอเห็นภาพนี้เข้าและเอ่ยอย่างอิจฉา “ฉันไม่คิดเลยว่าลูกชายของเธอจะตัวใหญ่ขนาดนี้แล้ว”
ใครจะไม่ต้องการลูกชายอย่างโจวข่ายล่ะ ทั้งร่าเริงแจ่มใสและหล่อเหลา เป็นลูกชายในอุดมคติตของแม่ทุกคนชัด ๆ
หลินชิงเหอมีความสัมพันธ์อันดีกับหวังลี่ผู้เป็นเพื่อนร่วมหอพัก หล่อนเองก็เป็นแม่ที่มาจากชนบทเหมือนกัน ลูกชายของหล่อนยังอยู่ที่ชนบท เธอจึงหัวเราะกลับ “โชคดีที่เขาสอบผ่าน ไม่อย่างนั้นเขาก็ถูกเลี้ยงดูอยู่ที่ชนบทล่ะจ้ะ แรงกดดันคงจะหนักหนาทีเดียว”
“เขาตัวใหญ่ขนาดนี้ได้แสดงว่าเขาต้องกินเยอะสินะจ๊ะ” หวังลี่ยิ้ม
“ใช่แล้วล่ะ เขากินหมั่นโถวได้ถึง 5 ลูกในหนึ่งมื้อเลยทีเดียว กินมากกว่าพ่อของเขาอีก เงินเดือนกับแต้มค่าแรงเสริมที่ได้มาจากการสอนในตำบลของฉันถูกใช้หมดไปกับเรื่องนี้เลยล่ะ” หลินชิงเหอตอบ
นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไมหวังลี่ถึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลินชิงเหอ หล่อนเองก็เคยสอนหนังสืออยู่ในชนบทเหมือนกัน หล่อนมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลินชิงเหอ แต่ลูกของหล่อนยังเล็กนัก ประมาณ 4 หรือ 5 ขวบได้ ซึ่งเป็นวัยที่กำลังซนมากที่สุด
“ในช่วงวันหยุดปีนี้ ฉันต้องกลับไปหาลูกหน่อยล่ะจ้ะ” หวังลี่เอ่ย
“เธอควรกลับไปนะ” หลินชิงเหอพยักหน้า
หวังลี่เป็นคนนิสัยดี ต่อให้หล่อนเป็นบัณฑิตจากชนบท หล่อนก็ไม่เคยรังเกียจสามีเลยสักนิด หลังมาถึงที่นี่แล้วหล่อนก็คิดถึงลูกชายอย่างมาก จึงเป็นเหตุผลที่หลินชิงเหอพูดคุยกับหล่อน
พอกลับมาถึงหอพักก็พบว่ามีคนอื่น ๆ อยู่ที่นั่นแล้ว
“ใครเอาสบู่ของฉันไปใช้น่ะ?” หวังลี่ย่นคิ้วเมื่อกลับมาถึงหอพัก
สบู่ยังเปียกชื้น แสดงว่ามีคนเพิ่งใช้ไป
“แค่ยืมใช้นิดหน่อยเอง จำเป็นต้องถามกันด้วยเหรอจ๊ะ?” คนพูดคือเฉินเสวี่ย หล่อนชอบแต่งตัวและเป็นบัณฑิตที่มาอยู่ในชนบทเหมือนกัน ดูจากท่าทางแล้วเหมือนหล่อนจะยังไม่ได้แต่งงานด้วย