ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 255 วันปีใหม่ปี 1979
บทที่ 255 วันปีใหม่ปี 1979
ในวันสิ้นปีพวกเขาได้ไก่ฟ้ามาเป็นจำนวนมาก เพราะน้องชายสามตระกูลหลินได้ให้มา 2 ตัว เช่นเดียวกับที่พวกเด็กชายออกไปล่าแล้วนำกลับมาในตอนเย็น
อาหารเย็นของวันนี้จึงดูยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ
ทั้งครอบครัวรวมตัวกันล้อมวงกินอาหารเย็นในวันสิ้นปี และอาหารทุกอย่างก็เป็นที่น่าพึงพอใจอย่างมาก
ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวมีสีหน้าปิติ ทุกอย่างที่บ้านกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ดี แล้วมีอะไรให้ต้องกังวลด้วยล่ะ?
“ทุกคนกินอาหารให้หมดจนหยดสุดท้ายเลยนะ ปีหน้าลูกต้องเรียนหนัก ถ้าในอนาคตไม่สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ล่ะก็ พ่อกับแม่จะไม่สนใจ” หลินชิงเหอบอกสามพี่น้อง
เธอรู้สึกโล่งใจเสียจริงที่ช่วงเวลานี้กำลังเป็นไปอย่างดีขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่อย่างนั้นการพึ่งพาแค่รายได้จากทุ่งนาทั้งที่มีสามหน่อนี้ในบ้าน ครอบครัวของเธอก็คงต้องดื่มลมตะวันตกเฉียงเหนือหรือกินแกลบกันเอาแล้วล่ะ
พวกเขาช่างกินจริง ๆ แต่ละมื้อพวกเขาแต่ละคนกินกันเป็นปริมาณมหาศาล
“แม่ แม่จะไม่รักลูกชายตัวเองแบบนี้ไม่ได้นะครับ” โจวข่ายตอบ
เขากินจุที่สุด ซึ่งนั่นก็ช่วยไม่ได้ เขาตัวสูงใหญ่ขนาดนี้แล้วก็ย่อมหิวบ่อย
แม้อาหารที่บ้านจะมีปริมาณน้ำมันเพียงพอ แต่ก็ไม่อาจต้านทานอัตราการบริโภคของเด็กคนนี้ได้
“แม่ไม่รักใครเลยนอกจากพ่อ พวกเราสามคนก็แค่พลอยมีส่วนได้ส่วนเสียเท่านั้น ได้กินอาหารของแม่สักคำก็ถือว่าดีแล้ว พี่ใหญ่ควรจะดีใจนะ” เจ้ารองหรือโจวเฉวี่ยนเอ่ยพลางส่ายหน้า
“เป็นแค่กะหล่ำปลีหัวน้อยสามหัวที่ถูกลมพัดมา” เจ้าสามหรือโจวกุยหลายเอามือไพล่หลังขณะแหงนมองท้องฟ้าด้วยมุมสี่สิบห้าองศาพร้อมกับแสดงสีหน้าโศกสลด
หลินชิงเหอหัวเราะเบา ๆ ใส่พวกเขา จากนั้นเธอก็ออกไปเยี่ยมเยียนคนอื่น ๆ พร้อมกับโจวชิงไป๋
มันเหมือนเป็นกฎที่ไม่จำเป็นต้องพูดกันในการไม่ควรอยู่ที่บ้านตัวเองตลอดวันในวันสิ้นปี หลังกินอาหารเย็นเสร็จ หลินชิงเหอก็คว้าเมล็ดแตงกับของทานเล่นส่วนหนึ่งเดินทางมาที่บ้านของคุณป้าไฉ่
หลังนั่งคุยอยู่ที่นั่นมากกว่าหนึ่งชั่วโมง เธอก็เดินมาที่บ้านตระกูลโจว
สะใภ้ใหญ่กับคนอื่น ๆ กำลังคอยท่าเธออยู่แล้ว
บรรดาสะใภ้ทั้งหลายปล่อยวางความสัมพันธ์ในอดีตลงเสีย ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกหล่อนยังคงเหนียวแน่น ทุกปีใหม่พวกหล่อนจะมานั่งอยู่ด้วยกัน
เรื่องแรกที่พูดกันก็คือความเปลี่ยนแปลงในหมู่บ้านปีนี้ บรรดาบัณฑิตรุ่นเยาว์ทั้งหลายที่ได้รับคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยต่างกลับไปกันหมดแล้ว ส่วนมากไม่หวนกลับมาอีกเลยในวันปีใหม่
หลินชิงเหอให้ความเห็นว่าคนทั้งหมดที่จากไปตอนนี้ต่างได้รับคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย แต่อนาคตคนเหล่านั้นจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่ทราบแน่ชัด
เธอไม่กล้าฟันธงไปเหมือนกัน บรรดาบัณฑิตหนุ่มสาวทั้งหลายเริ่มกลับสู่เมืองเป็นปริมาณมหาศาล ดูเหมือนจะเกิดขึ้นในราว ๆ ช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า
จากต้นปี 1979 จนถึงต้นปี 1980 ย่อมจะมีพวกเขาเหลืออยู่ไม่มากนัก
เมื่อสะใภ้ใหญ่กับคนอื่น ๆ ได้ยินดังนี้ พวกหล่อนต่างก็ถามกันว่าเธอไปได้ยินมาจากไหน หลินชิงเหอบอกว่าไม่ได้ยินมาจากที่ไหนหรอก ทั้งหมดนี้เธอแค่คาดเดาเท่านั้น และบอกพวกหล่อนว่าไม่ให้นำเรื่องนี้ออกไปพูดข้างนอก
“ชิงเหอ หลังเรียนจบแล้วจะกลับมาที่นี่อีกไหมจ๊ะ?” สะใภ้ใหญ่ถาม
“หลังเรียนจบเธอก็ต้องหางานทำอยู่แล้วน่ะสิจ๊ะ แม่เจ้าใหญ่เป็นคนมีความสามารถที่ประเทศเราต้องการ เธอจะกลับมาที่บ้านทำไม?” สะใภ้รองเอ่ยแทรก
“ถ้าเธอไม่กลับมาที่บ้าน แล้วน้องชายสี่กับคนที่เหลือจะทำอย่างไรล่ะ?” สะใภ้สามเอ่ย
สะใภ้ทั้งสามมองหน้าหลินชิงเหอ เธอจึงตอบกลับไปว่า “ตอนนี้ฉันยังไม่รู้เลยค่ะ กว่าจะเรียนจบก็อีกนาน”
เดิมทีหลินชิงเหอวางแผนจะเรียนให้จบโดยเร็ว แต่ก็พบว่าเธอไม่สามารถก้าวหน้าได้เร็วกว่านี้ อย่างมากก็แค่จบเร็วกว่าคนอื่นเพียง 1 ปีเท่านั้น เธอจึงจงใจชะลอความเร็วลง
“เมื่อตอนนั้นมาถึงฉันว่าจะอยู่ในเมืองหลวงน่ะค่ะ ทางมหาวิทยาลัยอยากให้ฉันมาเป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่นั่น” หลินชิงเหอบอก
ทางมหาวิทยาลัยแสดงเจตจำนงนี้โดยผ่านทางอาจารย์ของเธอ
หลินชิงเหอไม่อยากเรียนสูงกว่านี้หลังจากเรียนจบ การเรียนจบมหาวิทยาลัยก็เพียงพอแล้วที่เธอจะโลดแล่นอยู่ในยุคนี้ ส่วนที่เหลือที่ต้องคำนึงถึงคือความก้าวหน้าของครอบครัวในยุคที่กำลังฟื้นฟู ซึ่งการได้ตั๋วรถเที่ยวแรกนับว่าเป็นเรื่องสำคัญ
เมื่อสะใภ้ใหญ่กับคนอื่น ๆ ได้ยิน พวกหล่อนก็รู้สึกอิจฉาอย่างมาก
“แต่ถ้าเธออยํู่ในเมืองหลวง แล้วน้องชายสี่กับเด็ก ๆ จะทำอย่างไรล่ะ?” พวกหล่อนเอ่ยถามทันที
ถ้าสะใภ้สี่อย่างหลินชิงเหออยู่ในเมืองหลวงได้ มันจะไม่เป็นปัญหาใหญ่เพราะการได้รับว่าจ้างงานในมหาวิทยาลัยจะช่วยแก้ปัญหาทะเบียนบ้านของเธอ แต่น้องชายสี่ไม่ได้มีงานทำอยู่ที่นั่น
“ถ้าเป็นไปได้ เมื่อเวลานั้นมาถึงฉันจะลองสู้และย้ายทะเบียนบ้านของครอบครัวฉันไปอยู่ที่นั่นน่ะค่ะ” หลินชิงเหอบอก
เธอรู้สึกว่าถ้าต่อรองกับทางมหาวิทยาลัย ทางนั้นคงยินดีที่จะช่วยเหลือ ในเมื่อพวกเขาอยากได้ตัวเธอไว้ แต่เธอแต่งงานแล้ว พวกเขาคงไม่ปล่อยให้คู่รักต้องอยู่แยกกันในสองที่หรอกถูกไหม?
ในเมื่อเธอทำงานที่มหาวิทยาลัยได้ทั้งที่แต่งงานแล้ว เธอก็น่าจะได้ที่พักอาศัยด้วย…
หลินชิงเหอรู้สึกว่านี่เป็นทางเลือกที่ดี
สะใภ้ที่เหลือต่างรู้สึกวางใจ
เมื่อพวกหล่อนเข้านอนในคืนนั้นก็ได้เอ่ยเรื่องนี้กับสามีของแต่ละคน
“ดูจากที่ฉันเห็นแล้ว ในอนาคตสะใภ้สี่ตั้งใจจะย้ายทะเบียนบ้านนะคะ” สะใภ้ใหญ่เอ่ยขึ้นด้วยความลังเลเล็กน้อย
พูดตามตรงก็คือสะใภ้สี่กับหล่อนเมื่อก่อนไม่ได้เข้าหน้ากันติดนัก แต่นับตั้งแต่ที่น้องชายสี่กลับมา เธอก็เปลี่ยนไปและไม่มีอะไรต้องตำหนิหลังจากนั้น
จากนั้นอีกหลายปี ความรู้สึกรักใคร่ผูกพันก็ก่อเกิด ซึ่งสะใภ้ใหญ่ไม่อยากให้ทั้งครอบครัวของสะใภ้สี่ย้ายจากไปเลย
“เป็นข่าวดีแล้วล่ะที่พวกเขาย้ายออกไปได้ ไม่มีใครในบ้านตระกูลโจวได้เป็นพลเมืองชาวกรุงเลย แถมยังมีทะเบียนบ้านอยู่ในเมืองหลวงด้วย” พี่ชายใหญ่ไม่ใส่ใจมากนัก
“แต่การย้ายทะเบียนบ้านมันไม่ง่ายน่ะสิคะ” สะใภ้ใหญ่ชี้แจง
“ถ้าทางนั้นยอมรับ มันก็ไม่ยากหรอกที่จะย้ายทะเบียนบ้านไป ในเมื่อสะใภ้สี่กล้าพูดแบบนั้น ผมก็คิดว่าหล่อนแน่ใจแล้ว” พี่ชายใหญ่ตอบ
“คงจะดีมากนะคะถ้าหล่อนกลับมาที่บ้านเกิดของพวกเราและก้าวหน้าในอาชีพการงานไปด้วย” สะใภ้ใหญ่เอ่ย
“บ้านเรามีอะไรพัฒนาบ้างล่ะ? ออกไปสู่เมืองใหญ่ได้จะดีกว่า ตอนนี้ก็มีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ผมได้ยินว่าทุกที่กำลังพัฒนา และกำลังต้องการนักศึกษาอย่างพวกเขาล่ะ” พี่ชายใหญ่อธิบาย
สะใภ้ใหญ่ได้ยินแล้วก็ไม่เอ่ยอะไร
สะใภ้รองกับสะใภ้สามก็นำเรื่องนี้ไปบอกกับสามีเหมือนกัน
ซึ่งสามีของแต่ละคนต่างคิดเห็นในทางเดียวกัน พวกเขาทั้งหมดสนับสนุนให้ย้ายออก
อย่างที่คนแก่คนเฒ่าพูดกันไว้ว่า ‘ต้นไม้ย้ายพวกมันตาย คนย้ายพวกเขาอยู่’ สะใภ้สี่มีความสามารถแบบนี้แล้ว และถูกคัดเลือกให้เข้าไปอยู่ในสถานที่อย่างมหาวิทยาลัยปักกิ่งในเมืองหลวงได้ ทำไมพวกเขาถึงจะไม่ย้ายไปล่ะ?
“ถ้าทางนั้นก้าวหน้าดีแล้ว ผมก็จะรอดูว่าอู่นีจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในภายภาคหน้าได้หรือเปล่า ถ้าหล่อนสอบเข้าได้ หล่อนก็ไปอยู่ที่บ้านของอาสี่ได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัยหรอก” พี่ชายสามบอก
“ติดแค่ว่าอู่นีสาวน้อยคนนี้เรียนได้คะแนนไม่ดีน่ะสิคะ” สะใภ้สามมีความคิดแบบเดียวกัน หล่อนเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเศร้าสลด
“ก็คว้าโอกาสที่สะใภ้สี่ยังอยู่ให้หล่อนเรียนมากขึ้นสิ” พี่ชายสามตอบ
พูดถึงการศึกษาของเด็ก ๆ แล้ว พี่ชายสามรู้สึกว่าไม่มีใครในที่นี้สามารถสู้สะใภ้สี่ได้ เขาคนนี้คนหนึ่งที่แน่ใจ
ซึ่งมันก็เป็นความจริงว่าหลังจากที่เธอเริ่มสอนไปไม่นานนัก โจวหยางกับอู่นีก็มีพัฒนาการดีขึ้นหลังได้ศึกษาเล่าเรียนในทุกวัน
หลินชิงเหอไม่ได้สอนในวันแรกของวันปีใหม่เนื่องจากยุ่งเกินไป หลังให้ลูกชายคนโตเน้นจุดสำคัญแล้วเธอก็ให้พวกเขาหยุดพัก 3 วัน พวกเขาไม่ต้องมาหาในวันที่หนึ่งถึงวันที่สาม การเรียนอย่างจริงจังด้วยตัวเองถือว่าเพียงพอแล้ว
ในวันแรกของปีใหม่ปี 1979 หลินชิงเหอก็ตื่นแต่เช้า โจวชิงไป๋เห็นเธอตื่นแล้วเขาก็ไม่นอนต่ออีก ถึงเตียงจะอุ่นสบาย แต่ก็นอนสบายเฉพาะตอนที่ภรรยาของเขาอยู่ด้วยเท่านั้น
เมื่อเธอตื่นนอน เขาก็ตื่นด้วย และวันนั้นเองน้องชายสามตระกูลหลินกับครอบครัวของเขาก็มาเยี่ยมที่บ้าน