ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 319 เปิดร้านของตัวเอง
บทที่ 319 เปิดร้านของตัวเอง
“อาสะใภ้สี่คะ อาดูสวยมากเลยค่ะ” โจวเอ้อร์นีอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยความตะลึง
“สง่างามมากเลยค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยพยักหน้าด้วยแววตาอิจฉา
“คุณน้าของผมเป็นคนที่โชคดีจริง ๆ ครับ” คำพูดของหู่จือเรียบง่ายและเถรตรงมาก แม้แต่ในตอนนี้ที่เขามาอยู่เมืองหลวงแล้ว เขายังแทบไม่เห็นใครที่จะสามารถเทียบกับคุณน้าสะใภ้คนนี้ของเขาได้เลย
“ผู้หญิงคนนี้ควรจะอยู่แค่บนสรวงสวรรค์เท่านั้น ยากที่จะได้พบเจอบนโลกมนุษย์” โจวเฉวี่ยนร่ายยาวขึ้นมาทันที
“เจ้าคนประจบสอพลอ” โจวข่ายเอ่ยขึ้นอย่างรังเกียจ
“พี่รอง อย่างนี้ไม่ได้เรียกว่าประจบสอพลอนะครับ อย่างนี้เรียกว่าผายลมยังเห็นเป็นสายรุ้งเลย*”
(หมายถึง คนที่ชอบพูดหรือทำอะไรก็ดีไปหมด)
“พวกลูกหมายความว่ายังไงกัน? ที่เจ้ารองพูดผิดตรงไหน? หู่จือ เชิ่งเหม่ย เอ้อร์นีและคนอื่น ๆ ต่างก็มีสายตาที่เฉียบแหลม ในขณะที่ลูกสองคนตาถั่ว?” หลินชิงเหอพูดออกไป
“ม้าครับ พรุ่งนี้ม้าใส่ชุดนี้ไปเดินเล่นบนถนนเลยนะครับ จะได้เป็นการโฆษณาแบบที่ได้เห็นของจริง มันสวยโดดเด่นมากครับ เป็นแบบนี้ผู้คนต้องแห่มาจนประตูร้านพังอย่างแน่นอน ม้าจะให้ผมไปช่วยด้วยไหมครับ?” โจวเฉวี่ยนบอก
“ลูกสองคนลืมไปได้เลย” หลินชิงเหอกล่าว “เจ้าใหญ่ พรุ่งนี้ลูกมีเรียนกี่วิชา?”
“มีวิชาสำคัญวิชาหนึ่งครับ ผมจะรีบไปที่ร้านหลังจากเรียนเสร็จแล้ว” โจวข่ายผงกศีรษะ
“เธอทั้งคู่มาลองสวมชุดดูสิ นี่เป็นขนาดมาตรฐานที่สามารถใส่ได้กันทั้งสองคนเลยนะ” หลินชิงเหอส่งชุดให้หลานสาวคนละตัว
จากนั้นเธอก็ให้พวกหล่อนเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้อง
ทั้งสองคนสมกับเป็นหญิงสาวรุ่นเยาว์ หลังจากใส่ชุดแล้วพวกหล่อนก็ดูดีมาก
“ก็ยังสู้คุณน้าสะใภ้ไม่ได้อยู่ดี” หู่จือมองพวกหล่อนแล้วออกความเห็น
ลูกชายบ้านโจวทั้งสามคนไม่พูดอะไร แม้ว่ามันจะออกมาดูดีมาก แต่พวกหล่อนก็ยังไม่สามารถเทียบกับแม่ของพวกเขาได้ พวกหล่อนยังดูด้อยกว่าแม่ของเขาในด้านบุคลิกภาพอยู่นัก
“อายุน้อยแล้วก็สวยด้วยแบบนี้ พวกเธอจะสู้ฉันไม่ได้ได้อย่างไรกัน? ตาไม่ถึงเอาเสียเลย” หลินชิงเหอกล่าว และหันไปพูดกับเด็กสาวทั้งสองคนว่า “ไหนลองหมุนตัวให้ดูซิจ๊ะ”
โจวเอ้อร์นีและสวี่เชิ่งเหม่ยต่างก็ทำตาม และทั้งคู่ดูยอดเยี่ยมมาก
“เอาละ พรุ่งนี้พวกเธอใส่ชุดนี้ออกไปข้างนอกนะจ๊ะ” หลินชิงเหอปรบมือ
ส่วนตัวเธอเองนั้นลืมไปได้เลย เธอจะไม่ใส่ชุดนี้แน่ เธอจะใส่ชุดปกติของตัวเองเหมือนเดิม
หลินชิงเหอปล่อยให้เด็กสาวทั้งสองคนพูดคุยกันในเรื่องนี้ขณะตัวเธอเองกลับไปเปลี่ยนชุดที่ห้อง เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะพับชุดเก็บ โจวชิงไป๋ก็พูดขึ้นมาว่า “คุณสวยมากนะในชุดนี้”
“ใช่ค่ะ วันหลังฉันจะให้แม่เฒ่าสวีตัดชุดที่ไม่เหมือนใครให้ฉันสองชุด” หลินชิงเหอบอก
ชุดที่มีอยู่ในตอนนี้เป็นชุดที่ผลิตขึ้นมาครั้งละมาก ๆ และดูง่ายมากที่จะสวมแล้วซ้ำแบบกับคนอื่น
โจวชิงไป๋ตอบรับว่า “อย่างนั้นก็ให้แม่เฒ่าสวีช่วยตัดชุดให้คุณคนเดียวเพิ่มขึ้นอีกสักสองสามชุดนะครับ”
“ตกลงค่ะ” หลินชิงเหอยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “ฉันจะใส่ให้คุณดู”
และแล้วในแววตาของโจวชิงไป๋ก็ปรากฏประกายระยิบระยับ
ในวันถัดมา ธุรกิจร้านจำหน่ายเสื้อผ้าก็เริ่มเปิดอย่างเป็นทางการ
ระหว่างช่วงเวลาว่างก่อนหน้านี้ ภายใต้การให้คำแนะนำของหลินชิงเหอ ร้านเสื้อผ้าที่ซอมซ่อก็ได้ถูกตกแต่งขึ้นใหม่โดยฝีมือของหู่จือ เอ้อร์นีและเชิ่งเหม่ยจนกลายเป็นสถานที่ที่ดูสดใสมีชีวิตชีวา
ในยุคนี้หน้าร้านทั่วไปยังไม่มีการตกแต่งภายในร้านอย่างนี้มาก่อน ดังนั้นคนที่เข้ามาในร้านไม่เพียงแต่จะถูกดึงดูดด้วยเสื้อผ้า แต่ยังรวมถึงตัวร้านเองด้วย
ในเวลานี้เริ่มเข้าสู่เดือนสองตามปฏิทินจันทรคติแล้ว ขณะที่เป็นต้นเดือนมีนาคมตามปฏิทินสุริยคติ
แม้อากาศจะยังเย็นอยู่เล็กน้อย แต่ก็สามารถใส่ชุดกระโปรงสำหรับฤดูใบไม้ผลิแบบนี้ได้แล้ว
ถ้าเป็นในยุคสมัยในชีวิตชาติก่อนของเธอ ยุคนั้นจะไม่เคยขาดคนที่ต้องการสวมเสื้อผ้าเพื่อความดูดีมากกว่าใส่เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นเลย อย่างมากก็แค่ใส่เสื้อแจ็กเกตเพิ่มเข้าไปอีกตัว
แต่ไม่ว่าอย่างไรชุดกระโปรงรูปแบบใหม่นี้ก็ขายได้
ในวันแรกธุรกิจร้านอยู่ในระดับปานกลาง ชุดกระโปรงขายไปได้ประมาณ 10 ชุด ขณะที่ในวันที่สองกลับคึกคักมาก เพราะชื่อเสียงของร้านได้ถูกกระจายไป และขายไปได้มากกว่า 30 ชุด
หลังจากนั้นธุรกิจก็ดีมาก
ดังนั้นเสื้อผ้ามากกว่า 200 ชุดจึงถูกขายหมดในเวลาไม่นาน
หลินชิงเหอขี่จักรยานไปโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเพื่อเร่งสินค้า
“มันจะทำได้เร็วขนาดนั้นได้อย่างไรกันครับ? มีชุดที่ต้องทำมากขนาดนี้ก็ต้องใช้เวลาทำนานเป็นธรรมดา ถ้าคุณติดขัดเรื่องผลิตได้ช้า คุณสามารถไปให้ที่อื่นผลิตให้ก็ได้นะครับ” ครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกันนั้น ทัศนคติของผู้จัดการโรงงานยังดีอยู่มาก แต่ในเวลานี้น้ำเสียงและท่าทางของเขาได้เปลี่ยนไป
หลินชิงเหอยังคงรักษารอยยิ้มไว้ “ในเมื่อชุดทั้งหมดถูกผลิตที่นี่ พวกเราก็ควรจะร่วมมือกันต่อนะคะ”
จากนั้นเธอจึงนัดหมายเวลากับเขาเพื่อมารับชุด หลินชิงเหอหน้าหงิกขึ้นทันทีหลังจากที่ออกมาจากโรงงานเสื้อผ้า
เมื่อกลับมาเธอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้โจวชิงไป๋ฟัง
“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปร่วมงานกับเขา ซื้อจักรเย็บผ้ามาและหาคนแบบแม่เฒ่าสวีมาตัดเย็บเสื้อผ้าให้แล้วกัน” โจวชิงไป๋กล่าวหลังจากที่ได้ฟังเรื่องนี้
หลินชิงเหอรู้สึกตกใจ “เปิดโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเองหรือคะ?”
“ไม่เชิงเปิดโรงงานผลิตเสื้อผ้าหรอก แต่คล้าย ๆ เปิดเป็นศูนย์การผลิตเล็ก ๆ มากกว่า และจ้างคนให้มาทำงานที่นี่ ผมคิดว่าเขาน่าจะรู้ว่าชุดของคุณกำลังขายดีมากจึงอยากจะขายมันด้วยตัวเอง” โจวชิงไป๋อธิบาย
ใบหน้าของหลินชิงเหอบูดบึ้ง
แต่ก็จริง ผู้จัดการโรงงานเสื้อผ้าคนนี้อาจจะมีความคิดเช่นนี้จริง ๆ!
“ผมจะติดต่อโรงงานผลิตเสื้อผ้าอีกแห่งหนึ่งให้คุณ เมื่อสิ้นสุดวันหยุดภาคฤดูร้อน เราไปซื้อจักรเย็บผ้ากลับมากันดีไหมครับ?” โจวชิงไป๋มองมาที่เธอ
หากต้องการจะซื้อจักรเย็บเสื้อผ้าที่นี่จะไม่ได้ซื้อง่ายดายขนาดนั้น เพราะคนซื้อยังจำเป็นต้องใช้คูปองอยู่ แต่ถ้าไปทางตอนใต้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้มัน
แค่มีเงินก็พอแล้ว
และถ้าเธอเปิดศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้า เธอจะต้องใช้จักรเย็บผ้าเป็นจำนวนมาก
“ชิงไป๋คะ เราจะสร้างศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าของตัวเองกันจริง ๆ หรือคะ?” หลินชิงเหอถามขึ้นในขณะที่จ้องหน้าสามีของเธอ
โจวชิงไป๋พยักหน้าราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา “ทัศนคติของโรงงานเหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนไปได้หรอก ถ้าเราไม่ลงมือผลิตด้วยตัวเอง”
หลินชิงเหอเม้มริมฝีปากและนึกถึงท่าทีของผู้จัดการโรงงานในวันนี้ เธอจึงประกาศกร้าว “ถ้าอย่างนั้นเราจะเริ่มตั้งศูนย์ผลิตเสื้อผ้าของเราเองค่ะ!”
ต่อจากนั้นเธอก็บอกกับโจวชิงไป๋ “คุณลองไปถามคุณลุงหวังดูสิคะว่ามีโกดังเก็บของที่ไหนที่สามารถจะทำเป็นอาคารโรงงานได้บ้าง เราจะได้ซื้อมัน?”
“ได้เลยครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้ารับ
หลินชิงเหอส่งต่อให้โจวชิงไป๋เป็นคนจัดการในเรื่องนี้ ส่วนเธอไปถามแม่เฒ่าสวี
“อาจารย์หลิน ชุดของคุณสองชุดยังไม่เสร็จเลยค่ะ” แม่เฒ่าสวีรีบพูดขึ้นเมื่อเห็นเธอมาหา
“ฉันรู้ค่ะ คุณป้าสวี ฉันแค่อยากจะมาถามคุณป้าว่ามีคนงานหลายคนมากไหมคะที่สามารถตัดเย็บเสื้อผ้าได้แบบคุณป้าและเกษียณแล้ว?” หลินชิงเหอถาม
“ทำไมอยู่ดี ๆ เธอถึงมาถามเรื่องนี้ล่ะ?” แม่เฒ่าสวีเอ่ยถามด้วยความงุนงง
“คืออย่างนี้ค่ะ มันมีปัญหาทางสังคมอยู่ ฉันได้ยินมาว่ามีคนมากมายที่ต้องถูกเกษียณ แล้วฉันก็ต้องการจะเขียนบทความถึงเรื่องนี้ ดังนั้นเลยมาถามคุณป้าน่ะค่ะ” หลินชิงเหอพูดโดยไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก
“อย่างนี้นี่เอง อย่างนั้นเธอมาถามถูกคนแล้วจ้ะ” แม่เฒ่าสวีบอก จากนั้นนางก็ระบายความขมขื่นของนางออกมาให้ฟัง “เธอไม่รู้อะไรหรอก ฉันน่ะยังไม่ถึงกำหนดเกษียณอายุเลย แต่ทางโรงงานไม่ชอบฉันเพราะว่าฉันแก่แล้วและไม่ค่อยคล่องแคล่วนัก พวกเขาเลยเรียกพวกที่กลับเข้าเมืองมาทำงานแทน”
ที่มากกว่านั้นคือมีกรณีแบบแม่เฒ่าสวีอีกไม่น้อยเลยทีเดียว
บางคนเกษียณโดยสมัครใจและส่งต่อให้คนรุ่นใหม่ที่กลับเข้ามาในเมืองทำต่อ แต่บางคนถูกบังคับให้เกษียณ
เหมือนดังเช่นแม่เฒ่าสวี หลังจากที่นางเกษียณแล้ว จึงไม่มีงานอะไรให้นางทำอีก อย่างมากก็รับงานส่วนตัวเพื่อหาเงินมาช่วยแบ่งเบาครอบครัว คนอื่นที่ไม่มีรายได้ก็ต้องใช้จ่ายจากเงินเก็บที่เคยมีอยู่
หลินชิงเหอเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี