ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 283 เปิดร้านครั้งแรก
บทที่ 283 เปิดร้านครั้งแรก
นางเห็นมากับตาว่านับตั้งแต่ครอบครัวของอาจารย์หลินมาถึงและมุ่งหน้าไปที่โรงอาบน้ำ ลูกสาวคนโตของตระกูลจางก็ออกมาดูถึง 2-3 ครั้ง ไม่ต้องเดาเลยว่าหล่อนอยากมาเจอกับใคร
หล่อนไม่รู้เหรอว่าเขามีภรรยาและลูกชายหน้าตาหล่อเหลา 3 คนแล้วน่ะ?
โชคดีที่นางเปิดประตูออกมาดูพอดี สายตาของเหมยเหอนั่นแทบจะติดตรึงอยู่กับชายหนุ่มแล้ว
คุณป้าหม่าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือน
โจวชิงไป๋มีท่าทางอับอายเล็กน้อย เขามีสีหน้าเหวอไป
ส่วนหลินชิงเหอเอ่ยอย่างมีอารมณ์ขัน “คุณป้าอย่ากังวลไปเลยค่ะ ต่อให้สามีของฉันกล้าทำผิด ฉันก็พร้อมที่จะพาลูกชายทั้งสามจากไปและหวังให้เขาโชคดี จากนั้นก็หาชายคนใหม่แต่งงานด้วย ที่มหาวิทยาลัยมีคนมาจีบฉันไม่ขาดหรอกค่ะ”
เอาล่ะ แม้จะมีความเชื่อใจแล้ว การตอกย้ำก็เป็นเรื่องสำคัญ
ในเมื่อไม่มีทางเลือก เพราะจางเหมยเหอคนนั้นหน้าด้านเกินไป เธอจึงต้องให้โจวชิงไป๋รับรู้ความคิดของเธอไว้
โจวชิงไป๋มีสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที
คุณป้าหม่ายิ้มและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ตอนนี้พวกเธอมาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้งแล้วสินะ ป้าเองก็ดีใจด้วย อาจารย์หลิน เธอช่างมีความสามารถเรื่องมีลูกจริง ๆ ลูกชาย 3 คนรวด และยังเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีอีก จนป้าคิดอยากจะเลี้ยงเป็นหลานตัวเองเลยล่ะ”
“ตอนนี้พวกเขามีเหตุมีผลแล้วค่ะ แต่ตอนเด็ก ๆ สุดแสนจะซุกซนเลยค่ะ” หลินชิงเหอยิ้ม
การเลี้ยงดูเด็กก็เป็นแบบนี้ ขมขื่นในตอนแรกและหวานในตอนท้าย ตอนแรกไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ในที่สุดมันก็เป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก
แน่นอนว่าสิ่งที่จำเป็นต้องทำเป็นอันดับแรกก็คือการสั่งสอนเด็ก ๆ ให้ดี ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะทุกข์ทนไปตลอดชีวิต
ว่าตามความจริงแล้วหลินชิงเหอไม่รู้จักว่าจะสอนเด็ก ๆ อย่างไร แต่ถึงอย่างนั้นวิธีของเธอก็ได้ผลอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีพวกเขาคนไหนมีจิตใจคดและยังเติบโตพัฒนาอย่างดีมากด้วย
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หลินชิงเหอก็พาโจวชิงไป๋กลับมาที่บ้านของพวกเขา
โจวชิงไป๋กวาดตามองห้องอย่างจริงจัง
ที่นี่มี 2 ห้อง ห้องหนึ่งสำหรับเด็กและอีกห้องสำหรับพ่อแม่ เครื่องเรือนมีครบสมบูรณ์ทุกอย่าง เห็นชัดว่าได้รับการจัดเตรียมไว้พร้อมเพื่อต้อนรับพวกเขา
“ลำบากคุณแล้ว” โจวชิงไป๋มองภรรยา
“ลำบากอะไรกันคะ? ฉันขนแค่ของเล็กน้อยมากับเจ้าใหญ่ ส่วนของชิ้นใหญ่ ๆ ก็ให้คนอื่นขนมาให้แลกกับการจ่ายค่าแรงงานน่ะค่ะ” หลินชิงเหอพูด
“มีอะไรกับบ้านตระกูลจางที่อยู่ข้าง ๆ เหรอ?” โจวชิงไป๋ถาม
พวกเขาเป็นเพื่อนบ้าน ดังนั้นเขาจึงต้องรู้เรื่องนี้
หลินชิงเหอจึงเล่าให้เขาฟัง
โจวชิงไป๋ย่นคิ้วทันทีที่ได้ยิน หลินชิงเหอจึงเอ่ยขึ้นมา “ถ้าคุณชอบแบบนั้น ฉันก็ไม่เหนี่ยวรั้งคุณไว้นะคะ”
น้ำเสียงของเธอเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
จากนั้นเธอก็ถูกโจวชิงไป๋ดึงตัวเข้าไปในห้อง
ทำไมเขาถึงต้องเข้าไปในห้องน่ะเหรอ? ก็เพื่อพิสูจน์ว่าใครอยู่ในใจเขาอย่างไรล่ะ
เนื่องจากต้องมีสอนในวันพรุ่งนี้ หลินชิงเหอจึงผล็อยหลับไปหลังจากนั้น และโจวข่ายก็พาน้องทั้งสองกลับมาหลังจากนั้นไม่นาน
โจวชิงไป๋ให้ลูกชายคนเล็กทั้งสองอยู่ในบ้าน หลังแต่งตัวเสร็จเขาก็ตามลูกชายคนโตไปที่ร้านค้า
โจวข่ายถือกุญแจอยู่ ซึ่งพวกเขามีกุญแจกันทั้งหมด 2 ชุด และยังเปลี่ยนแม่กุญแจใหม่ด้วย “พ่อครับ นับจากพรุ่งนี้พ่อเก็บกุญแจนี้ไว้เลยนะครับ แม่มีชุดหนึ่งแล้ว”
โจวชิงไป๋ไม่ลังเลแต่อย่างใด เขามองไปรอบ ๆ ร้านค้า มันดูดีมากจริง ๆ
“หลายวันมานี้ผมไปขอให้เขามาตกแต่งภายในร้านมาน่ะครับ พ่อไปตามที่อยู่นี้และถามคนที่อยู่ที่นั่นในวันพรุ่งนี้ได้เลยนะครับ ผมจะกลับไปเขียนผังมาให้พ่อ” โจวข่ายบอก
“อืม” โจวชิงไป๋พยักหน้า
โจวข่ายหัวเราะในลำคอเบา ๆ “พ่อครับ พ่อกับแม่เริ่มธุรกิจนั้นกันตอนไหนเหรอครับ? ร้านค้าร้านนี้แพงมากเลย แต่แม่ก็จ่ายไหวในคราวเดียว”
“ลูกเรียนหนังสือไปเถอะ” โจวชิงไป๋เหลือบมองเขา
โจวข่ายรู้ว่าเขาคงไม่อาจแงะหาความจริงได้ พ่อของเขาปากหนักแน่นหนายิ่งกว่าปากขวดอีก
หลังเห็นร้านค้าและรู้ตำแหน่งที่ตั้งแล้ว โจวชิงไป๋ก็ไม่ได้อยู่นานกว่านี้ เขาพาลูกชายคนโตกลับบ้านทันที
ไม่รู้ว่าเป็นการบังเอิญหรือไม่ แต่พวกเขาก็เจอกับจางเหมยเหออีกแล้ว หล่อนเมินโจวข่ายเด็กชายสูงโย่งไป เพราะเขายังเป็นเด็กอายุ 16 ปีเท่านั้น
สายตาของหล่อนจับจ้องอยู่ที่โจวชิงไป๋
ชายคนนี้ช่างมีเสน่ห์จริง ๆ เพียงแค่มองเขาก็ทำให้หล่อนรู้สึกแข้งขาอ่อนขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
หล่อนกระพริบตาหว่านเสน่ห์อย่างต่อเนื่อง แต่โจวชิงไป๋กลับมองตรงและเดินกลับเข้าบ้านพร้อมกับลูกชายคนโต
ในวันที่สอง เขากับหลินชิงเหอได้มาที่มหาวิทยาลัยเพื่อขอใบรับรอง จากนั้นก็มุ่งหน้าไปจัดการย้ายทะเบียนบ้าน
เมื่อเขาได้ใบทะเบียนบ้านใหม่เอี่ยมของทางเมืองหลวงมา โจวชิงไป๋ก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวแล้ว และมีชื่อของภรรยากับลูกชายทั้งสามอยู่ด้วย นี่เป็นทะเบียนบ้านในเมืองหลวงของทั้งครอบครัว
ตอนนี้จัดการเรื่องทะเบียนบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เหลือเพียงเรื่องย้ายโรงเรียนของเจ้ารองกับเจ้าสาม
โจวชิงไป๋เป็นคนจัดการเรื่องนี้ โรงเรียนจะเปิดในไม่ช้าแล้ว แต่ทางเขามีทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว โจวชิงไป๋จึงไปทำเรื่องด้วยตัวเองและพบว่ามีเถ้าแก่ร้านอยู่กระจัดกระจายเป็นกลุ่มจริง ๆ
หลังรับรู้ในเรื่องนี้ เขาก็มาที่ร้านค้า
เขาเริ่มใคร่ครวญถึงการตกแต่งภายในร้านค้าอย่างจริงจัง
หลินชิงเหอยุ่งอยู่กับงานเนื่องจากมหาวิทยาลัยเปิดอีกครั้ง โจวชิงไป๋จึงมีหน้าที่รับผิดชอบทุกอย่างของร้าน รวมถึงการตกแต่งร้านและจัดหาวัตถุดิบ ทั้งหมดอยู่ในความรับผิดชอบของเขาแค่คนเดียว
ก่อนหน้านั้นนหลินชิงเหอมีเวลาอยู่บ้าง แต่เธอไม่อยากจัดการทุกอย่างให้กับสามี จึงปล่อยให้สามีเป็นคนจัดการในเรื่องนี้เอง เมื่อเป็นแบบนั้นเขาถึงจะรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง
อย่างน้อยจากสิ่งที่หลินชิงเหอเห็นในตอนที่กลับมาบ้านก็คือสายตาของโจวชิงไป๋ที่แสดงถึงความจริงจังและความมั่นใจ
ขณะเดียวกันเจ้ารองกับเจ้าสามก็เริ่มไปโรงเรียนทั้งคู่ หลินชิงเหอจึงพิจารณาสอนภาษาจีนกลางให้พวกเขาล่วงหน้า การออกเสียงไม่ใช่เรื่องยาก มันนุ่มนวลและรื่นหู แต่ถึงอย่างนั้นเจ้ารองก็ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นเหมือนกัน
เมื่อถึงสิ้นเดือนมกราคม ร้านเกี๊ยวของโจวชิงไป๋ก็เปิดกิจการ
เขาจ้างช่างฝีมือมาและพวกเขาสองคนก็ตกแต่งร้านด้วยกัน ซึ่งประหยัดเงินไปได้มาก หลังจากตกแต่งร้านเสร็จแล้ว เขาก็ซื้อหม้อและกระทะด้วยตัวเอง จากนั้นก็ตามหาแหล่งวัตถุดิบ
หลินชิงเหอไม่ได้เข้ามายุ่งในเรื่องนี้เลย โจวชิงไป๋เป็นคนจัดการด้วยตัวเองล้วน ๆ
และการปล่อยมือของเธอนับว่าเป็นการเดินหมากที่ถูกต้อง โจวชิงไป๋มีความมั่นใจกับการเปิดร้านอย่างมาก
“คุณขยันทำงานนะคะ ภรรยากับลูก ๆ ของคุณต้องพึ่งพาคุณในการกินอิ่มนอนนอนหลับอยู่” ในวันที่เปิดร้าน หลินชิงเหอก็ยังมีสอน
เช่นเดียวกับลูกชายทั้งสามคน เจ้าใหญ่กลับเอ่ยด้วยท่าทางผ่อนคลายมากกว่าเดิม “เช้านี้ผมมีเรียนแค่สองวิชา หลังจากนั้นผมจะมาช่วยพ่อนะครับ”
“อืม” โจวชิงไป๋ไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน
เขาหยิบไส้เกี๊ยวที่เตรียมไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อคืนเดินทางไปที่ร้าน
เมื่อถึงตอนเที่ยง หลินชิงเหอก็มาหา ส่วนเจ้ารองกับเจ้าสามมาช้ากว่าเล็กน้อย เมื่อพวกเขามาถึง พวกเขาก็เห็นว่าไม่มีคนอยู่ที่ร้านเลยสักคน
“ไม่มีคนกินเหรอครับ?” เจ้ารองอึ้งไป
“ขาดทุนเหรอครับ?” เจ้าสามพูดบ้าง
“ขาดทุนอะไรล่ะ? ตอนนี้ขายไปได้บ้างแล้ว” โจวข่ายมาถึงหลังเรียนหนังสือเสร็จสองวิชาพอดี เห็นได้ว่าในวันแรกมีคนไม่มากรู้เรื่องนี้ ซึ่งธุรกิจแบบนี้ถือว่ายังพอไปได้อยู่
โจวชิงไป๋มองภรรยา “เกี๊ยวหมูกับกะหล่ำปลีไหมครับ?”
“ได้ค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้าอย่างโล่งใจเมื่อเห็นว่าอารมณ์ของเขาไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ
โจวชิงไป๋ลงมือทำเกี๊ยวหมูกับกะหล่ำปลี่ เมื่อทั้งครอบครัวลงมือกิน ลูกค้าคนหนึ่งก็เข้าร้าน และสั่งเกี๊ยวหมูกับกะหล่ำปลี 1 ชาม
โจวชิงไป๋ทำให้เขากิน หลังจากนั้นเขาก็กลับมากินต่อ
หลังกินไปได้ไม่กี่คำ ลูกค้าอีกคนหนึ่งก็เข้ามา และนั่งลงพร้อมกับสั่งเกี๊ยว