ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 303 ไปเมืองหลวงในช่วงวันหยุด
บทที่ 303 ไปเมืองหลวงในช่วงวันหยุด
สะใภ้สามตระกูลหลินเก็บของทุกอย่างเข้าที่
พี่สาวสามนำแต่ของดี ๆ มาให้เป็นจำนวนมากจริง ๆ
“ทำไมถึงมีผ้าเช็ดตัวแล้วก็ครีมบำรุงหน้าด้วยล่ะคะ?” สะใภ้สามตระกูลหลินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น
“พี่ผมให้ผมใช้ตอนที่ไปหาหล่อนที่บ้านน่ะ” น้องชายสามตระกูลหลินบอก
“ช่างประจวบเหมาะเลยค่ะ ผ้าเช็ดตัวคุณขาดวิ่นอยู่พอดี” สะใภ้สามตระกูลหลินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หลังเก็บของเข้าที่และแบ่งลูกกวาดให้เด็ก ๆ แล้ว ทั้งคู่ก็เข้าไปในห้องนอน
น้องชายสามตระกูลหลินสร้างห้องอิฐอีกห้องหนึ่งให้เด็ก ๆ แล้ว ตอนนี้ทั้งคู่จึงมีห้องส่วนตัวเป็นของตัวเอง
เขาเข้าไปในห้องและบอกภรรยาในเรื่องที่พี่สาวให้เปิดร้านสะดวกซื้อ
ก่อนหน้านั้นน้องชายสามตระกูลหลินก็คิดเรื่องนี้ไว้นานแล้ว เขารู้สึกว่าเขาสามารถทำธุรกิจเล็ก ๆ แบบนี้ได้
การนำของบางอย่างมาจากตัวอำเภอเพื่อมาขายที่หมู่บ้านนับว่าเป็นเรื่องสะดวกอยู่ถูกไหม? หากทำได้มันก็จะได้เงินด้วย
“ถ้าเอามาขายที่ชนบทนี่เราจะได้เงินสักเท่าไหร่คะ?” สะใภ้สามตระกูลหลินถาม
“ได้สักหลายหยวนต่อเดือนอยู่ล่ะ” น้องชายสามตระกูลหลินตอบ “แต่ถ้าคุณไม่อยากทำก็ไม่เป็นไรนะครับ”
“หลายหยวนต่อเดือนเลยเหรอคะ?” สะใภ้สามตระกูลหลินถามอย่างประหลาดใจ
“ใช่แล้วล่ะ” น้องชายสามตระกูลหลินบอกจุดประมาณการณ์ต่ำสุด เนื่องจากเขาทำธุรกิจมานานจึงมีความรู้ความเข้าใจเรื่องผลตอบแทนค่อนข้างดี
“เอาล่ะ ฉันต้องไปที่ทุ่งนาแล้วค่ะ จะได้รวบรวมสาว ๆ มาขายของได้” สะใภ้สามตระกูลหลินบอก
หล่อนเองก็ไม่ได้อยู่ว่าง ๆ เช่นกัน ยังคงต้องไปทำงานในทุ่งนาอยู่ แม้ว่าทางครอบครัวจะได้ส่วนแบ่งพื้นที่ไม่มากนักเพียงแค่ 6 ไร่ แต่นั่นก็ต้องใช้แรงงานมหาศาล
น้องชายสามตระกูลหลินพยักหน้า เขาพยายามจะลองดูในปีหน้า
“พี่สาวสามพูดอะไรเกี่ยวกับธุรกิจของคุณอีกไหมคะ?” สะใภ้สามตระกูลหลินถามรัวเร็ว
นี่คือจุดสำคัญที่สุด ต้องบอกได้ว่าเมื่อต้นปีนี้หล่อนไม่ได้จำใส่ใจกับคำพูดของพี่สาวสามนัก เมื่อฟังแล้วก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจและไม่กล้าปล่อยให้สามีของตนลองเสี่ยงดู
แต่หลังจากปีนี้ทั้งปีแล้ว สะใภ้สามตระกูลหลินก็ได้ลิ้มรสความหวาน
แค่ปีนี้ปีเดียวทั้งครอบครัวของหล่อนก็เก็บเงินได้มากเท่าใดแล้ว? ราว ๆ 600 หยวนเชียวนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวันหยุดสองเดือนที่ผ่านมานี้ ซึ่งทุกเดือนจะมีรายได้เข้ามาราว ๆ 100 หยวน
เงินจำนวนนี้นับว่ามากขนาดไหนล่ะ?
สะใภ้สามตระกูลหลินยังหวังจะทำงานนี้อยู่ หล่อนไม่อยากให้กิจการจบลงเพียงเท่านี้
“พี่ผมบอกว่าไม่มีปัญหาหรอก ปีหน้าผมสามารถนำผักผลไม้ไปขายได้” น้องชายสามตระกูลหลินพยักหน้า จากนั้นก็หยิบถุงเท้าทั้งสองคู่ออกมา “คุณไปเติมน้ำใส่อ่างให้ผมหน่อย ผมจะล้างเท้าแล้วลองใส่ถุงเท้านี่ดู”
สะใภ้สามตระกูลหลินยิ้มก่อนไปตักน้ำร้อนมาให้สามีล้างเท้า หลังล้างเท้าจนสะอาดแล้วเขาก็สวมถุงเท้าคู่ใหม่ จากนั้นก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
“พี่สาวสามรักคุณจริง ๆ นะคะ” สะใภ้สามตระกูลหลินเอ่ยขึ้น
ทุกปีที่เธอกลับมา เธอก็ไม่ลืมส่งเป็ดย่างมาให้ ซึ่งของแบบนี้มีเฉพาะในเมืองหลวงเท่านั้น นอกจากนั้นยังมีลูกกวาด พุทราจีน และอื่น ๆ โดยเฉพาะนมผงรสมอลต์หายากโหลนั้น
น้องชายสามตระกูลหลินยิ้มรับ “ปีนี้เราไปอวยพรวันปีใหม่ที่บ้านพี่ผมกันนะ”
“นั่นต้องทำอยู่แล้วล่ะค่ะ” สะใภ้รองตระกูลหลินพยักหน้า
ส่วนทางด้านหลินชิงเหอก็ยังคงสนทนากับโจวชิงไป๋ “ปีนี้เขาหาเงินได้เยอะทีเดียว แต่เขาก็ยังดำเนินชีวิตแบบมัธยัสถ์ขนาดนั้นอยู่”
โจวชิงไป๋จึงบอกตามความเป็นจริง “เป็นแบบนี้ทุกที่แหละครับ”
นอกจากภรรยาของเขาที่มีวิถีชีวิตเป็นแบบคนรุ่นหลังแล้ว คนอื่น ๆ ก็ไม่มีวิถีชีวิตแตกต่างกันมากนัก
เห็นชัดว่าโจวชิงไป๋ชอบวิถีชีวิตและทัศนคติของภรรยามาก บางที…อาจเป็นเพราะได้รับการอบรมจากภรรยามา
หลินชิงเหอเอ่ยต่อ “ครั้งนี้ไม่มีอีกแล้วนะคะ ครั้งหน้าฉันจะเอาเสื้อกันหนาวไปให้เขา เขาทนความเย็นระดับนั้นอยู่ได้ยังไงกัน”
แม้เธออยากจะพูดอะไรสักหน่อยกับน้องสะใภ้ แต่ก็ตัดสินใจไม่พูดหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว
หล่อนไม่อยากให้คนอื่นเข้ามายุ่งกับชีวิตของหล่อน ดังนั้นน้องสะใภ้คงไม่ชอบให้เธอมาพูดว่าควรจะอยู่อย่างไร แต่ถ้าเธอซื้อเสื้อให้น้องชายของเธอก็คงไม่มีอะไรต้องบ่น
ในฐานะพี่สาวแล้วเธอจะรักและเป็นห่วงน้องชายไม่ได้เลยเหรอ?
ส่วนหลานชายและหลานสาวไม่อยู่ในความสนใจของเธอ คนรุ่นหนึ่งก็รักคนรุ่นเดียวกันไป เธอรักน้องชายเพียงคนเดียวเท่านั้นขณะที่พูดจากับคนอื่นเหมือนคนแปลกหน้า ซึ่งคนอื่น ๆ เธอจะจัดไว้อีกระดับหนึ่ง การที่เธอใจดีกับหลานชายหลานสาวพวกนี้ก็คือการไว้หน้าน้องชายของเธออย่างหนึ่ง
“ในอนาคตน้องชายสามคงประสบความสำเร็จแน่” โจวชิงไป๋พูด
“ตอนนี้เขาถือว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกเลยล่ะค่ะ ฉันล่ะกังวลว่าเขาจะคุ้นเคยกับเส้นทางตอนนี้ไปแล้ว” หลินชิงเหอตอบ
อย่างเช่น เธอไม่ได้วางแผนที่จะลงหลักปักฐานด้วยสถานะในตอนนี้ ไม่ใช่ว่าเธอซื้อร้านอีกร้านหนึ่งในเมืองหลวงไว้เหรอ? ซึ่งในปีนี้เธอวางแผนจะเปิดร้านเสื้อผ้าล่ะ
เธอจะขายเสื้อผ้าประเภทเสื้อผ้าสำเร็จรูปโดยเฉพาะ
“ให้เขาไปเมืองหลวงงั้นเหรอครับ?” โจวชิงไป๋เอ่ยขณะมองภรรยา
“พวกเขาต้องไม่เต็มใจที่จะไปแน่เลยค่ะ” หลินชิงเหอส่ายหน้า “แต่ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวนักนะคะหากให้พวกเขาทั้งคู่เปิดร้านในตัวอำเภอ”
“ช่วงปีใหม่ที่เขามาหาคุณก็บอกเขาได้เลย ตอนนี้ราคาร้านยังถูกอยู่หากคิดจะซื้อไว้” โจวชิงไป๋เอ่ย
หลินชิงเหอพยักหน้า
น้องชายสามตระกูลหลินตระเวนออกไปรับไก่มาขายทุกวัน ซึ่งตอนนี้ถึงวันสิ้นปีแล้ว ธุรกิจของเขาดำเนินไปด้วยดีทีเดียว คนหลายคนต่างเต็มใจขายมันแลกเงิน ชายหนุ่มเป็นคนเฉียบแหลมไม่น้อย หลังรู้แน่ว่าการขายไก่เป็นไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เขาก็ทุ่มเทในเรื่องนี้
ขณะเดียวกันหลินชิงเหอกับท่านแม่โจวก็กำลังทำซาลาเปา โดยที่โจวหยางกับโจวอู่นีมาเรียนพิเศษที่บ้านด้วย
ปีนี้ทั้งคู่อยู่เข้าเรียนปีแรกในโรงเรียนมัธยมต้นแล้ว พวกเขาสอบผ่านเข้าไปเรียนได้ในที่สุด ซึ่งไม่ต้องบอกเลยว่าผลการเรียนของพวกเขาแม้จะไม่ดีเท่ากับโจวข่ายและน้อง ๆ แต่ก็ถือว่าไม่เลวเช่นกัน
แต่เมื่อเรียนสูงขึ้นในระดับมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง ความยากของวิชาเรียนก็เพิ่มขึ้นจนทั้งคู่ตามไม่ทัน
พวกเขาจึงมาที่นี่เพื่อเรียนพิเศษพร้อมกับถามข้อสงสัยไปด้วย และมันก็ไม่เป็นปัญหาใด ๆ กับหลินชิงเหอเลย
ส่วนโจวชิงไป๋ไปนั่งสนทนาอยู่ที่บ้านของผู้นำหมู่บ้าน
“ย่าไม่รู้นะว่าในอนาคตพวกหนูจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันได้หรือเปล่า” ท่านแม่โจวเอ่ย
อู่นีกับโจวหยางพลันรู้สึกเครียดอย่างมาก พวกเขามองหน้ากันและจมอยู่กับโจทย์คำถาม
“ฤดูร้อนหน้าพวกอาคงจะไม่มีเวลากลับมาที่นี่แล้วล่ะ หนูสองคนอยากจะมาเยี่ยมที่เมืองหลวงช่วงวันหยุดไหม? เจ้ารองจะได้สอนพิเศษให้ได้” หลินชิงเหอถาม
เจ้ารองจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีหน้า ส่วนเจ้าใหญ่นั้นถึงเวลาเรียนจบแล้ว และเขาต้องไปรายงานตัวล่วงหน้ากับทางโรงเรียนเตรียมทหาร จึงแทบจะไม่มีวันว่างในช่วงวันหยุดฤดูร้อน
“เราไปได้เหรอครับ/คะ?” ทั้งโจวหยางกับอู่นีทำตาโต
สถานที่อย่างเมืองหลวงเป็นที่ที่พวกเขาใฝ่ฝันมานาน แล้วทำไมพวกเขาถึงจะไม่อยากไปที่นั่นล่ะ?
“ไปขอพ่อแม่พวกหนูก่อนนะ ถ้าหากพวกเขาไม่คัดค้านอะไรทางฝั่งอาก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน แต่เมื่อไปถึงที่นั่นแล้วพวกหนูต้องขยันเรียนด้วยนะ” หลินชิงเหอบอก
เป็นเรื่องดีที่จะปล่อยให้เด็กสองคนนี้ได้รับประสบการณ์บ้าง หากมีวิสัยทัศน์กว้างไกลขึ้นก็จะมีความคิดพัฒนาขึ้น พวกเขาจะมีสายตาที่มองการณ์ไกลกว่าเดิม
“ถ้ากลับไปถึงบ้านแล้วหนูจะไปถามแม่นะคะ” อู่นีตอบในทันที
“ผมด้วย” โจวหยางเอ่ยตามอย่างเร็วรี่
“อาสะใภ้สี่ พวกเขาสองคนได้ไปแล้ว หนูเองก็อยากไปด้วยค่ะ” โจวลิ่วนีเดินเข้ามาในบ้านและเอ่ยขึ้น
ขณะที่ในใจหล่อนคิดว่าช่างโชคดีนักที่หล่อนมา หากอาสะใภ้สี่ผู้ลำเอียงจะดูแลแค่คนอื่น ๆ โดยไม่ดูแลหล่อนเลย
…………………………………………………………………………………