ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 427 อยากเรียนโรงเรียนภาคค่ำ
บทที่ 427 อยากเรียนโรงเรียนภาคค่ำ
สวี่เชิ่งเฉียงไม่ได้อยากมาเลยจริง ๆ แต่ไม่สามารถขัดพี่สาวของเขาได้ ท้ายที่สุดแล้วเขาจึงต้องมา
เห็นสองพี่น้องแวะมาที่ร้านแล้ว โจวชิงไป๋ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร แค่ถามพวกเขาว่าหิวหรือเปล่า
“คุณน้าไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ เรากินมาก่อนที่จะมาที่นี่แล้ว” สวี่เชิ่งเหม่ยยิ้มและเอ่ยถาม “หนูเพิ่งไปที่อะพาร์ตเมนต์มา น้าสะใภ้ไม่อยู่บ้านเหรอคะ?”
“อยู่มหาวิทยาลัยน่ะ” โจวชิงไป๋ตอบ
สวี่เชิ่งเหม่ยได้ยินแล้วก็พูดต่อ “คุณน้า เราจะไปเยี่ยมคุณตาคุณยายนะคะ”
“เอาเกี๊ยวพวกนี้ไปให้คุณยายด้วยสิ” โจวชิงไป๋พูดแล้วใส่เกี๊ยวไว้ในถุงกระดาษไขสองใบ
“ได้ค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยตอบ จากนั้นก็รับถุงเกี๊ยวไว้และเดินออกจากร้านเกี๊ยว
ระหว่างทางที่เดินไปบ้านของท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจว สวี่เชิ่งเหม่ยก็เอ่ยขึ้น “นายเป็นใบ้หรือไง? เห็นคุณน้าแล้วยังไม่รู้จักสวัสดีอีก?”
“คราวที่แล้วที่พี่แต่งงาน ผมอยากอยู่ที่นี่เลยไปขอคุณน้ามาอยู่ด้วย แต่เขาก็ไม่ยอม!” สวี่เชิ่งเฉียงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วก็แสดงท่าทางโกรธเคือง
คราวที่แล้วเขามาเมืองหลวงแล้วรู้สึกติดใจกับความเจริญรุ่งเรืองของที่นี่ จึงอยากจะอาศัยอยู่ที่นี่ด้วย เขาอยากอยู่ที่นี่จริง ๆ และสาบานว่าจะทำตัวว่านอนสอนง่าย แต่คุณน้าของเขาก็ปฏิเสธไม่ให้เขาอยู่!
“ไม่เอาน่า นายยังฝังใจกับเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ? นายรู้ไหมว่าตอนนี้คุณน้ามีร้านค้าทั้งหมดกี่ร้านแล้ว? นายไม่อยากสนิทชิดเชื้อกับเขาไว้เหรอ? ไม่ใช่ว่านายอยากให้เขาใกล้ชิดกับนายที่เป็นหลานชายงั้นเหรอ? นายมีความสามารถยิ่งใหญ่อะไรให้เขาชื่นชมนายบ้าง?” สวี่เชิ่งเหม่ยขบฟันกรอด
สวี่เชิ่งเฉียงตะลึงงันไปและถามกลับ “เขามีร้านทั้งหมดกี่ร้านกัน?”
“คราวที่แล้วที่ฉันไปหาคุณยาย ได้ยินว่าปีนี้มีร้านใหม่เปิดอีกหนึ่งร้าน รวมเป็นห้าร้านแล้ว!” สวี่เชิ่งเหม่ยตอบ
“มีร้านเยอะขนาดนั้นเชียว?” สวี่เชิ่งเฉียงเม้มปาก
สวี่เชิ่งเหม่ยยังกัดเขาไม่ปล่อยและเอ่ยต่อ “ถ้าเราไปที่นั่นแล้วนายไม่รู้จักวางท่าทางหยิ่งยะโสลงเมื่ออยู่ต่อหน้าทางบ้านคุณตาคุณยาย ต่อไปก็อย่าหวังให้ฉันปกป้องนายอีกเลย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นนายก็จัดการเอาเองแล้วกัน!”
สวี่เชิ่งเฉียงไม่เอ่ยคำ เขาไปที่บ้านของท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวก่อนจะทำตัวสุภาพอย่างว่าง่าย
เขายังเป็นหลานชายของพวกเขาอยู่ แม้ท่านพ่อโจวไม่เอ่ยอะไรมากนัก เขาก็ยังถามไถ่หลานชายว่าอยู่บ้านตระกูลจ้าวแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
ท่านแม่โจวรับเกี๊ยวมาและต้มเกี๊ยวสองชามให้พวกเขากิน หลังสวี่เชิ่งเหม่ยบอกว่าคนจำนวนมากพูดกันว่าน้องชายของหล่อนได้เข้าโรงงานเพราะเส้นสายครอบครัว นางก็เอ่ยขึ้น “ช่างตาบอดไม่ลืมหูลืมตาจริง ๆ มาตั้งไกลเพื่อไม่เห็นหัวคนอื่นแบบนี้เนี่ยนะ!”
“ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่อยากเข้าที่นั่นหรอกครับ คุณน้าผมอยู่ที่นี่แล้ว ผมจะไปที่นั่นเพื่ออะไร” ในที่สุดสวี่เชิ่งเฉียงก็รู้สึกมีหวังขึ้นมาและเอ่ยดังนี้
แต่นี่เป็นสิ่งที่อยู่ในใจของเขาเช่นกัน
ตระกูลจ้าวดูถูกเขาอยู่ตลอด ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้สักหน่อย แต่คุณน้าก็ไม่ให้เขามา เขาจะทำอะไรได้นอกจากต้องอยู่ที่นั่น?
“ใครขอให้เธอมาที่นี่กันล่ะ? เธอมีความสามารถขนาดไหนก็ดูจากสิ่งที่เธอทำ ถ้าเธอขยันทำงานในหมู่บ้านเธอจะทำได้แย่ไหม?” ท่านแม่โจวตอบ
นางรู้สึกปวดใจกับหลานชายนัก แต่บรรดาผู้ใหญ่ก็ไม่ให้เขามา เขายืนกรานจะมาเองแบบนี้แล้วเขาจะโทษใครได้?
“คุณยาย คุณยายไม่รู้หรอกว่าที่เมืองหลวงนี่ดีแค่ไหน ผมยังเด็กอยู่ก็ย่อมต้องหาโอกาสจากข้างนอก ดูหู่จือกับกังจือสิครับ ไม่ใช่ว่าพวกเขามาที่นี่กันทั้งคู่เหรอครับ?” สวี่เชิ่งเฉียงเอ่ย
“เอาล่ะ รีบ ๆ กินเกี๊ยวได้แล้ว” ท่านแม่โจวตัดบท
“หนูได้ยินมาจากคุณแม่ว่าคุณน้าของหนูเคยมาคุยด้วยและถามหล่อนว่ามีความสุขไหมหากได้มาที่นี่ด้วยน่ะค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยฝืนยิ้ม
“คุณน้าของเธอยุ่งไม่เข้าเรื่อง พ่อแม่ของเธอซื่อตรงเกินไป ให้พวกเขาอยู่ทำไร่ทำนาน่ะดีแล้ว พวกเขาจะทำธุรกิจอะไรได้ถ้ามาที่นี่เพื่อมาขายของ” ท่านแม่โจวตอบ
“หนูรู้ค่ะ คุณน้าพูดเรื่องนี้หลังจากได้ยินสิ่งที่หนูพูดในคราวนั้น หนูไม่ได้คิดดูให้ดีเอง” สวี่เชิ่งเหม่ยตอบ
ทั้งพ่อและแม่ของหล่อนเป็นชาวชนบทโดยแท้ พวกเขาคงจะทำให้ตัวเองขายหน้าหลังได้มาอยู่ที่นี่น่ะสิไม่ว่า หล่อนรู้สึกเข็ดแล้วจากงานฉลองวันแต่งงานครั้งก่อนที่พวกเขาเอาแต่พูดติดอ่าง
ตอนนี้หล่อนพาน้องชายมาเพื่อฝึกอบรมเขา ซึ่งนั่นก็พอแล้ว หล่อนจะกลายเป็นคนที่เขาต้องพึ่งพาในอนาคตเอง ส่วนพ่อแม่ของหล่อนน่ะเหรอ ให้พวกเขาเป็นอย่างนั้นไปตลอดชีวิตเถอะ
“เธอเห็นแค่น้าเล็กกับน้าเขยทำธุรกิจแล้วก็คิดว่าธุรกิจมันทำง่ายน่ะสิ แต่เธอไม่ได้คิดถึงวุฒิการศึกษาของพวกเขาเลย” ท่านแม่โจวชี้แจง
อีกแล้ว! เรื่องวุฒิการศึกษาอีกแล้ว!
เมื่อเป็นเรื่องของการศึกษา หล่อนที่เป็นลูกสะใภ้ของคนอื่นในตอนนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ สวี่เชิ่งเหม่ยจึงเสนอขึ้นมา “คุณยายคุยเรื่องนี้กับคุณน้าสะใภ้ได้ไหมคะ ว่าให้เขาไปเรียนโรงเรียนภาคค่ำด้วยได้หรือเปล่า? ตอนนี้เขาอยู่ที่นี่แล้วเขาก็ต้องเรียนรู้อะไรบ้างถูกไหมคะ?”
“ถ้าเธออยากเรียนรู้อะไรก็ไปคุยกับน้าสะใภ้เองสิ ยายไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย” ท่านแม่โจวตอบอย่างตรงไปตรงมา
สะใภ้สี่คงไม่ปล่อยผ่านเรื่องของหลานสาวกับจ้าวจวินแน่ เธอเป็นส่วนหนึ่งของวงการการศึกษา และหลานสาวที่เธอพามาก็ทำเรื่องงามหน้าแบบนี้ ท่านแม่โจวจึงรู้สึกว่าสะใภ้สี่คงจะตัดหางปล่อยวัดหล่อนไปแล้วโดยไม่ได้ดุด่าอะไรเลย
แม้แต่ลูกสาวคนโตของนางยังเป็นที่รังเกียจของเธอตอนที่หล่อนมาที่นี่ เห็นชัดว่าสะใภ้สี่ไม่อยากจะมีปฏิสัมพันธ์ใด ๆ กับพวกหล่อนอีกแล้ว
แม้ท่านแม่โจวจะรู้สึกว่าสะใภ้สี่เข้มงวดกวดขันเกินไป แต่จะโทษใครได้ล่ะ? ในเมื่อหลานสาวของนางทำตัวเองทั้งนั้น!
“คำพูดของคุณยายมีน้ำหนักมากกว่าน่ะค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยยืนกราน “ยิ่งกว่านั้นคุณน้าสะใภ้ยังให้พี่เอ้อร์นี หู่จือ แล้วก็กังจือไปเรียนด้วย ทำไมเฉียงจือจะไปไม่ได้ล่ะคะ?”
“มีอะไรเหรอ? น้าสะใภ้เป็นหนี้อะไรเธอ?” โจวเสี่ยวเหมยที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านได้พูดแทรกขึ้นมาในทันที
สวี่เชิ่งเหม่ยได้ยินแล้วก็เอ่ยตอบ “น้าเล็กเข้าใจผิดแล้วค่ะ หนูแค่อยากให้เฉียงจือได้เรียนมากกว่านี้หน่อย เขาจะได้ไม่เป็นแบบหนู…”
“เธอเป็นแบบนี้ก็เพราะตัวเธอขี้เกียจเอง อย่าพูดเหมือนตัวเองถูกกระทำสิ ตอนนั้นเป็นน้าสะใภ้ที่ส่งเธอเรียนโรงเรียนภาคค่ำ เป็นเธอนั่นแหละที่มานั่งดูทีวี คุณตา คุณยาย แล้วก็พวกเราอุตส่าห์กระตุ้นให้เธอเรียนหนังสือ แต่ตอนนั้นเธอก็คิดว่าเป็นเพราะพวกเราไม่อยากให้เธอดูทีวี” โจวเสี่ยวเหมยวางกระเป๋าลงและร่ายกลับ
“เรื่องพวกนั้นมันผ่านไปแล้ว หนูรู้ค่ะว่าหนูเคยเพิกเฉย แต่ตอนนี้เราคุยกันเรื่องเฉียงจือนะคะ” สวี่เชิ่งเหม่ยเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจในคำพูดคุณน้าเล็กของหล่อนมากนัก
“อย่ามาหาคุณยายเสียทุกเรื่องสิ ไปคุยกับน้าสะใภ้เองนู่น” โจวเสี่ยวเหมยไม่อยากเสวนากับหลานสาวคนนี้อีกและผละจากไป
“ก็ได้ค่ะ หนูจะไปคุยกับน้าสะใภ้เอง” สวี่เชิ่งเหม่ยตอบ
สวี่เชิ่งเฉียงย่นคิ้ว เขายั้งปากไว้ไม่ให้พูดอะไร แต่ทันทีที่ออกมาจากบ้านของคุณตาคุณยายเขาก็อดไม่ได้ที่จะพูด “พี่ ผมบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าจะไปโรงเรียนภาคค่ำอะไรนั่น? ทำไมพี่ไม่บอกคุณยายให้คุณน้าหาตำแหน่งงานให้ผมล่ะ? ผมไม่อยากอยู่บ้านตระกูลจ้าวแล้วนะ!”
“นายอยากจะมาทำงานกับคุณน้าเหรอ? นายต้องมีดีอะไรมาแสดงให้เขาดูนะ ไม่อย่างนั้นนายคิดว่าจะได้เข้าร้านของคุณน้าง่าย ๆ เหรอ?” สวี่เชิ่งเหม่ยตอกกลับ
“อย่าพูดเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ไปหน่อยเลย กังจือเองก็ไม่เอาไหนแต่ก็ยังได้ทำงานในร้านไม่ใช่เหรอ?” สวี่เชิ่งเฉียงแค่นเสียง
“ไม่ใช่ว่ากังจือตอนนี้ยอมไปเรียนโรงเรียนภาคค่ำอย่างว่าง่ายหรอกเหรอ?” สวี่เชิ่งเหม่ยพูด “พอเถอะ เรายังไม่รู้ว่าหล่อนจะสัญญาให้นายไปเรียนหรือเปล่า ไปหาคุณน้ากันก่อนเถอะ!”
……………………………………………………………………………………………………………………