ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 375 ความขัดแย้งและการฝึกฝน
บทที่ 375 ความขัดแย้งและการฝึกฝน
หลินชิงเหอมีงานสอนหนังสือจึงทำให้มีเวลาว่างน้อย
เรื่องการจัดการร้านค้าต่าง ๆ จึงตกเป็นหน้าที่ของหม่าเฉิงหมิน กระนั้นเจ้านายตัวจริงอย่างโจวชิงไป๋ก็ต้องคอยไปดูแลตรวจงาน
ทั้งที่ศูนย์ตัดเย็บและที่ร้านค้าต่าง ๆ
แม้โจวชิงไป๋จะมีลักษณะนิสัยเช่นนี้ แต่เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้สามารถทำกำไรได้อย่างแท้จริง เขาจึงให้ความสำคัญกับมันเป็นอันมาก
ช่วงเที่ยงวันนั้น หลินชิงเหอเห็นว่าเป็นเวลาประมาณ 11:30 น. ซึ่งเป็นเวลาพักงานในทุ่งนาเพื่อกลับไปกินอาหารกลางวันที่บ้านแล้ว เธอจึงโทรศัพท์ไปหาสะใภ้ใหญ่
สะใภ้ใหญ่เพิ่งกลับมาจากทุ่งนาจึงไปล้างหน้าล้างมือก่อนจะมารับโทรศัพท์
หลินชิงเหอคุยสัพเพเหระอยู่สักครู่ก่อนจะถามถึงผลการเรียนของโจวหยางและโจวอู่นี
เดือนมิถุนายนปีนี้ ทั้งคู่จะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันแล้ว
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันจ้ะว่าพวกเขาเรียนเป็นยังไงกันบ้าง ทั้งพี่ใหญ่ของเธอกับพี่ไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย แต่ก็ได้ยินว่าคะแนนวิชาภาษาอังกฤษออกมาดีมาก ได้อยู่ในลำดับที่สูงของห้องเลยนะ” สะใภ้ใหญ่ดีใจเมื่อได้คุยถึงเรื่องนี้
หลินชิงเหอยิ้มเต็มหน้า
ตอนที่โจวหยางกับโจวอู่นีมาอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องท่องศัพท์ให้ได้วันละ 5 คำ ลูกชายคนรองของเธอติวหนังสือให้ด้วยตัวเอง โจทย์วิชาคณิตศาสตร์ก็คิดขึ้นมาให้โดยเฉพาะ บทความภาษาจีนที่ควรท่องจำก็ให้ท่องจำ ดังนั้นคะแนนจึงไม่น่าจะได้ต่ำอยู่แล้ว
ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่การมุ่งเน้นไปที่เนื้อหาด้านอื่น ๆ และสื่อการเรียนรู้การสอนที่ได้รับมาด้วย
ถ้าพวกเขาตั้งใจเรียนให้หนัก ก็น่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ได้
พูดคุยกันไปอีกสักพัก เธอจึงบอกเรื่องน่าภูมิใจของโจวเอ้อร์นีที่ได้ไปโรงเรียนภาคค่ำ ซึ่งทำให้สะใภ้ใหญ่รู้สึกดีใจมาก พอจะวางสายสะใภ้ใหญ่ก็รู้สึกลังเลขึ้นมา หลังจากที่นิ่งเงียบไปชั่วครู่หล่อนก็ถามขึ้นมา “ชิงเหอจ๊ะ เธอคิดว่ายังไงถ้าพี่จะเลี้ยงเป็ด?”
“เลี้ยงเป็ดหรือคะ?” หลินชิงเหองุนงง
“ใช่จ้ะ บังเอิญมีลำธารเล็ก ๆ อยู่ที่อีกด้านของทุ่งนา ถ้าพี่เลี้ยงเป็ดก็สามารถไล่ต้อนพวกมันไปอยู่ตรงนั้นได้ แล้วก็ยังช่วยงานในทุ่งนาได้ด้วย พี่เห็นว่าก่อนหน้านี้คุณพ่อก็เลี้ยงเป็ดได้เป็นอย่างดี ก็เลยคิดอยากทำบ้างน่ะ” สะใภ้ใหญ่บอกอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะหลินชิงเหอต้องการทำน้ำแกงเป็ด และตอนนั้นท่านพ่อโจวไม่ต้องไปทำงานที่ทุ่งนาอีกแล้วจึงเลี้ยงเป็ดเพิ่มขึ้นมากเป็นพิเศษราว ๆ 7-8 ตัว
ไม่จำเป็นต้องคอยมาให้อาหารพวกมัน แค่ต้อนไปไว้ที่แม่น้ำให้พวกมันกินปลาและกุ้งตัวเล็ก ๆ ทุกวันเท่านั้น นี่เป็นความคิดที่ดีมาก
“พี่สะใภ้ใหญ่ต้องการจะเลี้ยงเยอะหรือคะ?” หลินชิงเหอถาม
“พี่ตั้งใจอย่างนั้นนะ แต่พี่ใหญ่ของเธอบอกว่าพี่ทำเรื่องยุ่งวุ่นวาย” สะใภ้ใหญ่เล่า
“วุ่นวายอะไรกันคะ? ดูที่พี่สามกับพี่สะใภ้สามสิ ตอนนี้พวกเขาได้เปิดร้านอยู่ในเมืองแล้ว เมื่อปีที่แล้วพวกคนในหมู่บ้านก็พากันพูดว่าพวกเขาหาเรื่องยุ่งยากอยู่เลยไม่ใช่หรือคะ?” หลินชิงเหอกล่าว
“เธอพูดถูก ตอนนี้พวกเขากำลังไปได้ดีจริง ๆ” สะใภ้ใหญ่เห็นด้วย
ไม่ใช่เพราะอย่างนี้หรือหล่อนถึงได้อยากลองทำอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมาเหมือนกัน?
“ถ้าพี่ต้องการจะทำก็ลองทำดูสิคะ ไม่ได้ต้องใช้เงินมากมายอะไร” หลินชิงเหอบอก “ว่าแต่พี่ต้องการจะเลี้ยงสักกี่ตัวคะ?”
“วางแผนไว้ว่าประมาณ 20 ตัวจ้ะ” สะใภ้ใหญ่ตอบอย่างไม่แน่ใจ
“ถ้าอย่างนั้นยังมีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลอีกคะ แค่ 20 ตัวเท่านั้นเอง” หลังจากได้ยินคำตอบ หลินชิงเหอก็พูดอย่างตรงไปตรงมา
สำหรับเธอ การเลี้ยงจำนวนมากคือประมาณ 100 ตัว แต่สำหรับพี่สะใภ้ใหญ่คือราว ๆ 20 ตัว…วิธีคิด 2 แบบที่แตกต่างกัน
“แล้วทางโจวต้งเป็นยังไงบ้างคะ?” หลินชิงเหอถาม
“โจวต้งกับไฉ่ปาเม่ยก็กำลังไปได้ดีมากจ้ะ น้องสามของเธอจะมารับไข่ไปวันเว้นวันเลย” พอเอ่ยถึงโจวต้งแล้วสะใภ้ใหญ่ก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมานิด ๆ
เขาหาเงินได้มากเท่าไหร่นะ? หล่อนได้ยินมาว่าเขาเลี้ยงไก่มากถึง 200-300 ตัว!
“นั่นไงคะ ตราบใดที่มันไม่ได้เป็นเรื่องยุ่งยากวุ่นวายอะไร พี่จะต้องทำได้ดีแน่ เป็ดแค่ 20 ตัวเท่านั้น พี่สะใภ้คะ เลี้ยงไปเลยค่ะ!” หลินชิงเหอสนับสนุน
ค่าโทรศัพท์ยังคงแพงอยู่มาก ดังนั้นเมื่อไม่มีเรื่องอื่นอีกพวกเธอจึงวางสาย
อย่างไรก็ตามเพราะโทรศัพท์สายนี้ พี่สะใภ้ใหญ่จึงไปจับลูกเป็ดมาทั้งหมด 30 ตัวทันที แม้ว่าพี่ชายใหญ่จะคัดค้านก็ตาม
พี่ชายใหญ่ทำอะไรไม่ถูก “มีงานให้ทำในทุ่งนาอีกตั้งเยอะ คุณจะมีเวลามาเลี้ยงเหรอ?”
“จะเป็นอะไรไปล่ะคะ? เราก็เลี้ยงหมูไว้ 1 ตัวกับไก่อีก 10 ตัวเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” สะใภ้ใหญ่โต้กลับ
ลูกสาวคนโตแต่งออกไปแล้ว ลูกสาวคนรองก็ไปทำงานที่เมืองหลวงมีรายได้ที่แน่นอน งานในบ้านทั้งหลายแหล่จึงตกอยู่กับโจวซื่อนี ซึ่งสามารถทำงานได้อย่างคล่องแคล่วเช่นกัน
หลัก ๆ แล้วสะใภ้ใหญ่จึงไม่ต้องทำงานบ้านเลย ทุกอย่างถูกจัดการได้อย่างเรียบร้อย
ทั้งหมูและไก่ก็เป็นโจวซื่อนีที่เป็นคนให้อาหาร
เมื่อหล่อนเห็นว่าพ่อกับแม่กำลังโต้เถียงกันจึงพูดขึ้นว่า “หนูเลี้ยงเป็ดพวกนี้เองค่ะ พอพวกมันโตแล้วหนูจะเป็นคนต้อนไปที่แม่น้ำให้พวกมันไปกินปลากับกุ้งตัวเล็ก ๆ ที่นั่นเอง”
พี่ชายใหญ่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เมื่อเขากลับไปที่ห้อง โจวซื่อนีก็ดึงตัวแม่ของหล่อนไปที่อีกด้านแล้วกระซิบบอกว่า “แม่คะ หนูได้ยินเสียงไก่ร้องออกมา แต่พอหนูไปที่เล้าไก่ก็ไม่เห็นไข่เหลืออยู่เลย ต้องเป็นลิ่วนีเอาไปอีกแน่ ๆ เลยค่ะ”
สีหน้าของสะใภ้ใหญ่ดำทะมึนขึ้นทันที นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น เพราะอย่างนี้หล่อนถึงไม่ต้องการจะอยู่บ้านหลังเดียวกันกับสะใภ้รองอย่างไรล่ะ?
หล่อนเริ่มจะทนกับพฤติกรรมลักเล็กขโมยน้อยแบบนี้ไม่ไหวแล้ว
หล่อนบอกสะใภ้รองให้จัดการสั่งสอนลิ่วนี แต่ฝ่ายนั้นกลับไม่เคยว่าอะไรเลย
สะใภ้รองไม่คิดจัดการอย่างจริงจัง แถมยังพูดอีกว่าการที่แม่ไก่ส่งเสียงร้องออกมาไม่ได้หมายความว่ามันกำลังจะออกไข่เสมอไป
แต่เสียงร้องแบบนั้นเป็นเสียงตอนที่ไก่จะออกไข่เท่านั้น จะผิดไปจากนี้ได้ยังไง!
อย่างไรก็ดีในฐานะที่หล่อนเป็นสะใภ้ใหญ่ของครอบครัวตระกูลโจวทำให้ไม่สามารถจะไปด่าว่าตรง ๆ ได้ จึงได้แต่พูดว่า “ครั้งหน้าก็คอยระวังหน่อยแล้วกัน บ้านเราเตรียมอิฐไว้เรียบร้อยแล้ว ภายในสิ้นปีนี้ก็จะสามารถสร้างบ้านใหม่กันแล้วละ!”
เมื่อถึงเวลานั้นครอบครัวของหล่อนก็จะย้ายออกไป ที่นี่ก็จะกลายเป็นบ้านเก่าสำหรับเอาไว้เก็บฟืน ไม่มีความจำเป็นต้องอาศัยร่วมกับสะใภ้รองอีกต่อไป
กล่าวได้ว่าครอบครัวสาขาสามนั้นดีกว่ามาก ปีที่แล้วพวกเขาได้ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองและธุรกิจก็ไปได้ดีมาก ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี
หากไม่เป็นเพราะบ้านสายหลักเป็นคนประเภทที่พูดจาไม่เก่ง หล่อนก็อยากทำธุรกิจบ้างเช่นเดียวกัน
แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้น การอยู่ที่บ้านทำนาเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่อย่างสงบสุขน่าจะดีสำหรับพวกหล่อนมากกว่า ตอนนี้เลี้ยงเป็ดเพิ่มขึ้นมาด้วย เมื่อถึงเวลาก็จะมีรายได้เข้ามาอีกทาง
กลับมาทางฝั่งของเมืองหลวง
ตอนนี้โจวเอ้อร์นีกำลังเรียนรู้ฝึกฝนงานอย่างหนัก หู่จือก็พลอยได้รับอิทธิพลในทางที่ดีจากหล่อนไปด้วย พวกเขาก้าวหน้าขึ้นจากเดิมมาก ดังนั้นหลินชิงเหอจึงให้ทั้ง 2 คนเริ่มลองทำบัญชีของที่ร้านเสื้อผ้า
แม้ว่านี่จะเป็นงานของหม่าเฉิงหมิน ก็ไม่ได้มีผลในการเรียนรู้ของทั้งคู่
งานในหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้อื่น ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่สามารถเรียนรู้ได้ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในอนาคต พวกเขาจะได้ทำงานทดแทนกันได้
หลินชิงเหอไม่มีสอนในช่วงบ่ายนี้ เธอจะไปที่โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าของหวังหยวนเพื่อสั่งทำเสื้อผ้าล็อตใหม่และพาโจวเอ้อร์นีไปด้วย จึงให้สวี่เชิ่งเหม่ยเป็นคนเฝ้าร้าน
“โอ้ ในที่สุดคุณก็ยอมพานักศึกษามหาวิทยาลัยมาแนะนำให้ผมแล้วหรือครับ?” เมื่อรู้ว่าเธอมา หวังหยวนก็ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง เมื่อเห็นโจวเอ้อร์นีเขาก็ยิ้มออกมา
“นี่เป็นหลานสาวของฉันเองค่ะ ฉันพามาเรียนรู้งานที่นี่ ทำให้เถ้าแก่หวังต้องเห็นเรื่องน่าขันซะแล้ว”
“เป็นหลานสาวของอาจารย์หลินนั่นเอง โชคดีจังเลยครับที่ได้รู้จักคุณ” หวังหยวนพูดพร้อมกับยื่นมือออกมา
หลินชิงเหอจับมือทักทายด้วย โจวเอ้อร์นียังอายุน้อยและเพิ่งได้เรียนรู้วิธีทักทายด้วยการจับมือ แม้ว่าจะพยายามรักษาท่าทีอย่างเต็มที แต่ใบหน้าของหล่อนก็ยังขึ้นสีแดงระเรื่อให้เห็น
…………………………………………………………………………..