ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 300 ไม่เลวร้ายไปกว่าเงินเดือนเดือนหนึ่ง
บทที่ 300 ไม่เลวร้ายไปกว่าเงินเดือนเดือนหนึ่ง
“ดีขึ้นมากเลยล่ะ” เฒ่าหวังตอบอย่างกะปรี้กะเปร่า
คุณป้าหม่ามีท่าทางยินดี จากนั้นนางก็เอ่ยตัดบท เพราะกำลังรีบกลับบ้านไปหุงหาอาหารให้คู่ครองของนาง “งั้นตอนนี้ฉันขอตัวไปก่อนนะ”
เมื่อกลับมาถึงบ้านและทำอาหาร นางก็ได้บอกเรื่องนี้กับสามี “ดูสิคะ ฉันพูดผิดที่ไหนล่ะ มีหลานบุญธรรมแล้วมันดีขนาดไหน? ไม่ต่างจากมีลูกแท้ ๆ คนหนึ่งเลย”
คุณลุงหม่าก็รู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปด้วย เมื่อคน ๆ หนึ่งแก่ชราลง พวกเขาก็ย่อมอยากให้ลูกหลานมาอยู่ข้าง ๆ ถูกไหมล่ะ?
ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา พวกเขาก็จะได้รับการดูแล
ไม่ใช่ว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเฒ่าหวังในครั้งนี้หรือ? เขามีโจวข่ายคอยดูแลทุกวัน ในตอนเย็นเขาก็ออกมากินอาหารกับครอบครัวนั้นได้ ไม่ว่าจะอยากดื่มชาหรือน้ำ เขาก็ทำเพียงเอ่ยปากบอก
คุณลุงหม่ารู้สึกว่าเขาช่างมีหลานบุญธรรมได้ในจังหวะเหมาะทีเดียว
มันก็ยุติธรรมดีแล้วที่พวกเขาจะดูแลเขาถูกไหม?
คุณป้าหม่าคุยเรื่องนี้กับเพื่อน ๆ ของนางเช่นกัน บรรดาเพื่อนสาวชราต่างบอกกันว่ามีหลานบุญธรรมแบบนี้ก็สมควรแล้ว
“ใครจะไม่รู้ล่ะว่าเฒ่าหวังมีเงินเยอะและยังมีเรือนให้เช่าหลังใหญ่ บางทีพวกเขาอาจหมายตาสิ่งเหล่านี้อยู่ก็เป็นได้นะ” แต่แล้วก็มีคนเห็นต่างและเอ่ยแบบนี้ขึ้นมา
พวกเขารู้สึกว่าอาจารย์หลินกับสามีเป็นคนล้ำลึกมาก การที่ทั้งสองคนทำแบบนี้เห็นชัดเลยว่ากำลังหวังสมบัติของเฒ่าหวังอยู่
แต่คนส่วนใหญ่ต่างคิดว่ามันสมเหตุสมผลแล้ว
ถ้าพวกเขาดูแลเขาในยามชรา ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่เขาจะยกสมบัติให้ลูกหลานบุญธรรมถูกไหม?
ตั้งแต่เกิดก็ไม่มีใครถืออะไรติดตัวมาอยู่แล้ว ตอนตายก็ไม่มีใครสามารถนำอะไรติดตัวไปได้เหมือนกัน แล้วจะมีประโยชน์อะไรในการหวงสมบัติไว้?
ถ้าจะถอดความจากภาษิตเก่า ก็จะบอกได้ว่าชายชราอายุขนาดนี้ไม่กลัวคนอื่นจะฮุบสมบัติของเขาหรอก แต่กลัวว่าเขาจะไม่มีอะไรอยู่ในมือให้ผู้คนได้มาเอาไปต่างหาก
หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ต้องการแค่ญาติในเมืองหลวง พวกเขาไม่สนใจเงินทองและทรัพย์สินของเฒ่าหวังหรอก
ทั้งคู่สามารถหาเงินเลี้ยงตัวเองได้
ต่อให้ตอนนี้จะเป็นฤดูหนาว กิจการร้านเกี๊ยวของโจวชิงไป๋ก็ยังเฟื่องฟูอย่างมาก เพราะเขาทำธุรกิจนี้มาได้ 1 ปีแล้ว และได้รับชื่อเสียงโด่งดังในระดับหนึ่ง
หากใครอยากจะกินอะไรอย่างอื่น พวกเขาก็ไปกินที่ร้านอื่นได้ แต่ถ้าหากอยากกินเกี๊ยว ร้านของเขาคือร้านแรกที่ผู้คนนึกถึง
ทุกเดือนเขาสามารถทำเงินได้มากกว่า 200 หยวนเกือบ 300 หยวนเลยทีเดียว
และด้วยผลตอบแทนที่มหาศาลยิ่งนี้ โจวชิงไป๋จึงตื่นนอนและไปที่ร้านเกี๊ยวก่อนหกโมงเช้าในทุกวัน
ปีหนึ่งเขาทำเงินได้มากขนาดไหนกัน?
เขายังต้องการอะไรอีก?
ทุกฤดูร้อน สามีภรรยาคู่นี้จะเดินทางลงใต้โดยเฉพาะ
ส่วนในวันหยุดฤดูหนาวพวกเขาจะไปเยือนไห่หนานและตระเวนซื้อของไปทั่ว พวกเขาต้องทำเงินได้ดีอย่างแน่นอน
รายได้ของครอบครัวนี้ต้องบอกว่าอู้ฟู่อย่างมาก ไม่เหมือนกับของเฒ่าหวังหรอก
หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ไม่ตอบคำถามของคนนอก พวกเขายังไม่สนใจมากอีกด้วย
ชีวิตดำเนินไปอย่างที่เคยเป็น
ชั่วพริบตาเดียวมันก็ถึงเดือนธันวาคม
เหตุผลที่ว่าทำไมเดือนธันวาคมถึงถูกเรียกว่าเดือนล่า (腊月- ล่าเยว่) เพราะว่ามันเป็นเดือนที่เหมาะสมในการทำหมูสามชั้นหมัก (腊肉 – ล่าโร่ว) กับไส้กรอก (腊肠 – ล่าฉาง) อย่างไรล่ะ
การยัดไส้กรอกเป็นเรื่องยากเหลือแสนและหลินชิงเหอเองก็ขี้เกียจทำ เธอจึงทำแค่หมักเนื้อไว้เพื่อทำหมูสามชั้นหมัก
หลังทำเสร็จเธอก็แขวนตากไว้ที่หน้าร้านเกี๊ยวของโจวชิงไป๋ แต่ด้วยความที่มันดูน่ากิน ลูกค้าหลายคนจึงเอาแต่ถามว่าหมูสามชั้นหมักนี้ขายเท่าไหร่?
เธอไม่มีแผนจะขายหมูสามชั้นหมักเลย เพราะทำไว้ไม่เยอะมากเพื่อเอาไว้กินในครอบครัว เนื้อ 10 ชั่งกินไม่นานนักก็หมดแล้ว เป็นไปไม่ได้หรอกที่พวกเขาจะทำขาย
ในช่วงเทศกาลล่าปา โจวชิงไป๋ก็ทำโจ๊กล่าปาหม้อหนึ่ง ทั้งครอบครัวตื่นแต่เช้ามากินโจ๊กล่าปากันถ้วนหน้า
“ปีนี้ลูกสามคนจะอยู่ที่นี่ฉลองปีใหม่กับคุณตาทูนหัวหรือกลับไปฉลองปีใหม่ที่บ้านเกิดกับเราล่ะ?” หลินชิงเหอถามลูกชายทั้งสาม
วันหยุดกินเวลาไปครึ่งเดือน ดังนั้นต้องจองตั๋วรถไฟล่วงหน้า
“เราอยู่ที่นี่ฉลองปีใหม่กับคุณตาแล้วกันครับ ถ้าแม่กลับไปแล้วก็ฝากสวัสดีปีใหม่ให้คุณปู่กับคุณย่าด้วยนะครับ” โจวเฉวี่ยนบอก
โจวกุยหลายพยักหน้าเช่นกัน ส่วนโจวข่ายลูกคนโตก็รู้สึกว่าเขาไม่สามารถทิ้งให้คุณตาอยู่คนเดียวในวันปีใหม่ได้ มันคงจะเหงาน่าดู
“ตกลง งั้นพวกลูกอยู่ที่นี่นะ ป๊ากับม้าจะไปวันที่ยี่สิบ หากลูก ๆ อยากจะเปิดร้านเกี๊ยวก็เปิดได้จนถึงวันที่ยี่สิบห้า เวลาที่เหลือก็พาคุณตาไปเที่ยวนะ” หลินชิงเหอสั่ง
“ทราบแล้วครับ” ทั้งสามคนรับคำ
หลินชิงเหอเห็นแล้วก็รู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย “พวกลูกไม่คิดถึงบ้านเก่า หรือรู้สึกไม่คุ้นเคยบ้างเหรอ?”
“ไม่เลยครับ” ทั้งสามตอบอย่างตรงไปตรงมา
หลังได้รับความกดดันสารพัดอย่างจากพ่อแม่ สามพี่น้องก็สามารถพึ่งพาตัวเองได้และปรับตัวได้ พวกเขาแค่ใช้เวลาช่วงปีใหม่ในเมืองหลวง ทำไมจะต้องรู้สึกแปลกแยกไม่คุ้นเคยด้วยล่ะ?
ถึงอย่างไรพ่อแม่ของพวกเขาก็จะกลับมาหลังจากปีใหม่อยู่แล้ว ซึ่งมันก็เป็นเวลาไม่ถึงเดือน
ดังนั้นเมื่อวันที่ยี่สิบมาถึง หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็เดินทางกลับบ้านเกิด ไม่ว่าพวกเขาจะมีเงินหรือไม่ พวกเขาก็จะกลับไปที่บ้านเกิดช่วงปีใหม่เสมอ
ส่วนพวกเด็ก ๆ ก็ปล่อยให้พวกเขาอยู่กันเองเถอะ หากพวกเขาไม่อยากกลับก็อย่าบังคับเลย
หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋มาถึงไห่หนานแล้วก็เดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว
โจวชิงไป๋เห็นว่าเธอคุ้นเคยกับถนนหนทางดีจึงถามขึ้นมา “เคยมาที่นี่บ่อยเหรอครับ?”
“สองหรือสามครั้งได้ค่ะ” หลินชิงเหอไม่ได้สนใจจึงตอบออกไปโดยไม่ทันยั้งคิด
เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาเธอก็หันมองโจวชิงไป๋ เขากวาดสายตาเหลือบมองเธอและเดินดุ่มไปข้างหน้า เห็นชัดว่าชายคนนี้กำลังโมโห
หลินชิงเหอถอนหายใจเบา ๆ พลางเดินตามและเอ่ยขึ้น “เดี๋ยวนี้คุณรู้จักมีวาทศิลป์และมีเล่ห์เหลี่ยมขึ้นนะคะ”
โดยเฉพาะตอนที่เธอต้านทานอะไรเขาไม่ได้ มันไม่ต่างจากการตกหลุมพรางร้อยเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
เมื่อโจวชิงไป๋มองหน้าเธอ หลินชิงเหอก็รีบยกมือขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ “ครั้งหน้าฉันจะพาคุณไปในที่ที่ฉันไปแล้วกันค่ะ ถ้าไม่มีคุณอยู่ข้างฉัน ฉันก็จะไม่ตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเองอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นคุณก็ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำกับฉันเลย!”
โจวชิงไป๋ยังคงทำหน้าตึงไม่พูดอะไรต่อ
ต้องบอกว่าไห่หนานในปีนี้ดูเฟื่องฟูและคึกคักมากกว่าปีที่แล้วเสียอีก
เนื่องจากมีโจวชิงไป๋อยู่ด้วย หลินชิงเหอจึงยั้งมือไว้และซื้อเพียงนาฬิกาไม่กี่เรือน วิทยุ 2 เครื่อง และพัดลมไฟฟ้า 2 ตัว
แต่เมื่อมาถึงห้างสรรพสินค้า เธอก็เริ่มกว้านซื้อเสื้อผ้าใหม่ทุกรูปแบบ
เป็นเสื้อผ้าสำหรับโจวชิงไป๋และตัวเธอเอง เสื้อโค้ทบุฝ้ายสำหรับท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวคนละตัว เช่นเดียวกับเฒ่าหวังและลูกชายทั้งสามของเธอ
แต่ถึงอย่างนั้นเธอกับโจวชิงไป๋ก็มีเสื้อผ้ามากที่สุด แต่ละคนมีชุดใหม่กันคนละ 2 ชุด
ส่วนที่เหลือก็เป็นเสื้อผ้าอย่างอื่น รองเท้า และเข็มขัด ของเหล่านี้เธอจะให้เสิ่นอวี้นำไปขายต่อ
ทั้งคู่พักอยู่ในไห่หนานเพียง 1 วันก่อนจะออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
หลินชิงเหอมอบของเหล่านั้นให้กับเสิ่นอวี้ ส่วนตัวเธอเองเก็บพัดลมไฟฟ้า 1 ตัว วิทยุ 2 เครื่อง โดยเครื่องหนึ่งให้ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจว พวกเขาต้องชอบมันแน่ ๆ
ส่วนอีกเครื่องหนึ่งจะเอาไว้ตั้งในร้านเกี๊ยว เพื่อที่ทุกคนจะได้ฟังวิทยุขณะกินเกี๊ยวไปด้วย
พัดลมไฟฟ้าก็ถูกเก็บไว้เช่นกัน
ส่วนของที่เหลือทั้งหมดล้วนถูกขายออก
เสิ่นอวี้รู้สึกยินดีปรีดา แต่ครั้งนี้เป็นเพราะหลินชิงเหอนำของกลับมามาก โดยเฉพาะรองเท้าหนังจำนวนหนึ่งที่มีราคาแพงลิ่ว หล่อนก็เลยไม่อาจจ่ายค่าของทั้งหมดได้ในคราวเดียว
“งั้นจ่ายมาให้พี่ครึ่งหนึ่งก่อน รอจนกว่าพี่จะกลับไปหลังปีใหม่ ตอนนั้นพี่จะมาหาแล้วเธอก็ค่อยจ่ายอีกครึ่งหนึ่งมา” หลินชิงเหอบอกหล่อน
“ตกลงค่ะ” เสิ่นอวี้ตอบอย่างตรงไปตรงมา
หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ขี่จักรยานที่นำออกมาจากมิติไปที่บ้านของโจวเสี่ยวเหมย ซึ่งจักรยานคันนี้พวกเขาซื้อมาจากทางใต้ภายในปีนี้
แม้จะกลับมาจากไห่หนานและทำเงินไปได้มหาศาลแล้ว หลินชิงเหอก็ยังคร่ำครวญว่าเธอช่างไม่ต่างจากผียากจนตนหนึ่ง
ต่อให้เธอจะเก็บเงินไว้เป็นจำนวนมากในมิติ เธอก็ยังจนอยู่ดี
หากเธอไม่ใช่โอกาสครั้งนี้หาเงินให้ได้มากกว่าเดิม ภายภาคหน้าเธอจะทำอะไรได้ล่ะ? เธอไม่มีความทะเยอทะยานพอที่จะครอบครองทะเลดวงดาวนะ
เธอกำลังคิดว่าจะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ให้มากขึ้นและเก็บค่าเช่าไว้เป็นเงินหลังเกษียณ เธอจะพาชิงไป๋ของเธอเที่ยวรอบโลกและมองเห็นโลกภายนอกมากขึ้น เธอไม่มีความฝันใหญ่สิ่งอื่นใดอีกแล้ว
ดังนั้นถ้าเธอไม่หาเงินให้มาก ๆ ในคราวนี้ แล้วเมื่อใดเธอจะได้หาเงินมาก ๆ อีกล่ะ?
ปีนี้รายได้ต่อปีของชิงไป๋มีมากกว่า 2,000 หยวนแล้ว แม้จะน้อยกว่า 3,000 หยวน แต่มันก็ไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ เลย ในยุคนี้ถือเป็นเงินก้อนใหญ่ทีเดียว
ขณะที่เธอทำงานได้เงินเดือนประจำ แม้จะไม่ได้น้อย แต่ก็มากกว่า 3,000 หยวนเท่านั้นเมื่อรวมของโจวชิงไป๋ไปแล้ว
แม้จะมีรายได้ทั้งสองทางนี้ เธอก็ยังไม่สามารถจับจองเรือนสี่ประสานที่เธอใฝ่ฝันได้
เธอจึงต้องขายของให้ได้เงินมาก ๆ ในคราวเดียว
และทั้งคู่ก็มาที่บ้านของโจวเสี่ยวเหมย
ซึ่งบ้านของโจวเสี่ยวเหมยตอนนี้มีชีวิตชีวาอย่างมาก
เดิมทีมีแค่พวกเขาสองคนอาศัยอยู่ในบ้านขนาดราว 40 ตารางเมตร ซึ่งตอนนั้นถือว่ากว้างขวางไม่น้อย แต่ตอนนี้พวกเขามีลูก 4 คนแล้ว ทำให้บ้านหลังนี้ไม่ดูกว้างขวางอีกต่อไป
“พี่สี่ พี่สะใภ้สี่!” โจวเสี่ยวเหมยมีท่าทางดีใจสุดขีด
ซูเฉิง ซูสวิ่น และคนอื่น ๆ ต่างเอ่ยทักทายคุณลุงและคุณป้าของพวกเขา
“เด็กดี เอาลูกกวาดไปกินกันนะ” หลินชิงเหอยื่นถุงลูกกวาดให้พวกเขา
“พี่สี่ พี่สะใภ้สี่ พวกพี่กลับมาแค่นี้เหรอคะ? เด็ก ๆ ไม่ได้กลับมาด้วยเหรอ?” โจวเสี่ยวเหมยถาม
“เราเจอพ่อทูนหัวที่นั่นน่ะ สามพี่น้องก็เลยบอกว่าคุณตาทูนหัวของพวกเขาอยู่คนเดียวมันเหงาเกินไป พวกเขาก็เลยอยู่ฉลองปีใหม่ปีนี้ที่นั่นน่ะ” หลินชิงเหออธิบาย
ในตอนนี้ซูต้าหลินยังไม่เลิกงาน เขาจะออกจากที่ทำงานก็ตอนหลังบ่ายสามโมง ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นชั่วโมงทำงานอยู่
“เจอพ่อทูนหัว” โจวเสี่ยวเหมยพยักหน้า จากนั้นก็หันไปถามพี่ชายสี่ “พี่สี่ พี่คุ้นกับชีวิตในเมืองหลวงแล้วหรือยังคะ?”
“คุ้นแล้วล่ะ” โจวชิงไป๋ตอบสั้น ๆ
หลินชิงเหอยิ้มและเอ่ยเสริม “ดูพี่ชายสี่สิแล้วเธอจะรู้”
ปีนี้โจวชิงไป๋ดูอ้วนกว่าปีที่ผ่านมานิดหน่อย
เนื่องจากเขาไม่ต้องออกไปทำงานในทุ่งนาแล้ว ต่อให้เขาจะตื่นเช้าในทุกวัน เขาก็ทำหน้าที่เป็นพ่อครัว ทำให้โจวชิงไป๋มีเนื้อหนังขึ้นมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เขามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาอย่างน้อย 20 ชั่งแล้ว
โดยเฉพาะพุงน้อย ๆ อันอุดมไปด้วยเนื้อนั่น หลินชิงเหอชอบสัมผัสมันมาก
จนกระทั่งโจวชิงไป๋ถือว่าเป็นการเชิญชวนเขาไปแล้ว
โจวเสี่ยวเหมยยิ้มกริ่มและเอ่ยตอบ “ปีนี้พี่สี่อ้วนขึ้นจริง ๆ นะคะ กิจการที่นั่นเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“ค่อนข้างดีทีเดียว” โจวชิงไป๋ตอบ
“เขาได้เงินไม่น้อยกว่าเงินเดือนของฉันแล้วล่ะ” หลินชิงเหอเสริม
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าได้เงินมากเท่าไหร่ ประโยคที่ว่า ‘ได้ไม่น้อยกว่าเงินเดือนของเธอ’ ก็นับว่าพอแล้ว
“ปีนี้กิจการโรงงานของต้าหลินไม่ค่อยเฟื่องฟูเท่าไหร่น่ะค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยบอก
“เธออยากกลับบ้านในปีใหม่นี้ไหม?” หลินชิงเหอถาม
“ปีนี้ฉันจะกลับไปค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยบอก
“ในฐานะพี่สะใภ้ พี่จะบอกความจริงให้นะ อาศัยแค่ทักษะการทำซาลาเปาของน้องเขย กิจการเขาก็ไม่แย่แล้วหากไปเปิดร้านที่เมืองหลวง พี่ไม่รับประกันเรื่องอื่น ๆ หรอกนะ แต่จะได้เงินเดือนไม่แย่กว่าที่นี่แน่นอน” หลินชิงเหอเอ่ย
“ถ้าต้าหลินกลับมาฉันจะบอกเขานะคะ” โจวเสี่ยวเหมยพยักหน้า หล่อนเองก็อยากไปอยู่เมืองหลวงเป็นพิเศษ
หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ไม่ได้อยู่นาน พวกเขาไม่ได้อยู่รอร่วมรับประทานอาหารเย็นเช่นกัน หลังจากนั้นครู่หนึ่งพวกเขาก็มอบเป็ดย่างไว้ให้แล้วขี่จักรยานไปที่บ้าน
……………………………………………………………………………………