ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 341 ความก้าวหน้าของครอบครัวสาขาสาม
บทที่ 341 ความก้าวหน้าของครอบครัวสาขาสาม
ตั้งแต่โจวหยางและโจวอู่นีกลับมา สะใภ้รองพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกไม่พอใจของตนเอาไว้
พอพี่ชายรองเอ่ยถามขึ้นมา หล่อนจึงระเบิดมันออกมาทันที “ฉันบอกคุณแล้ว คุณก็ไม่เชื่อฉันว่าบ้านสายสี่ดูถูกบ้านสายรอง ตอนนี้คุณเห็นหรือยัง!”
“ทำไมคุณถึงพูดอะไรแบบนี้อีกแล้ว?” พี่ชายรองขมวดคิ้ว
เขาไม่ชอบคำพูดพวกนี้มากที่สุด เขาจะไม่รู้ได้ยังไงว่าอาสี่ดูถูกเขาหรือเปล่า? พี่น้องทุกคนต่างก็ปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมไม่ใช่หรือ?
ยิ่งไปกว่านั้นอาสี่ยังฝากเงินไว้ที่พี่ชายใหญ่อีก 500 หยวนด้วย ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินต้องการใช้เงินเขาก็ไปเอามาใช้ได้ นี่แสดงถึงความลำเอียงหรือ?
อีกทั้งเขารู้นิสัยของอาสี่ดี อย่าว่าแต่พี่น้องแท้ ๆ ของตัวเองเลย แม้จะเป็นคนนอกที่ยากจนอาสี่ก็ไม่เคยดูถูกเลย
แต่ภรรยาของเขากลับพูดเรื่องทำนองนี้ออกมาอยู่เรื่อย ๆ นี่เป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี
สะใภ้รองยังไม่รู้ตัวว่าสามีเริ่มรู้สึกรำคาญหล่อนแล้ว จึงพูดต่อ “ทำไมฉันจะพูดไม่ได้? ครอบครัวเราได้ใช้เครื่องอัดเทปนั้นบ้างหรือเปล่า? แต่บ้านสายหลักกับสายสามที่ทำดีกับหล่อนกลับได้ใช้มัน!”
หลังจากที่ได้ยิน พี่ชายรองก็รู้เหตุผลแล้วว่าทำไมหล่อนถึงได้อารมณ์เสีย
“ต่อไปอย่าให้ผมได้ยินคำพูดพวกนี้จากปากคุณอีก ไม่อย่างนั้นคุณก็กลับไปอยู่ที่บ้านแม่คุณได้เลย บ้านครอบครัวโจวไม่สามารถจะมีภรรยาแบบคุณได้” เป็นครั้งแรกที่พี่ชายรองมองไปที่ภรรยาของเขาด้วยสายตาเย็นชา
แม้ที่ผ่านมาหล่อนจะสร้างเรื่องวุ่นวายอะไร พี่ชายรองก็ไม่เคยรู้สึกผิดหวังในตัวภรรยาของเขามาก่อน แต่สำหรับครั้งนี้เขารู้สึกผิดหวังมากจริง ๆ!
ทำไมสะใภ้สี่ถึงได้ให้เครื่องอัดเทปมาน่ะเหรอ? ก็สำหรับให้อู่นีกับหยางหยางไว้ฟังภาษาอังกฤษน่ะสิ ถ้าลูกสาวและลูกชายของเขากำลังเรียนอยู่เหมือนกันพวกเขาจะไม่ได้ใช้เครื่องอัดเทปนี้ด้วยเชียวหรือ? แล้วนี่จะเรียกว่าลำเอียงได้ยังไงกัน?
แต่เพราะภรรยาของเขาไม่ได้ให้ได้ลูก ๆ เรียนหนังสือ เซี่ยเซี่ยได้เรียนไม่กี่ปีเท่านั้น ส่วนคนที่เหลือก็ไม่ได้เรียนอะไรเลย
แล้วพวกเขาจะต้องฟังภาษาอังกฤษไปทำไม?
เพราะเรื่องแค่นี้ภรรยาของเขาถึงกับก่อเรื่องอย่างนี้ขึ้นมา แถมยังจะพูดเรื่องอย่างการดูถูกครอบครัวสาขารองออกมาอีก
“ครั้งก่อนที่พวกเขากลับมา พี่สะใภ้ใหญ่กับน้องสะใภ้สามได้นมผงกับลูกอม ครอบครัวเราก็ได้เหมือนกัน พี่สะใภ้ใหญ่กับน้องสะใภ้สามแวะไปหาพวกเขาด้วยซ้ำไป ในขณะที่คุณไม่ได้ก้าวเท้าไปแม้แต่ก้าวเดียว คนอื่นเขายังไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ คุณยังจะโลภอยากได้ไปหมดซะทุกอย่างอีกเหรอ?” พี่ชายรองถาม
“นั่นน่ะเครื่องอัดเทปเลยนะ!” สะใภ้รองกัดฟันแน่น
“คนที่ใช้เครื่องอัดเทปเครื่องนี้เป็นหลานชายและหลานสาวของผม!” พี่ชายรองพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผมไม่ได้พูดล้อเล่นกับคุณนะ ถ้าคุณยังพยายามจะสร้างความแตกแยกระหว่างพวกเราพี่น้องครอบครัวโจวอีกละก็ คุณกลับไปอยู่ที่บ้านแม่ของคุณได้เลย เราจะหย่ากัน!”
“คุณ…คุณจะหย่ากับฉันจริง ๆ เหรอ?” สะใภ้รองตื่นตะลึง “เรามีลูกด้วยกันตั้งหลายคน คุณยังจะหย่ากับฉันอีกงั้นเหรอ?”
“ถ้าคุณไม่อยากหย่าก็ทำตัวให้ดี อย่ามาสร้างคลื่นลมอะไรในบ้านครอบครัวโจวอีก ทุกอย่างกำลังไปในทิศทางที่ดี อย่าก่อปัญหาจากเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอีก!”
สะใภ้รองร้องไห้ จากนั้นก็หันหลังกลับแล้วปล่อยโฮออกมา
พี่ชายรองไม่พอใจและหงุดหงิดมากเช่นกัน เขาทนมามากพอแล้วกับผู้หญิงคนนี้ ดังนั้นเขาจึงแต่งตัวจะออกไปว่ายน้ำที่แม่น้ำ
พี่ชายสามที่เพิ่งไปว่ายน้ำข้างนอกกลับมาได้เจอกับพี่ชายรองเข้าพอดี “พี่รอง พี่ยังจะไปว่ายน้ำในเวลานี้อีกหรือครับ”
“อือ ให้อารมณ์เย็นขึ้นหน่อย” พี่ชายรองพูดจบก็ออกไป
พี่ชายสามกลับเข้าไปคุยเรื่องนี้กับสะใภ้สาม “ดูจากท่าทางของพี่รองแล้ว สงสัยจะทะเลาะกับพี่สะใภ้รองมา”
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้นแหละค่ะ คนคนนี้น่าเบื่อที่สุด ชอบสร้างเรื่องวุ่นวาย” สะใภ้สามแสดงความเห็นพร้อมยิ้มเหยียด
“พวกเราต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน อย่าไปใส่ใจอะไรกับเรื่องนี้ให้มากนัก” พี่ชายสามบอก
“ถ้าฉันใส่ใจละก็ บ้านหลังนี้คงจะอยู่ไม่สุขกันทั้งวันไปแล้วละค่ะ” สะใภ้สามแค่นเสียง
พี่ชายสามไม่ได้ตอบโต้กลับไป เขาก็รู้สึกเช่นเดียวกันว่าพี่สะใภ้รองคนนี้ทำเกินไป หล่อนมักใจแคบคิดเล็กคิดน้อยอยู่เสมอ เขารู้ว่าครั้งนี้ต้องเป็นเรื่องเครื่องอัดเทปที่หล่อนไม่สามารถมาใช้ร่วมด้วยได้ แต่นั่นมันสำหรับใช้ฟังภาษาอังกฤษ หยางหยางกับอู่นีอ่อนวิชาภาษาอังกฤษกัน แล้วพวกเขาไม่ควรจะฟังบ่อย ๆ เพื่อทบทวนเหรอ?
มันมีอะไรให้ต้องไม่พอใจกัน?
“ภรรยาครับ ผมวางแผนจะยืมเงินจากคุณพ่อคุณแม่บางส่วน” หลังจากที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พี่ชายสามก็หลุดปากเสียงเบาออกมา
“คุณอยากไปจะทำงานในเมืองหรือคะ?” เมื่อได้ยินสะใภ้สามก็เดาเรื่องได้ทันที
“ครับ” พี่ชายสามตอบ
สะใภ้รองเป็นแบบนี้อีกหน่อยที่บ้านจะต้องเกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นอน ภรรยาของเขาไม่ใช่คนที่มีความอดทนอดกลั้นมากนัก
นอกจากนี้พี่ชายสามก็คิดเรื่องนี้ไว้ในใจตั้งแต่แรกแล้ว
เขาแค่ไม่กล้าพูดออกมาเท่านั้น
“ครอบครัวเรามีเงินอยู่ 200 หยวน ชิงไป๋ทิ้งเงินไว้ให้ 500 หยวน ผมจะไปขอที่พี่ใหญ่มา 300 หยวน แล้วเกรงว่าผมคงจะต้องขอจากพ่อกับแม่มาอีก 300 หยวนด้วย” พี่ชายสามบอก
“ร้านค้าในเมืองแพงขนาดนี้เลยหรือคะ?” สะใภ้สามเอ่ย
“ราคาไม่ได้ถูก ๆ เลย” พี่ชายสามส่ายหัว
“ไม่ถูกก็ไม่เป็นไรค่ะ คุณเดินหน้าทำไปได้เลย” สะใภ้สามไม่อยากอาศัยอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว มิเช่นนั้นหน้ากากที่หล่อนใส่อยู่คงจะฉีกขาดและต้องทะเลาะกับคนคนนั้นในครอบครัวพี่รองในเร็ววันนี้เป็นแน่ ซึ่งนั่นเลวร้ายมากทีเดียว
หลังจากที่ทั้งคู่มีความคิดในเรื่องนี้แล้ว พวกเขาก็เริ่มลงมือทำทันที
เมื่อน้องชายสามตระกูลหลินมาหาโจวต้งเพื่อเก็บรวบรวมไข่ พี่ชายสามก็ถามถึงเรื่องร้านค้าในเมือง
“ตอนนั้นผมใช้เงินไป 680 หยวนครับ อีกฝ่ายต้องการรีบขายผมก็เลยต่อรองราคาลงมาได้ แต่ถ้าเป็นร้านอื่นคงจะไม่ถูกอย่างนี้หรอกครับ ถ้าพี่ต้องการซื้อ ผมจะไปถามมาให้นะครับ” น้องชายสามตระกูลหลินกล่าว
“ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนนายด้วยนะ” พี่ชายสามพยักหน้า
น้องชายสามตระกูลหลินไปช่วยสอบถามมาให้ บนถนนอีกเส้นเดินจากร้านของเขาไปประมาณ 20 นาที เจ้าของร้านบอกมาว่าต้องการจะขายร้าน
ราคา 700 หยวนและเป็นหน้าร้านอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีส่วนที่พักอาศัย มันมีขนาดเล็กกว่าร้านของน้องชายสามตระกูลหลินมาก
แต่ราคาสูงถึง 700 หยวนและไม่ลดแม้แต่เฟิน(1)เดียว
ร้านค้าแห่งนี้มีหน้าร้านที่ดีมากทีเดียว แต่น้องชายสามตระกูลหลินก็ไปตระเวนดูที่ร้านอื่น ๆ มาเช่นกัน หลังจากที่สำรวจดูจนทั่วแล้ว เขาก็รู้สึกว่าร้านแรกที่ไปดูนั้นดีและคุ้มค่าราคามากที่สุด
จากนั้นเขาจึงไปตามพี่ชายสามมาตรวจสอบ “ผมคิดว่าร้านนี้ดีมากครับ สถานที่อาจจะเล็กไปสักหน่อยและไม่สามารถใช้เป็นที่อยู่ได้ แต่ก็เป็นราคาที่ถูกที่สุดแล้วครับ ถ้าเป็นร้านแบบที่มีที่พักอาศัยด้วยจะราคาประมาณ 800-900 มันจะแพงเกินไปไม่คุ้มค่าครับ”
พี่ชายสามขี่จักรยานมาดู
ร้านไม่ใหญ่ แต่ทำเลดีมาก ตั้งอยู่บนถนนสายหลักที่เป็นศูนย์กลางไปสู่ถนนทุกเส้น ถ้าเขาทำธุรกิจที่นี่จะไม่แย่แน่นอน
“ร้านนี้ดีจริง ๆ” พี่ชายสามกล่าว
“แล้วเรื่องที่พักล่ะครับ?” น้องชายสามตระกูลหลินหันไปถามเขา
“ฉันสามารถไปพักอยู่ที่บ้านน้องเขยได้น่ะ” พี่ชายสามบอก
น้องชายสามตระกูลหลินพยักหน้า เขารู้ว่าครอบครัวของซูต้าหลินย้ายไปอยู่เมืองหลวงกันแล้ว แต่ไม่ใช่เรื่องของเขาที่จะเอ่ยออกมา เมื่อเห็นว่าพี่ชายสามรู้ว่าจะต้องทำอะไร เขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
กว่าหลินชิงเหอจะรู้เรื่องที่พี่ชายสามไปซื้อร้านค้าในเมือง ก็เป็นช่วงวันชาติในเดือนตุลาคมแล้ว
พี่ชายสามให้อู่นีเป็นคนเขียนจดหมายไปบอกพวกเขา
ในจดหมายบอกเล่าเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจผ่านตัวอักษรหลายหน้ากระดาษ น้องชายสามตระกูลหลินเป็นคนช่วยเขาหาร้านและยังสอนเคล็ดลับต่าง ๆ ในการทำธุรกิจให้อีกด้วย
ในเวลานี้พี่ชายสามจัดการทุกอย่างได้ลงตัวแล้ว
สำหรับสะใภ้สามยังไม่ได้เข้าอยู่ในเมืองด้วย หลังจากการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้สิ้นสุดลง ทั้งครอบครัวถึงจะย้ายไปอยู่ที่นั่น
พิจารณาจากจดหมายแล้วเห็นได้ชัดว่าพี่ชายสามต้องการจะลองทำธุรกิจจริง ๆ
…………………………………………………………………………………