ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 343 ได้รับโทรศัพท์
บทที่ 343 ได้รับโทรศัพท์
ราคาขนาดนี้นับว่า ‘แพงลิบลิ่ว’ จริง ๆ
ว่าไปแล้วร้านค้าของน้องชายสามตระกูลหลินในตัวอำเภอมีราคาเท่าไหร่กัน? แล้วร้านค้าที่พี่ชายสามซื้อล่ะมีราคาเท่าไหร่?
แต่เมืองหลวงยังคงเป็นเมืองหลวง ต่อให้เป็นตอนนี้ก็ชักนำคนส่วนหนึ่งให้มีฐานะร่ำรวยก่อนแล้ว จากนั้นคนที่ยังไม่รวยก็จะยกระดับตัวเองตามมา ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนยังไม่ใหญ่นัก แต่ก็เห็นความแตกต่างบางอย่างได้อย่างแท้จริง
อย่างเช่นราคาร้านค้าที่นี่
“มันก็ราคานี้แหละครับ” โจวชิงไป๋ตอบตามตรง ที่เขายังไม่ได้บอกก็คือหากเจ้าของร้านไม่ได้ร้อนเงิน พวกเขาก็อาจจะไม่ขายให้ด้วยซ้ำ ชายหนุ่มทำเพียงมองน้องสาวและเอ่ยกับหล่อน “เก็บเงินกับต้าหลินซะ ต่อให้เธอไม่ซื้อร้านนี้ เธอก็ต้องได้ซื้อร้านไหนสักที่อยู่ดี”
ภรรยาของเขาเคยบอกไว้ว่าหากไม่ซื้อร้านค้าในช่วง 2-3 ปีนี้ ในอนาคตมันก็จะแพงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะยุคหลังที่ราคาจริงของมันสูงแบบเสียดฟ้า ซึ่งในสายตาของโจวชิงไป๋แล้ว คนที่จะทำธุรกิจได้ก็ต้องซื้อร้านค้าหรือบ้านได้สิ?
เขาจึงแนะนำให้น้องสาวกับน้องเขยรีบซื้อร้านไว ๆ
“พี่สี่ พี่กับพี่สะใภ้สี่วางแผนจะซื้อร้านเหรอคะ?” โจวเสี่ยวเหมยถาม
“จริง ๆ เราก็คิดเอาไว้แบบนั้นนะ เมื่อไหร่ที่เรามีเงิน เราก็จะซื้อร้านเกี๊ยวของชิงไป๋น่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างไม่ต้องกระพริบตา
คนนอกอาจไม่รู้ชัดถึงผลกำไรของร้านเกี๊ยว แต่ธุรกิจร้านเสื้อผ้านับว่าดีมากทีเดียว ซึ่งปกติเอ้อร์นีจะเป็นคนดูแลบัญชีร้าน เมื่อดูรายได้ต่อวันก็ถือว่ามากอยู่ แต่นี่เป็นรายได้ที่ยังไม่หักต้นทุน ต่อให้รู้ว่ามันทำกำไรมาก เธอก็ไม่รู้กำไรสุทธิอย่างชัดเจนนัก
“งั้นเราจะขยันทำงานเพื่อดูว่าจะซื้อร้านได้ไหมแล้วกันค่ะ!” โจวเสี่ยวเหมยประกาศด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฉันว่ามันแพงไปนะ รอดูไปก่อนเผื่อว่ามันจะถูกลงดีไหม?” ท่านแม่โจวเอ่ย
“ในอนาคตมันมีแต่จะแพงขึ้นเรื่อย ๆ น่ะสิครับ” โจวชิงไป๋ส่ายหน้า
หลังนั่งพักอยู่ที่นี่ครู่หนึ่ง โจวชิงไป๋กับซูต้าหลินก็ไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำ
หลินชิงเหอจึงเอ่ยชวนโจวเสี่ยวเหมยกับท่านแม่โจวว่าจะไปอาบน้ำด้วยไหม ท่านแม่โจวปฏิเสธ เธอจึงไปกับโจวเสี่ยวเหมย
โจวเสี่ยวเหมยขัดหลังให้พี่สะใภ้สี่ก่อน จากนั้นหลินชิงเหอจึงขัดหลังให้หล่อนบ้าง
“พี่สะใภ้สี่ มีวิธีไหนที่จะย้ายทะเบียนบ้านของพวกเรามาที่นี่บ้างคะ?” โจวเสี่ยวเหมยถาม
หลังจากที่หล่อนได้มาอยู่ที่นี่ หล่อนก็ชอบสถานที่แห่งนี้เข้าจริง ๆ ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังวางแผนที่จะซื้อร้านแล้วด้วย ดังนั้นจึงไม่ต้องบอกเลยว่าพวกเขาจะหาทางก้าวหน้าที่ไหนในอนาคต
นี่คือเหตุผลว่าทำไมหล่อนถึงอยากจัดการปัญหาเรื่องย้ายทะเบียนบ้านนัก
“มันไม่ง่ายเลย” หลินชิงเหอส่ายหน้า
ไม่ว่าจะเป็นในอนาคตหรือตอนนี้ การย้ายทะเบียนบ้านก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ตอนนี้เธอก็อยู่แบบนี้ไปก่อนเถอะ มันไม่มีผลกระทบอะไรกับการเรียนของเด็ก ๆ และเรื่องอื่น ๆ หรอก” หลินชิงเหอบอก “ถ้ามีข่าวคราวอะไร พี่จะรีบแจ้งเธออย่างด่วนที่สุดเลย”
คุณป้าหม่ากับคุณลุงหม่าต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการย้ายทะเบียนบ้านของหม่าเฉิงหมินกลับมา เธอได้ยินคุณป้าหม่าพูดว่าพวกเขาต้องจ่ายมากกว่า 2,000 หยวนเพื่อให้ดำเนินการย้ายทะเบียนบ้านกลับมาได้สำเร็จ ซึ่งมันเกือบจะเป็นเงินเก็บที่มีอยู่ทั้งหมดของสองผู้เฒ่าเลยทีเดียว
ตอนนี้ลูกชายของพวกเขาได้ย้ายทะเบียนบ้านกลับมาแล้ว เรื่องนี้จึงนับว่าคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป
แต่หลินชิงเหอไม่ต้องการให้โจวเสี่ยวเหมยจ่ายเงินมากขนาดนั้นไปกับการย้ายทะเบียนบ้านหรอก
การจะใช้เงินจำนวนนี้ทำอะไรนั้น พวกเขาค่อยคุยกันทีหลัง
โจวเสี่ยวเหมยเชื่อฟังพี่สะใภ้สี่ของหล่อนอยู่แล้ว หล่อนจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “โชคดีที่มีพี่สะใภ้สี่อยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นพวกเราสองสามีภรรยาคงไม่กล้ามาที่นี่หรอกค่ะ”
“ตอนนี้ก็อดทนกับความลำบากและขยันทำงานกับน้องเขยไปก่อน ในอนาคตเธอจะได้ตามทันพี่” หลินชิงเหอบอก
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนเราจะจากบ้านมาอยู่ในที่แห่งใหม่
แต่ตอนนี้นับว่าเป็นโอกาสดีจริง ๆ จากนั้นคนรุ่นหลังในทุกที่จะเรียกช่วงเวลานี้ว่ายุคทอง ซึ่งในยุคนี้ต่อให้คน ๆ นั้นเปิดเพียงร้านซาลาเปา เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องโยกย้ายเงินไปเก็บไว้ในรูปทรัพย์สมบัติระยะยาวอย่างอสังหาริมทรัพย์หรือไม่
“ค่ะ ต้าหลินกับฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด” โจวเสี่ยวเหมยพยักหน้า
หลังอาบน้ำจนสบายตัว พวกเธอก็ออกมาจากโรงอาบน้ำ ซึ่งโจวชิงไป๋กับซูต้าหลินรออยู่ข้างนอกแล้ว โจวเสี่ยวเหมยกับซูต้าหลินกลับไปตามทางของพวกเขา หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็กลับบ้านไปด้วยกันพร้อมกับถุงใส่เสื้อผ้า
“เจ้าใหญ่เด็กเหลือขอนั่นจากบ้านไปตั้งนานแต่ส่งจดหมายกลับมาแค่ฉบับเดียวเองค่ะ” หลินชิงเหอบ่นกับโจวชิงไป๋ในระหว่างทางที่เดินกลับบ้าน
หลังมาถึงโรงเรียนเตรียมทหาร เด็กหนุ่มก็ส่งจดหมายฉบับหนึ่งรายงานว่ามาถึงอย่างปลอดภัยดีแล้วเท่านั้น หลังจากนั้นอีก 2-3 เดือนก็ไม่มีข่าวคราวอะไรเลย
“ที่นั่นค่อนข้างจะเข้มงวดน่ะ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่ง่ายที่จะส่งข่าวอะไรกลับมาหรอกครับ” โจวชิงไป๋เอ่ยอย่างไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลก
หลินชิงเหอเองรู้เรื่องนี้เช่นกัน แต่เธอก็เป็นคนเลี้ยงดูเด็กตัวเหม็นนั่นมากับมือ ต่อให้จะมั่นใจในตัวเขา ในฐานะแม่แล้วก็ยังคงเป็นกังวลอยู่ดียามที่เขาต้องห่างบ้านไปเป็นพัน ๆ ลี้
แม้ภายนอกเธอจะดูไม่รู้สึกอะไร แต่ในใจเธอจะไม่เป็นกังวลได้อย่างไร
ในยุคนี้ยังมีสายลับแฝงตัวอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นกฎระเบียบในโรงเรียนเตรียมทหารจึงเข้มงวดกวดขันยิ่ง
ดังนั้นช่างมันเถอะ
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายใยแม่ลูกหรือไม่ หลังเลิกการเรียนการสอนในวันต่อมา หลินชิงเหอก็ได้ยินเพื่อนร่วมงานของเธอตอบรับโทรศัพท์ก่อนจะเรียกให้เธอมาคุยกับคนปลายสาย
ทันทีที่ได้ยินว่าเป็นเสียงของเจ้าเด็กตัวเหม็น หลินชิงเหอก็ระบายอารมณ์ใส่ “เจ้าเด็กเหลือขอ ป่านนี้แล้วถึงได้โทรศัพท์มาหาเราเหรอ? รู้ไหมว่านานเท่าไหร่แล้วที่ลูกไม่ได้ติดต่อกับที่บ้าน? ไม่รู้เหรอว่าคุณปู่คุณย่าคิดถึงลูกขนาดไหน? ลูกยังมีบ้านอยู่ในหัวใจอยู่ไหม? ปีกกล้าขาแข็งแล้วก็ติดลมบนสินะ?”
โจวข่ายไม่มีโอกาสได้พูดเลยขณะที่ถูกแม่ผู้เกรี้ยวกราดร่ายยาวใส่เป็นชุด
นักเรียนเตรียมทหารจำนวนหนึ่งที่อยู่รอบ ๆ เขาอดไม่ได้ที่จะระเบิดหัวเราะ จากนั้นก็โดนโจวข่ายประเคนลูกเตะใส่
เด็กหนุ่มถูใบหน้าและเอ่ยอย่างจนใจ “ม้าครับ ตอนนี้มีเพื่อน ๆ ผมอยู่ด้วยนะ”
“หึ!” หลินชิงเหอแค่นเสียงก่อนเอ่ยต่อ “อยู่ที่นั่นลูกเป็นไงบ้าง?”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ ม้าไม่ต้องกังวลหรอก แล้วนี่คุณปู่คุณย่ามาถึงเมืองหลวงกันหมดหรือยังครับ?” โจวข่ายถาม
“พวกเขาอยู่ที่นี่แล้วล่ะ ครอบครัวอาเล็กก็อยู่ที่นี่ด้วย เมื่อไหร่ลูกจะได้หยุดล่ะ?” หลินชิงเหอตอบกลับ
“ม้าคิดถึงผมไหมครับ?” โจวข่ายยิ้มกริ่ม
“เจ้าเด็กตัวเหม็น” หลินชิงเหอเอ็ดอย่างขำ ๆ แต่เธอก็คิดถึงเด็กเหม็นนี่จริง ๆ บางทีอาจเป็นเพราะไม่ชินกับการต้องอยู่ห่างกันแบบนี้กระมัง
“ผมยังไม่ได้วันหยุดเลยครับ วันนี้พวกเขาก็ปล่อยให้เราหยุดได้แค่ครึ่งวัน ผมถึงมีเวลามาโทรหาม้ายังไงล่ะครับ” โจวข่ายบอก
“ลูกต้องฝึกหนักขนาดนั้นเลยเหรอ?” หลินชิงเหอถามอย่างอดไม่ได้
“ไม่เป็นไรหรอกครับ มันไม่หนักมากหรอก ผมยังทนได้อยู่” โจวข่ายตอบ
“แล้วค่ายที่ลูกฝึกอยู่รับพัสดุไปรษณีย์แบบด่วนพิเศษได้ไหม?” หลินชิงเหอถาม
“ได้ครับ” โจวข่ายพยักหน้า
“ถ้างั้นม้าจะส่งของบางอย่างไปให้ใน 2-3 วันนี้ อย่าลืมเซ็นรับด้วยล่ะ” หลินชิงเหอพูด
จากนั้นพวกเขาก็คุยสัพเพเหระกันยาว ๆ ก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายวางสายด้วยท่าทางอิดออด
อาจารย์หญิงอาวุโสข้างเธอรู้จักโจวข่ายดี เป็นเรื่องยากที่หล่อนจะไม่รู้จัก เนื่องเพราะเด็กหนุ่มเป็นคนประกาศไปทั่วมหาวิทยาลัยในเรื่องที่ว่าหลินชิงเหอเป็นแม่ของเขา
“คิดถึงเขาหรือคะ?” หล่อนถามด้วยรอยยิ้ม
“ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนในตอนที่เขายังอยู่ข้าง ๆ ฉันเลยค่ะ ตอนนี้เขาไปอยู่ในโรงเรียนเตรียมทหารได้ 2-3 เดือนแล้ว นอกจากรายงานว่าถึงค่ายอย่างปลอดภัยดี ฉันก็เพิ่งจะได้คุยกับเขาวันนี้เองค่ะ” หลินชิงเหอระบาย
“เด็กคนนี้รักษาสัญญามากนะคะ ดังนั้นคุณไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอกค่ะ” อาจารย์หญิงคนนี้ก็เป็นแม่คนเช่นกัน ลูกของหล่อนไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยที่นี่และศึกษาอยู่ในที่ห่างไกลออกไป หล่อนจึงมีความรู้สึกและความเห็นใจในแบบเดียวกัน
………………………………………………………………………………