ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 270 สอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลาย
บทที่ 270 สอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลาย
หลังตกลงกับเสิ่นอวี้ว่าจะนำของมาให้อีกในครั้งหน้า หลินชิงเหอก็แวะมาเยี่ยมบ้านของโจวเสี่ยวเหมย
เธอซื้อแตงโมมาสองลูก ลูกหนึ่งเธอให้โจวเสี่ยวเหมย
“พี่สะใภ้สี่ พี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย?” โจวเสี่ยวเหมยรู้สึกประหลาดใจมาก
หล่อนไม่ได้ไปทำงานตั้งแต่เดือนนี้เพราะอยู่ดูแลครรภ์ที่บ้าน ตอนนี้ท้องของหล่อนมีอายุเกือบ 7 เดือนแล้ว นับว่าไม่เล็กเลย
“พี่กลับมาตั้งแต่ตอนยุ่ง ๆ ในช่วงเก็บเกี่ยวประจำฤดูร้อนแล้วล่ะ ตอนนั้นมีรถแทรกเตอร์กำลังจะกลับหมู่บ้านใกล้เคียงพอดี พี่ก็เลยรีบขึ้นรถจนไม่มีเวลามาคุยกับเธอนี่แหละ” หลินชิงเหอยิ้ม
“ป้าสะใภ้สี่ครับ บ้านเราก็มีแตงโมลูกใหญ่แล้วเหมือนกัน อาเอาแตงโมทั้งสองลูกกลับไปให้พี่รองกับคนอื่น ๆ กินเถอะครับ” ซูเฉิงบอก
ตอนนี้เด็กชายเรียนอยู่ในโรงเรียนประถมศึกษาแล้ว เป็นเด็กที่ฉลาดและมีเหตุผลอย่างมาก
และเขาเองก็ยังสนิทกับเจ้ารองและเจ้าสามผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง เด็กชายยังจำได้ถึงวันเวลาที่เขายังเด็กและอาศัยในบ้านเกิด
“ต้าหลินเพิ่งซื้อกลับมาวันนี้ลูกหนึ่งน่ะค่ะ อยู่ในครัว ยังไม่ได้ผ่าเลย” โจวเสี่ยวเหมยยิ้ม
จากนั้นหล่อนก็เดินเข้าครัวไปหั่นแตงโมบริการพี่สะใภ้สี่
“เธอไม่ต้องทำอะไรให้ลำบากหรอก พี่หั่นเอง” หลินชิงเหอมองท้องป่องนูนของหล่อนแล้วก็ไม่กล้านั่งเฉย ๆ เป็นฝ่ายให้น้องสามีคอยบริการ
หญิงสาวจึงเป็นคนเดินไปหั่นแตงโมด้วยตัวเอง
“แตงโมนี่ฤทธิ์เย็นอยู่นะ เธอกินน้อย ๆ ดีกว่า” หลินชิงเหอเอ่ยกับหล่อน
โจวเสี่ยวเหมยได้ยินแล้วก็เอ่ยขึ้นมา “พี่สะใภ้สี่คะ ฉันตกงานแล้วค่ะ”
“เธอตกงานแล้วก็ตกไปเถอะ เงินเดือน 30 หยวนไม่ได้มากมายนักหรอก” หลินชิงเหอโบกมือเอ่ยอย่างไม่รู้สึกรู้สา เธอมองซูเฉิงและเอ่ยเรียก “มากินแตงโมสิจ๊ะ หนูกินลูกนี้ ส่วนอีกลูกที่ป้าให้จะได้ให้พ่อหนูกินทีหลัง”
ซูเฉิงจึงหยิบแตงโมขึ้นมากิน
“พี่สะใภ้สี่รวยแล้วเหรอคะ?” โจวเสี่ยวเหมยถามพลางคว้าแตงโมขึ้นมากินเช่นกัน
เงินเดือน 30 หยวนนับว่ามากแล้วจริง ๆ
“รวยอะไรกันล่ะ? เงิน 30 หยวนต่อเดือนจริง ๆ แล้วไม่เยอะเลย ถ้าเธอฟังฉันก็เลี้ยงดูเด็กให้ดี ๆ ไม่ต้องกังวลกับอะไรอย่างอื่น เมื่อถึงเวลา พี่สะใภ้สี่คนนี้จะพาเธอบินขึ้นสูงเอง เธอทำแค่นับเงินเท่านั้น ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว” หลินชิงเหอตอบ
โจวเสี่ยวเหมยได้ยินแล้วก็หัวเราะ “พี่สะใภ้สี่นี่ช่างทำให้ฉันมีความสุขเก่งขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะคะ”
“ตราบใดที่เธอมีความสุขล่ะก็ ตอนที่เธอว่างก็พาเด็ก ๆ มาเดินเล่นหน่อยสิ อย่าอยู่อุดอู้แต่ในบ้านเลย” หลินชิงเหอแนะนำ จากนั้นเธอก็ถามขึ้นมา “ครั้งหน้าอยากให้พี่เอาพัดลมไฟฟ้ามาให้ไหม?”
ในเมืองมีไฟฟ้าใช้แล้ว แต่โจวเสี่ยวเหมยยังไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าใด ๆ เลย
“มันแพงเกินไปน่ะค่ะ ไม่ง่ายที่จะซื้อเลย อีกอย่างมันต้องใช้เส้นสายเยอะด้วย” โจวเสี่ยวเหมยส่ายหน้า
“มันค่อนข้างแพงจริง ๆ แหละ” หลินชิงเหอตอบ
ในยุคนี้เครื่องใช้ไฟฟ้านับว่ามีราคาแพงลิ่ว เธอได้ยินว่าตู้เย็นหลังหนึ่งมีราคาราวหลายพันหยวน ยิ่งกว่านั้นบ้านในตอนนี้มีราคาเท่าไหร่ล่ะ?
“ในอนาคตข้างหน้าพี่จะได้ตั้งตัวในเมืองหลวง ฉันเลยมีแผนที่จะไปอยู่กับพี่ด้วย จะเก็บเงินทุกหยวนที่ฉันมีในตอนนี้เลยค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยบอก
หล่อนเองก็รู้ว่าการถือเงินไว้มาก ๆ ตอนออกจากบ้านมันทำให้รู้สึกอุ่นใจมากขึ้น
หลินชิงเหอพยักหน้า
ตอนนี้ซูต้าหลินกำลังทำงานอยู่ หลินชิงเหอจึงไม่อยู่นาน เธอทิ้งแตงโมไว้ให้ลูกหนึ่ง แต่โจวเสี่ยวเหมยก็หยิบมาคืน “ที่บ้านนั้นมีคนเยอะแยะ พี่สะใภ้สี่เอากลับไปกินเถอะค่ะ ไม่ใช่ว่าทางนี้ไม่มีกินเลย”
“ป้าสะใภ้สี่เอากลับไปให้พี่รองกับคนอื่น ๆ กินเถอะครับ ปีนี้พี่รองจะได้เข้าโรงเรียนมัธยมปลายเป็นปีแรก บอกให้พี่รองมาอยู่อาศัยและพักผ่อนกับผมได้นะครับ” ซูเฉิงบอก
“ได้จ้ะ” หลินชิงเหอยิ้มและปั่นจักรยานกลับไป
เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเจ้ารองของเธอกำลังจะเข้าโรงเรียนมัธยมปลายในปีนี้ในขณะที่ขายพัดลมไฟฟ้าทั้งหมดที่มีอยู่ไปแล้ว ไม่อย่างนั้นมันจะเยี่ยมขนาดไหนที่สามารถเหลือไว้ให้บ้านของเสี่ยวเหมยได้ตัวหนึ่ง?
บังกาโลเล็ก ๆ ในเมืองก็ถือว่าดี แต่พวกมันคับแคบอุดอู้เกินไป เทียบไม่ได้กับอากาศเปิดโล่งของชนบทหรอก
ครั้งหน้าเธอจะนำกลับมาด้วยตัวหนึ่งแล้วกัน
หลินชิงเหอนำแตงโมกลับมา 2 ลูก เธอไม่ได้ตรงไปที่หมู่บ้านเลย แต่ปั่นอ้อมแวะไปส่งแตงโมลูกหนึ่งให้น้องชายสาม
ทั้งน้องชายและน้องสะใภ้ของเธอต่างไปทำงานในทุ่งนา เหลือเพียงเด็กหญิง 2 คนอยู่ที่บ้าน หลินชิงเหอจึงทิ้งแตงโมไว้ให้และปั่นจักรยานกลับบ้าน
เมื่อหลินชิงเหอกลับมาถึงบ้าน อู่นีกับโจวหยางก็กำลังเรียนหนังสืออยู่ในลานบ้าน หลินชิงเหอจึงเก็บของทุกอย่างเข้าที่และมาตรวจการบ้านให้พวกเขา และยังอธิบายโจทย์สองข้อกับให้โจทย์อีกสามข้อกับพวกเขา
ก่อนทำโจทย์สามข้อนี้ เธอให้สองพี่น้องเขียนศัพท์ภาษาอังกฤษที่เธอบอกให้พวกเขาไปท่องจำหลังเลิกเรียนเมื่อวานนี้
และปล่อยให้พวกเขาตรวจงานของกันละกัน
อู่นีทำผิดไป 2 ข้อ ขณะที่โจวหยางทำผิดไป 1 ข้อ
หลินชิงเหอให้พวกเขาจำศัพท์เพียง 5 คำจากความสามารถของทั้งคู่ และยังมีคำที่เคยจำมาแล้วที่นำกลับมาเขียนใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังมีจุดผิดอยู่
“คัดคำผิด 10 ครั้งใน 1 คำนะ แล้วอาจะมาตรวจใหม่วันพรุ่งนี้ ตอนนี้เรามาทำโจทย์กันต่อเถอะ” หลินชิงเหอบอก
สองพี่น้องต่างลงมือแก้โจทย์ปัญหา
โจทย์ที่อาสะใภ้สี่ของพวกเขาให้มาไม่ได้ง่ายเลย สองพี่น้องทำแยกกันคนละข้อและนั่งคิดเองอยู่นาน
ไม่นานนักเจ้ารองกับเจ้าสามก็กลับมา
ทั้งคู่ไปเรียนพิเศษมา ขณะที่อู่นีกับโจวหยางไม่ได้ไปเรียน
เจ้ารองกับเจ้าสามกรูเข้ามาดูโจทย์ เจ้าสามยังไม่ทันคำนวณ แต่ด้วยการที่ผ่านโจทย์คณิตศาสตร์โอลิมปิกมามากเขาจึงเอ่ยขึ้น “โจทย์พวกนี้ไม่ยากเลย พี่สาว พี่ใช้วิธีที่เคยแก้โจทย์ข้อนี้ทำก็ได้แล้ว”
เขาดึงโจทย์ข้อหนึ่งออกมาจากการบ้านคราวที่แล้วของอู่นี
“มันยากจังเลย” อู่นีบ่นอุบ หล่อนไม่เข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างโจทย์ทั้งสอง
“รูปแบบโจทย์เหมือนกันหมดเลย ไม่ยากหรอก” เจ้าสามบอก
“นายได้ท่องศัพท์หรือยัง?” เจ้ารองถาม
เจ้าสามแลบลิ้น จากนั้นก็ไปท่องศัพท์ภาษาอังกฤษของเขา หลินชิงเหอสอนภาษาให้พวกเขาด้วยตัวเองอย่างลื่นไหล ทำให้อู่นีกับโจวหยางรู้สึกอิจฉา
เจ้ารองเองก็เริ่มทำการบ้านของตัวเองเช่นกัน
เด็กคนนี้ทะเยอทะยานอยากเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวง จึงเป็นเหตุให้เขามีแรงกระตุ้นในตัวเองและขยันเรียนหนักมาก
ตอนนี้เขาเรียนอยู่ในชั้นปีแรกของโรงเรียนมัธยมต้นของตำบล
ยิ่งกว่านั้นตอนนี้เขายังเรียนพิเศษเพิ่มอีก คุณครูในตำบลได้จัดการเรียนการสอนส่วนตัวและทำให้เขาได้เรียนรู้เนื้อหาของชั้นมัธยมปลายล่วงหน้า
ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีผลอะไรกับโรงเรียนหรือทางโรงเรียนไม่ทำอะไรกับเขาหลังสอบเข้าผ่านเข้ามาได้ ในอนาคตหากเจ้ารองเป็นเด็กนักเรียนชั้นยอดเหนือเด็กคนอื่น ๆ ในโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ ทางโรงเรียนมัธยมต้นของตำบลก็จะมีชื่อเสียงไปด้วย และคงมีหน้ามีตาอย่างใหญ่หลวงเป็นพิเศษ
นั่นก็เป็นหลังจากที่เขาจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมต้นประจำตำบลไปแล้ว
“ผลการสอบเข้าโรงเรียนมัธยมกำลังจะออกมาเร็ว ๆ นี้แล้วเหรอ?” หลินชิงเหอถาม
“น่าจะราว ๆ 2-3 วันนี้แหละครับ” เจ้ารองพยักหน้า
หลินชิงเหอได้ยินก็ไม่ถามต่อ ขณะที่โจวหยางเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “นายทำข้อสอบมาเป็นยังไงบ้างน่ะ?”
“ฉันก็ทำทุกอย่างที่ทำได้แหละ ไม่มีอะไรผิดแปลกไป แต่แค่ไม่รู้ว่าทำถูกหรือเปล่าเท่านั้นเอง” เจ้ารองส่ายหน้า
โจวหยางอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเขา ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้จริง ๆ ซึ่งมันเจ๋งมาก
อู่นีเองก็รู้สึกอิจฉา พวกเขาต่างเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมต้นประจำตำบลด้วยกัน จึงรู้ว่าเจ้ารองเรียนเก่งขนาดไหน
“พวกนายก็ขยันเรียนหน่อยแล้วกัน ปีหน้าจะถึงตาพวกนายต้องสอบเข้าแล้ว” เจ้ารองบอก
“อืม” ทั้งโจวหยางกับอู่นีพยักหน้า
พวกเขาแค่อยากสอบผ่านและเข้าไปเรียนในอำเภอเท่านั้น ไม่กล้าคิดว่าตัวเองอยู่ในอันดับไหนหรอก