ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 251 มิตรภาพ
บทที่ 251 มิตรภาพ
“พ่อ ครัวก็มีอยู่แค่นั้น พ่อไปทำอะไรอยู่ตรงนั้นล่ะครับ?” เจ้ารองที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านพร้อมกับพี่น้องก็ได้มาเห็นฉากนั้นพอดี เขาเดินปรี่เข้ามา
“ลูกคงจะรู้สึกคันไม้คันมืออยากจะประลองกับพ่ออยู่สินะ” หลินชิงเหอเอ่ยด้วยท่าทางสบาย ๆ
“แม่ ผมเป็นลูกแม่นะครับ แม่ไม่ช่วยผมเลย” เจ้ารองเอ่ยประท้วงในทันที
“แม่ยังเป็นภรรยาของพ่ออยู่นะ พ่อกับแม่ถือว่าสนิทกันที่สุด ตอนยังเป็นเด็กน้อยลูกบอกสถานการณ์ได้ไม่แน่ชัดก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ลูกโตขนาดนี้แล้วยังไม่เห็นรักแท้ระหว่างแม่กับพ่อของลูกกับเรื่องที่พวกลูกเป็นแค่ความบังเอิญอีกเหรอ?” หลินชิงเหอเอ่ย
“มันเลี่ยนเกินไปแล้วนะครับ ผมรับไม่ได้!” เจ้าสามเอ่ยพลางลูบปลอบตัวเองที่กำลังขนลุกไปทั้งร่างด้วยอาการเกินจริง
“ใช่แล้ว แม่กำลังสารภาพกับพูดบอกรักกับพ่ออยู่เหรอครับ?” เจ้ารองถาม
“ยังต้องพูดกันอีกเหรอ? พวกเขาสองคนรักกันเสมอแหละ” เจ้าสามบอก
“รักกันก็ดีแล้วครับ พ่อ ตอนนี้แม่อยู่ที่บ้านแล้ว ผมจะยกให้พ่อแล้วกันครับ ตอนที่ผมคุ้มกันแม่อยู่ในคณะก็เกือบโดนทางมหาวิทยาลัยทำโทษแน่ะ งานหนักชะมัดเลย” เจ้าใหญ่หรือโจวข่ายเอ่ยขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” โจวชิงไป๋หันมาถามเขา
“อะแฮ่ม เรื่องมันจบไปแล้ว ยังต้องพูดถึงอีกเหรอ?” หลินชิงเหอเอ่ยพลางถลึงมองลูกชายคนโต
โจวข่ายอธิบายอย่างไม่ปิดบัง “พ่อไม่รู้หรอกครับว่าแม่เป็นที่นิยมในมหาวิทยาลัยขนาดไหน ทั่วทั้งภาควิชาภาษาอังกฤษถึงกับส่งแม่เป็นตัวแทนนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยไห่หนาน ซึ่งแม่ก็ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบและจัดการได้สวย นำเกียรติมาให้ทางมหาวิทยาลัยโดยไม่ทำให้ทางมหาวิทยาลัยเสียหน้าเลย เรื่องที่เล่ามานี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทีหลังน่ะครับ แต่ก่อนหน้านี้ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนปีนี้มีนักศึกษาอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาที่คณะ”
จากนั้นเขาก็บอกพ่อว่าเด็กหนุ่มขนดกพวกนั้นเลือดร้อนอย่างไร ในกลุ่มพวกเขามีแม้กระทั่งเด็กหนุ่มอายุ 18 ปีที่มาจากเมืองหลวงเหมือนกันที่เขียนจดหมายรักส่งให้แม่ของเขาถึง 2 ฉบับใน 1 วัน
เขามีทะเบียนบ้านอยู่ในเขตหนึ่งของเมืองหลวงและยังลือกันว่าครอบครัวของเขาเป็นทหาร แม้จะรู้ว่าหลินชิงเหอแก่กว่าเขามาก เด็กคนนี้ก็ยังรุกไม่ถอย
เขาไม่สนใจเลยว่าความสัมพันธ์นี้จะเป็นแบบโคหนุ่มกินหญ้าแก่
แต่หลังจากโจวข่ายได้ประกาศทางวิทยุเขาก็ต้องยอมแพ้ กล่าวกันว่าเขาดูซึมเซาหมดอาลัยตายอยากไปหลายวัน ยิ่งกว่านั้นยังมาหาโจวข่ายที่ชั้นเรียนเพื่อตรวจสอบดูว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริงหรือไม่ด้วย
แล้วมันก็เป็นความจริง เมื่อเขาได้มาเห็นกับตาว่าโจวข่ายผู้เป็นลูกชายของคนที่หมายปองตัวสูงใหญ่ขนาดนี้ เด็กหนุ่มหัวร้อนคนนั้นก็ล้มเลิกความคิดที่จะจีบต่อ
เรื่องนี้ยังคงชี้ให้เห็นว่าหลินชิงเหอเนื้อหอมขนาดไหนในมหาวิทยาลัย
เจ้ารองกับเจ้าสามถึงกับอึ้งไป จากนั้นก็เอ่ยชื่นชม “แม่สุดยอดไปเลยครับ ดึงดูดคนทุกช่วงวัยเลย!”
โจวชิงไป๋มีสีหน้าน่าเกลียดไปก่อนจ้องมองภรรยา
หลินชิงเหอกระแอมไอแห้งและเอ่ยตอบ “โทษแม่ไม่ได้นะ แม่ไม่ได้ทอดสะพานให้พวกเขาสักหน่อย พวกเขาเขียนจดหมายมาเองต่างหาก”
“จดหมายเยอะเลยครับ บอกได้ว่าวันหนึ่งมาเป็นตั้ง ๆ เลย” โจวข่ายเสริม
“คืนนี้ลูกยังอยากกินข้าวอยู่ไหม?” หลินชิงเหอขบเคี้ยวฟันอย่างอดรนทนไม่ไหว
“หึ ๆ แน่นอนอยู่แล้วครับ” โจวข่ายยิ้มกริ่ม จากนั้นก็พาน้องชายทั้งสองกลับเข้าไปในห้อง
เมื่ออยู่ในห้องกันเป็นการส่วนตัวแล้ว เจ้ารองกับเจ้าสามก็ไม่ขำแม้แต่น้อย พวกเขารีบเตือนพี่ชายคนโตว่าทุกปีจะมีนักศึกษาใหม่เข้ามา เขาต้องคอยดูแลแม่ของพวกเขาให้ดี พวกเขาไม่อยากไม่มีแม่นะ!
ปีนี้มีเรื่องราวหลายอย่างเกิดขึ้นในหมู่บ้าน และสองพี่น้องก็โตขึ้นมาก
ส่วนโจวชิงไป๋ไม่ได้พูดอะไรมากในคืนนั้น
หลินชิงเหอรู้ว่าเขาต้องโกรธแน่ น้อยครั้งนักที่จะเห็นชิงไป๋ของเธอโมโห เขาช่างน่ารักเหลือเกินเวลาทำหน้าบูดบึ้ง ดังนั้นเธอจึงลงมือง้อเขา
ในเย็นนั้นเอง เธอจึงปล่อยให้เขาได้กินอิ่มและรู้สึกพอใจ
เธอปล่อยให้เขาได้มัวเมาจับเธอพลิกไปพลิกมาหลายครั้ง เป็นเช่นนั้นเธอถึงปลอบเขาได้
“ปีหน้าผมจะไปส่งพวกคุณสองคนเอง” โจวชิงไป๋บอก
“จำเป็นด้วยเหรอคะ?” หลินชิงเหอถาม
เธอกับลูกชายคนโตจะเริ่มเรียนอีกครั้งในวันที่สิบ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องออกจากบ้านในวันที่หก ดังนั้นจะอยู่ได้ถึงวันที่หกของเทศกาลปีใหม่และจากบ้านไปอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็ช่วยไม่ได้
จึงไม่จำเป็นที่จะให้โจวชิงไป๋เดินทางพร้อมกับภรรยาและลูกชาย
“รอจนกว่าจะถึงฤดูร้อนก่อนค่ะ ถ้าช่วงนั้นคุณว่างคุณก็มาหาได้” หลินชิงเหอเอ่ยกับเขา
โจวชิงไป๋รับรู้ในสิ่งที่เธอพูด จากนั้นก็นอนกอดเธอจนหลับไป
“คุณนี่เป็นผู้ชายรุนแรงจริง ๆ ไม่รู้จักทำเบา ๆ หน่อยเหรอคะ?” หลินชิงเหอพึมพำ
“ถ้าคุณยังพูดอยู่อีก ผมจะทำอีกรอบนะ” โจวชิงไป๋ส่งเสียงคราง
หลินชิงเหอได้ยินก็หยิกเอวเขาเบา ๆ “มีแต่โคที่หมดแรงเท่านั้นแหละค่ะที่จะไม่ไถพรวนผืนดินที่เสียหาย โจวชิงไป๋ คุณน่ะไม่ใช่หนุ่ม ๆ แล้วนะ”
“นั่นไม่ใช่ปัญหานะ” โจวชิงไป๋หัวเราะเสียงทุ้ม
เขารู้ดีว่าร่างกายของเขาไม่มีปัญหาอะไรเลย
“รีบนอนกันเถอะค่ะ” หลินชิงเหอตัดบท
คนทั้งคู่ต่างนอนอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน
เนื่องจากเนื้อในปีนี้ค่อนข้างอู้ฟู่ เธอจึงไปซื้อเนื้อจากเหมยเจี่ยได้
หลินชิงเหอกันผ้าพันคอผืนหนึ่งไว้ให้เหมยเจี่ยโดยเฉพาะ “คราวที่แล้วฉันซื้อมาตอนเดินทางไปทำธุระที่ไห่หนานในฐานะตัวแทนของมหาวิทยาลัยน่ะค่ะ ฉันไม่อยากไปเสียเที่ยวก็เลยซื้อผ้าพันคอมาให้เหมยเจี่ยด้วย”
“ที่นี่เราไม่มีผ้าพันคอแบบนี้เลย” เหมยเจี่ยบอก หล่อนรู้สึกปิติยินดีอย่างมาก
“นี่เป็นแบบล่าสุดในไห่หนานเลยนะคะ” หลินชิงเหอพยักหน้า
“ราคาเท่าไหร่เหรอ? พี่จะได้ให้เธอ” เหมยเจี่ยยิ้ม
“พี่เกรงใจเกินไปแล้วค่ะถ้าให้เงินกันแบบนี้ เราเป็นสหายมานานหลายปีอย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย ฉันแค่เห็นแล้วคิดว่ามันเหมาะกับพี่ก็เลยซื้อมาให้พี่เท่านั้น” หลินชิงเหอตอบ
ทั้งคู่คุยกันอย่างสนุกสนานก่อนหลินชิงเหอจะกล่าวถึงเรื่องอยากซื้อเนื้อหมูขึ้นมา “ถึงตอนนี้หมู่บ้านจะมีการแจกเนื้อหมูแล้ว แต่ก็แจกไม่มาก หลายวันมานี้ตอนที่ฉันเรียนอยู่ในเมืองหลวง แม่สามีของฉันก็อยู่อย่างประหยัดเหลือเกิน จนคนทั้งครอบครัวผอมแห้งเป็นกิ่งไม้กันหมด ฉันเลยอยากทำอาหารดี ๆ เลี้ยงดูพวกเขามากกว่านี้น่ะค่ะ”
“เธอมาถูกเวลาพอดีเลย” เหมยเจี่ยบอก จากนั้นก็ถามเธอว่าต้องการเนื้อส่วนไหนบ้างและปริมาณเท่าใด?
เธอจึงบอกว่าขอเหมาเนื้อสามชั้น เนื้อซึ่โครง กระดูกหมู และกระเพาะหมูไปทั้งหมด
เหมยเจี่ยตกลงที่จะให้เนื้อทุกอย่างกับเธอ เมื่อหลินชิงเหอกำลังจะจากไป เหมยเจี่ยก็เดินไปที่สวนหลังบ้านและจับแม่ไก่มาตัวหนึ่ง คะยั้นคะยอให้เธอนำกลับไปด้วย
“ปีนี้แม่สามีของฉันเลี้ยงไก่ที่บ้านไว้หลายตัวเลยค่ะ เหมยเจี่ยไม่ต้องให้ฉันหรอก พี่รีบนำกลับไปเก็บไว้ให้พี่เขยกับหลาน ๆ ของฉันดีกว่า” หลินชิงเหอปฏิเสธ
“พวกเขาจะไม่มีไก่กินเลยได้ยังไงล่ะ? ไก่ตัวนี้พี่จับมาให้เธอโดยเฉพาะ ดังนั้นรีบรับไปซะ อย่าเกรงใจพี่เลย” เหมยเจี่ยยืนกราน
หลังปฏิเสธไปพักหนึ่ง ในที่สุดหลินชิงเหอก็รับไก่ไว้
เหมยเจี่ยยิ้มกริ่มก่อนจะส่งเธอกับบ้าน
สามีของหล่อนได้ยินแล้วก็หัวเราะขำ “แค่ผ้าพันคอผืนเดียวคุณก็มีความสุขถึงขนาดนี้แล้ว”
“คุณจะไปรู้อะไรล่ะคะ? นี่เป็นเพราะว่าหล่อนคิดถึงฉันหรอกถึงนำแบบล่าสุดของไห่หนานมาให้ ฉันประเมินราคาแล้วว่าหากอยากจะซื้อต้องใช้เงินมากกว่า 10 หยวนเลยล่ะค่ะ”เหมยเจี่ยบอก
“ผ้าพันคอผืนเดียวเนี่ยนะแพงถึงขนาดนั้น?” สามีของหล่อนอุทานหลังได้ยินดังนี้
เหมยเจี่ยโบกมือและไม่พูดเรื่องนี้กับเขาอีก ไม่ว่าอย่างไรหล่อนก็ไม่ได้เสียอะไรอยู่แล้วจากการให้ไก่หนึ่งตัวเป็นของขวัญกับหลินชิงเหอ
เมื่อหล่อนไปทำงานในวันต่อมา หล่อนก็พันผ้าพันคอผืนนี้ไปด้วย เพื่อนร่วมงานถึงกับรู้สึกอิจฉา โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินว่ามันเป็นของจากเมืองไห่หนาน
……………………………………………………………………………………