ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 389 ข่าวการตั้งครรภ์
บทที่ 389 ข่าวการตั้งครรภ์
การมีรถบรรทุกคันใหญ่อยู่ในมิติ นั่นเป็นเงินมากเท่าไหร่กันละ
หลังการคำนวณขั้นสุดท้าย รถบรรทุกคันนี้และของชิ้นใหญ่อื่น ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาได้มาจากการค้าแบบซื้อมาขายไปในปีนี้ทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ยังมีเงินเหลืออยู่อีก 2,000-3,000 หยวน รวมกับรายได้ที่ได้จากการทำธุรกิจที่สุจริตในเมืองหลวงอีก
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋มาที่ตลาดมืดเพื่อเดินเล่น
หลินชิงเหอต้องการจะสะสมทองคำ ในเวลานี้แม้ปฏิรูปประเทศและเริ่มมีทองคำให้เห็นอยู่ในตลาดทั่วไปแล้ว แต่มันก็ยังคงมีราคาที่สูงมากทีเดียว
เนื่องจากยังไม่อนุญาตให้ทำการซื้อขายทองคำในตลาดได้ ถ้าต้องการจะซื้อขายมันก็ต้องทำอย่างไม่เปิดเผย ด้วยเหตุนี้ส่วนต่างของกำไรจึงสูงมาก
เป้าหมายคือทองคำก็จริง แต่มีเหตุไม่คาดฝันที่มักจะสร้างความประหลาดใจได้เสมอ
เหรียญต้าหยวนโถว(1) มีปรากฏให้เห็นในตลาดมืดของเทศบาลมณฑลอย่างคาดไม่ถึง
เหรียญที่เรียกว่าต้าหยวนโถวนี้ถูกใช้ในช่วงเวลาที่ประเทศยังเป็นสาธารณรัฐจีน เป็นสกุลเงินที่ใช้กันในยุคนั้น หลินชิงเหอเก็บสะสมสิ่งของไว้หลายอย่าง แต่ยังไม่เคยเก็บเหรียญชนิดนี้
มีเหรียญต้าหยวนโถวอยู่ทั้งหมด 10 เหรียญ ซึ่งทุกเหรียญถูกเก็บไว้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก แต่ราคาของพวกมันก็ไม่ได้ถูกเลย ราคาขายอยู่ที่ 40 หยวนต่อ 1 เหรียญ
10 เหรียญก็เท่ากับ 400 หยวน
“ตอนนี้ข้างนอกเริ่มนิยมสะสมของเก่าพวกนี้กันแล้วครับ เก็บสะสมไว้ก่อน ต่อไปมันจะต้องมีค่ามากแน่นอนครับ” เด็กหนุ่มชี้ชวน
“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าในอนาคตมันจะมีค่ามากหรือเปล่า แต่ว่าในตอนนี้เธอกำลังทำเหมือนพวกเราเป็นคนโง่” หลินชิงเหอพูดอย่างเฉยเมย
“ทำเหมือนพวกคุณเป็นคนโง่อะไรกันครับ? เหรียญเงินทั้ง 10 เหรียญของผมอยู่ในสภาพดีทุกเหรียญ แต่ละเหรียญก็ไม่เหมือนกันเลยด้วย ถือว่าเป็นของแปลกใหม่นะครับ!”
“ถ้ามันเป็นของแปลกใหม่ขนาดนั้น ทำไมถึงยังขายไม่ได้อีกล่ะ?” หลินชิงเหอแย้งขึ้น
“ผมลดให้ได้มากสุด 5 หยวนต่อเหรียญ ถ้าคุณอยากได้ ก็ซื้อไปได้เลย แต่ถ้าไม่ ก็ลืมมันไปซะ” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว
เนื่องด้วยทั้ง 10 เหรียญแตกต่างกันหมดเลย หลินชิงเหอจึงต้องการซื้อเหรียญเงินเหล่านี้ไว้ ทว่าเธอยังไม่พอใจกับราคา
เห็นได้ชัดว่ามันแพงมาก
โจวชิงไป๋เป็นคนเข้ามายุติเรื่องนี้ให้ด้วยคำพูด 1 ประโยค ซื้อทั้งหมด 10 เหรียญในราคา 200 หยวน
ถึงแม้จะตัดราคาลงไปถึงครึ่งหนึ่ง แต่เมื่อเด็กหนุ่มได้เห็นโจวชิงไป๋หยิบธนบัตรใบละ 10 หยวน 20 ใบออกมานับแล้ว นัยน์ตาของเขาก็ฉายแววละโมบขึ้น
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงกัดฟันตอบตกลง
หลินชิงเหอหยิบเหรียญเงินทั้ง 10 เหรียญมาแล้วกล่าวว่า “เก็บเหรียญพวกนี้เอาไว้เป็นของสะสมต่อไปนะคะ”
หากมันแพงเกินไป เธอก็อาจจะซื้อทองคำเก็บไว้แทน แต่ในเมื่อตอนนี้ราคาเหลือแค่ 200 หยวน จึงซื้อเก็บเอาไว้ให้ลูกหลานได้เห็น
อย่างไรก็ตาม ตลาดมืดในปัจจุบันเริ่มมีสัญญาณของความรุ่งเรืองแสดงออกมาให้เห็น
ไม่มีคนจากตลาดข้างนอกมาติดประกาศห้ามและให้คนมาคอยจับกุมพวกเขาอีกต่อไปแล้ว กระนั้น การที่ยังมีตลาดมืดอยู่ก็เนื่องมาจากมีของหลายอย่างที่ไม่สามารถหาได้ง่าย ๆ ตามท้องตลาดทั่วไป ตลาดมืดจึงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่จะไปหาซื้อของเหล่านี้
โจวชิงไป๋พาเธอเดินไปรอบ ๆ ตลาดมืด ท้ายที่สุด พวกเขาได้แลกเปลี่ยนสินค้าเป็นปิ่นปักผมทอง 2 อันจากแม่เฒ่าคนหนึ่ง และกำไลข้อมือทอง 1 วงกับแหวนทองอีก 2 วงจากชายหนุ่มคนหนึ่ง
มีทองคำจำนวนมากถูกเก็บเอาไว้ในมิติของหลินชิงเหอ ก่อนหน้านี้เธอเคยไปเมืองหลวงเพื่อซื้อมาเก็บไว้ ต่อมาก็ไปที่อำเภอ และก็ยังเก็บสะสมมาเรื่อยตอนที่กำลังเรียนอยู่
เมื่อนำทั้งหมดมารวมกัน ตามมูลค่าของทองคำในยุคต่อมา พวกเขาน่าจะมีทองคำเกิน 1 ล้านหยวน
บอกตามตรงว่าตั้งแต่ที่เธอซื้อเรือนสี่ประสาน บ้านและร้านค้าในปักกิ่งแล้ว เธอก็ไม่แยแสกับพวกสินค้าสีทองและสีขาวเหล่านี้อีกต่อไป
วิสัยทัศน์ของเธอยกระดับขึ้นไปแล้ว
ทองคำเป็นสิ่งมีค่าอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าสำหรับคนในยุคต่อมา ทองคำที่ได้มาก่อนหน้านี้ก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาอยู่ดี
การเก็บทองคำไว้มากมาย อาจจะแค่พอซื้อบ้านขนาด 100 ตารางเมตรในเมืองเล็กระดับ 3 หรือ 4 (2)ได้เท่านั้นเองในยุคต่อมา
แต่ในเมื่อไหนไหนพวกเขาก็มีทองคำเก็บไว้แล้ว เช่นนั้นก็เก็บมันไว้ต่อไปเถอะ
เท่ากับได้มีสินทรัพย์ 2 ประเภทที่แตกต่างกัน อีกทั้งพวกกำไลข้อมือ แหวนและปิ่นปักผมที่ทำมาจากทองเหล่านี้ก็เป็นของที่เรียบง่ายและสวยงาม
เมื่อทั้งคู่กลับไปถึงที่พัก หลินชิงเหอก็เอาไอศกรีมจากมิติออกมากิน
หล่อนมีไอศกรีมเก็บไว้ในมิติด้วย ซึ่งทำให้สะดวกมาก
“กินมากไม่ดีนะครับ” พอเธอกินไอศกรีม โจวชิงไป๋จะเริ่มเตือนเธอ
“แค่อันเดียวเองค่ะ” หลินชิงเหอพูด
โจวชิงไป๋จ้องหน้าเธอ หลินชิงเหอขยาดกับการจ้องหน้านิ่ง ๆ ของเขาจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “หมดอันนี้แล้ว พรุ่งนี้ฉันจะไม่กินอีกแน่นอนเลยค่ะ”
โจวชิงไป๋มองไปที่เธอแล้วพูดว่า “วันนี้คุณกินไป 2 อันแล้วนะครับ”
“คุณพูดอะไรกับพี่สาวใหญ่บ้างคะ?” หลินชิงเหอรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ผมถามพี่สาวใหญ่ว่าต้องการไปปักกิ่งหรือเปล่า” โจวชิงไป๋ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ เขาอยากได้ลูกสาว ดังนั้นการกินของที่เย็นมาก ๆ ไม่ใช่สิ่งที่ดี
เขาไปที่บ้านพี่สาวใหญ่เพื่อนำเงินเดือนของหลานสาวไปให้ เขาถามพี่สาวใหญ่ว่าหล่อนมีความตั้งใจอยากจะไปอยู่ที่ปักกิ่งหรือไม่
แต่เมืองหลวงเป็นสถานที่เช่นไรล่ะ? คนผู้หนึ่งจะย้ายไปอยู่ที่นั้นได้อย่างง่ายดายอย่างนั้นหรือ? เมื่อไปที่นั่นแล้ว จะเกิดอะไรกับหมูและไก่ของที่บ้านล่ะ?
หล่อนไม่ได้มาจากปักกิ่ง แล้วทำไมต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นด้วย?
ทันทีที่โจวชิงไป๋เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา พี่สาวใหญ่ก็ปฏิเสธทันที นอกจากนี้ หล่อนยังตำหนิน้องชายสี่ของหล่อนด้วย “พี่ก็อายุมากขนาดนี้แล้ว หวังแต่ว่าลูก ๆ จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ถ้างั้น ให้เชิ่งเฉียงไปที่ปักกิ่งแล้วกัน”
โจวชิงไป๋เป็นคนตรงไปตรงมามาโดยตลอด เช่นเดียวกับพี่สาวใหญ่ของเขา จึงได้ตอบกลับไปว่า “เชิ่งเฉียงไม่เหมาะกับเรื่องธุรกิจ”
ถ้าหลานชายคนนี้ได้ทำงานอย่างสงบอยู่ที่บ้านก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าได้ออกไปอยู่ข้างนอกแล้ว จะทำให้เขาเปลี่ยนไปได้อย่างง่ายดาย
เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้ทำร้ายจิตใจของพี่สาวใหญ่ ทุกคนต่างก็ดูถูกลูกชายของหล่อน ลูกชายคนโตของหล่อนจะไม่เหมาะกับเรื่องธุรกิจได้อย่างไร?
และถึงแม้เขาจะไม่เหมาะ แต่ภรรยาของเธอไม่ได้เป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยปักกิ่งหรอกหรือ? คนที่สอนนักศึกษามหาวิทยาลัยน่ะ
ในเมื่อเธอสามารถสอนนักศึกษามหาวิทยาลัยได้ เมื่อมีบางเรื่องที่เชิ่งเฉียงไม่เข้าใจก็แค่สอนเขานิดหน่อยเท่านั้นเองก็ได้แล้ว ไม่ใช่หรือ?
พอได้ฟังแบบนี้ โจวชิงไป๋ก็ขมวดคิ้ว แล้วตั้งใจสังเกตดูสวี่เชิ่งเฉียงหลานชายอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการยืนหรือการนั่งเขายังไม่สามารถทำได้อย่างเหมาะสมเลย ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้อยู่ที่บ้านพี่สาวใหญ่นานนัก
ในทางกลับกัน เขาไปที่บ้านพี่สาวรองและอยู่ที่นั่นสักพัก ตอนที่เขากลับออกมาก็เอาถุงงากลับมาด้วย 1 ถุง
พี่สาวรองให้เขามา เนื่องจากภรรยาของเขาชอบกิน เขาจึงรับมันไว้
“ในอนาคต จะต้องมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ” หลินชิงเหอกล่าว
ในตอนนี้พวกเขาไม่ได้รู้สึกเลยว่า ตนเองไม่ได้ทำอะไรหรือต้องการจะเริ่มต้นทำอะไรบางอย่างเลย พูดได้แค่เพียงว่าคนเราเป็นเช่นนี้ จิตใจของคนก็เป็นเช่นนี้
ตอนที่ยากจน ความสัมพันธ์จะแน่นแฟ้นมาก แต่เมื่อใดที่ร่ำรวยขึ้นมา ความสัมพันธ์ก็อาจจะเปราะบางได้
ตอนที่ขาดแคลนจะไม่รู้สึกทุกข์ทน ต่อเมื่อเกิดวลีที่เรียกว่าความไม่เท่าเทียมกันขึ้น พวกเขาจะเกิดความคิดขึ้นมาได้ง่ายว่า พวกเขาซึ่งอยู่ในฐานะที่ด้อยกว่าเป็นฝ่ายถูก และผู้อื่นจะต้องช่วยฉุดรั้งพวกเขาขึ้นมาเช่นกัน อีกทั้งไม่สามารถเพิกเฉยความคิดของพวกเขาได้อีกด้วย
“ไม่ต้องไปสนใจหรอกครับ” โจวชิงไป๋ไม่ใส่ใจ
ในความคิดของเขา นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย ถึงพี่สาวใหญ่ของเขาจะไม่พอใจแล้วจะเป็นอย่างไรล่ะ? มันไม่ได้มีผลอะไรเลยในเมื่อพวกเขาไม่ได้อาศัยอยู่ด้วยกัน
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ใช่ทุกอย่างที่จะสามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ ถ้าพวกเขาเข้าใจ ทั้งสองฝ่ายก็สามารถเข้าใจกันได้ แต่ถ้าไม่เข้าใจ ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อทั้งคู่เดินทางกลับไปถึงปักกิ่งแล้ว ก็ต้องตกใจอยู่นานเมื่อรู้ข่าวเรื่องสวี่เชิ่งเหม่ยตั้งครรภ์
……………………………………………………………………………………….