ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 444 ความแตกต่างระหว่างการพึ่งพาตนเองและการพึ่งพาครอบครัว
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
- บทที่ 444 ความแตกต่างระหว่างการพึ่งพาตนเองและการพึ่งพาครอบครัว
ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 444 ความแตกต่างระหว่างการพึ่งพาตนเองและการพึ่งพาครอบครัว
บทที่ 444 ความแตกต่างระหว่างการพึ่งพาตนเองและการพึ่งพาครอบครัว
หลินชิงเหอไม่ได้แสดงความเห็นใด ๆ ออกมา เพราะการหวนกลับบ้านเกิดเช่นนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะกับสะใภ้สามและพี่ชายสามเท่านั้น
ชิงไป๋ของเธอเองก็เป็นเช่นกัน
เขายังคิดถึงการกลับไปอยู่ที่หมู่บ้านในยามที่เขาแก่ชราลง หลินชิงเหอยินดีที่จะทำให้เขาพอใจ ดังนั้นต่อไปในอนาคตพวกเขาจะกลับไปที่หมู่บ้านเพื่อสร้างอะพาร์ตเมนต์ แต่ในตอนนี้บ้านที่สร้างจากอิฐกำลังเป็นที่นิยม ฉะนั้นตอนนี้ก็จงลืมมันไปเสียก่อน
สะใภ้สามถามถึงสุขภาพของท่านพ่อโจวและท่านแม่โจว หลินชิงเหอจึงตอบไปว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ พวกท่านสบายดี”
“เชิ่งเหม่ยเป็นยังไงบ้าง? พี่เห็นหล่อนพาเชิ่งเฉียงไปที่นั่นด้วย” สะใภ้สามถามต่อ
สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองมีความใกล้ชิดสนิทสนมดีกับพี่สาวใหญ่ ตั้งแต่ตอนที่พวกหล่อนแต่งงานเข้ามาในปีแรก ๆ ส่วนหลินชิงเหอและสะใภ้สามแต่งเข้ามาในบ้านทีหลัง ดังนั้นความสัมพันธ์ที่มีระหว่างกันจึงเป็นไปแบบธรรมดา
“ฉันไม่รู้จะพูดยังไงดีน่ะค่ะ พูดว่าดีมันก็ไม่ดี พูดว่าแย่มันก็ไม่ได้แย่ ส่วนสวี่เชิ่งเฉียง ฉันได้ยินมาว่าหลังจากที่ไปถึงได้ไม่นาน เขาก็ไปทำร้ายร่างกายคนอื่นจนต้องเข้าโรงพยาบาล เพราะคนนั้นเอาเขาไปพูดว่าเขาใช้เส้นสายทางญาติในการเข้าทำงานน่ะค่ะ” หลินชิงเหออธิบาย
“ไปทำร้ายคนอื่นตอนที่อยู่ที่นั่น แถมยังต้องเข้าโรงพยาบาลอีกอย่างนั้นเหรอ?” สะใภ้สามตาถลน
“พักใหญ่แล้วละค่ะ เรื่องจบลงไปแล้ว ตอนนี้เขากำลังเรียนภาคค่ำอยู่ที่โรงเรียนเดียวกับเอ้อร์นี หู่จือและกังจือ แต่เขาจะมีผลการเรียนดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองแล้วค่ะ” หลินชิงเหอพูด
“นิสัยอย่างเขา พี่หวังว่าเขาจะไม่ไปก่อเรื่องจนทำให้เอ้อร์นีและคนอื่นต้องพลอยติดร่างแหไปด้วยหรอกนะ” สะใภ้สามอดพูดขึ้นมาไม่ได้
“คุณน้าสี่ของเขาเป็นคนลงชื่อรับรองให้เข้าเรียน ถ้าเกิดอะไรขึ้น เขาจะต้องรับผิดชอบ ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของบ้านตระกูลสวี่อีกแล้วล่ะค่ะ” หลินชิงเหอกล่าว
“จะว่าไปแล้วพี่สาวใหญ่ก็ไม่ได้เลวร้ายนะ แต่หล่อนสอนลูกแต่ละคนยังไงไม่รู้ถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้” สีหน้าของสะใภ้สามดูย่ำแย่ หล่อนรู้เรื่องราวลึก ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งหลินชิงเหอไม่ได้ปิดบังอะไรในการเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้พี่สะใภ้ทั้งสองฟังทางโทรศัพท์
“ไม่คุยถึงเรื่องนี้กันดีกว่าค่ะ ปีหน้าได้เวลาดื่มสุรามงคลของเอ้อร์นีแล้วนะคะ” หลินชิงเหอเปลี่ยนเรื่องคุย
“เอ้อร์นีหรือ?” สะใภ้สามอึ้งไป จากนั้นหล่อนก็พูดว่า “พี่สะใภ้ใหญ่หาคู่หมายให้เอ้อร์นีได้แล้วหรือ? พี่ไม่เห็นได้ยินหล่อนบอกเรื่องนี้เลย”
“เขาเป็นคนปักกิ่งน่ะค่ะ” หลินชิงเหอยิ้ม “ปีใหม่ปีนี้ เอ้อร์นีจะพาหวังหยวนกลับมาที่นี่”
“คนปักกิ่งเหรอ? เขาไว้ใจได้ใช่ไหมจ๊ะ?” สะใภ้สามประหลาดใจและถามขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ชิงไป๋ ฉัน คุณพ่อคุณแม่และคนอื่นได้เจอเขากันแล้วละค่ะ ฉะนั้น เขาเป็นคนที่ไว้ใจได้ไหมล่ะคะ?” หลินชิงเหอยิ้ม
สะใภ้สามลังเล “พี่แค่กลัวว่าเขาจะไม่ชอบชนบทของเราน่ะจ้ะ”
สะใภ้สามรู้เรื่องเกี่ยวกับตอนที่สวี่เชิ่งเหม่ยพาจ้าวจวินกลับมา จ้าวจวินนั้นแสดงความรังเกียจครอบครัวตระกูลสวี่มาก เล่ากันว่าเขาไม่อยากกินอาหารที่บ้านครอบครัวสวี่แม้แต่คำเดียว เพราะกลัวว่ามันจะไม่สะอาด
ต้องบอกว่าครอบครัวตระกูลสวี่ยกย่องลูกเขยจากเมืองหลวงคนนี้ไว้บนหิ้งเลยทีเดียว
“ฉันรู้มาว่าเอ้อร์นีไม่ได้ตกลงใจจะคบหาในตอนแรก แต่เป็นเพราะตัวเขาเองที่มาชอบเอ้อร์นีและตามจีบหล่อนค่ะ” หลินชิงเหออธิบาย
สะใภ้สามรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่เธอก็ยังคงพูดว่า “พี่สาวใหญ่คงต้องว่าเธอลำเอียงแน่”
“ตลอดชีวิตของฉัน ตราบใดที่ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดต่อมโนธรรมของตัวเองแล้ว ฉันก็ไม่สนใจหรอกค่ะ ฉันโดนนินทามาจนชินแล้วล่ะค่ะ” หลินชิงเหอตอบน้ำเสียงราบเรียบ
เธอเข้าใจดีว่าสะใภ้สามหมายถึงอะไร โจวเอ้อร์นีถูกแนะนำให้รู้จักกับชายหนุ่มที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้น ในขณะที่สวี่เชิ่งเหม่ยทำได้เพียงแค่หาคู่ด้วยตนเอง นี่เป็นสิ่งที่แตกต่างกันมาก
หลินชิงเหอไม่ได้รู้สึกผิดหรือใส่ใจกับเรื่องนี้เลย ใครอยากจะกล่าวโทษเธอก็ปล่อยให้ทำไป
สะใภ้สามพูดขึ้นว่า “จะมาหาว่าเธอลำเอียงก็ไม่ใช่เรื่อง เธอไม่ได้พูดว่าจะไม่แนะนำใครให้เชิ่งเหม่ยเสียหน่อย แต่เป็นหล่อนเองที่ทนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้และอยากจะออกไปหาคู่ด้วยตัวเอง”
หล่อนเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลินชิงเหอ แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ หล่อนคิดว่าหลินชิงเหอเป็นน้องสะใภ้ที่ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ
เธอเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา และไม่เคยมีเล่ห์เหลี่ยมกับผู้อื่น ถ้ามีหนึ่งเธอก็จะบอกว่าหนึ่ง หากมีปัญหาอะไร ก็แค่พูดกับเธอตรง ๆ เธอจะไม่เก็บอะไรไว้ภายในใจ
การได้คบหากับคนแบบนี้เป็นสิ่งที่ดีมาก ไม่ต้องมากังวลว่าจะโดนแทงข้างหลัง
หลินชิงเหอบอกตามความจริง “ถึงหล่อนจะไม่หาคู่เอาเอง ฉันก็คงจะไม่แนะนำชายหนุ่มแบบนี้ให้กับหล่อนหรอกค่ะ คนของเอ้อร์นี ฉันก็ไม่ได้เป็นคนแนะนำให้ แต่เป็นเพราะตัวเอ้อร์นีเองที่ขยันและกระตือรือร้นในการเรียนรู้งาน หล่อนไปทำงานเป็นนักบัญชีที่โรงงานนั้นจนเกิดสะดุดตาเขาเข้าและชอบหล่อนขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงเริ่มตามจีบเอ้อร์นีเอง แล้วก็ในตอนนั้นฉันเคยเสนอที่จะจ่ายค่าเรียนให้กับสวี่เชิ่งเหม่ยด้วย แต่หล่อนไม่อยากจะเรียนเอง”
เมื่อพูดอย่างนั้นแล้ว เธอก็กล่าวต่อ “หล่อนน่าจะนึกเสียใจอยู่ในตอนนี้ ก็เลยเป็นเหตุผลที่หล่อนพาน้องชายไปหาคุณน้าสี่เพื่อขอให้ส่งเขาไปเรียนน่ะค่ะ”
สะใภ้สามถามว่าคนรักของโจวเอ้อร์นีทำอาชีพอะไร เมื่อได้รู้ว่าเขาเป็นเถ้าแก่หนุ่มที่เปิดโรงงานเป็นของตนเอง หล่อนก็รู้สึกประหลาดใจมาก “ร่ำรวยมากกว่าคนที่แต่งงานกับเชิ่งเหม่ยอีกหรือจ๊ะ?” สะใภ้สามถาม
“เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้หรอกค่ะ แต่หวังหยวนพึ่งพาตนเอง ในขณะที่จ้าวจวินต้องพึ่งพาครอบครัว นี่จึงเป็นเรื่องที่แตกต่างกัน” หลินชิงเหอตอบ
เห็นได้ชัดว่าหวังหยวนเป็นคนที่มีอนาคตไกลมากกว่าจ้าวจวิน และสิ่งสำคัญก็คือเขามั่นคงและรักเอ้อร์นีจากใจจริง
หลินชิงเหอนั่งคุยที่นี่อยู่เป็นเวลานาน โจวชิงไป๋และพี่ชายสามก็ยังไม่กลับมา พวกเขายังฝึกขี่มอเตอร์ไซค์กันอยู่ข้างนอก ดังนั้นหลินชิงเหอจึงได้ไปหาน้องชายสามตระกูลหลินด้วยตัวเอง
น้องชายสามตระกูลหลินกำลังเชือดไก่อยู่ในร้าน ในขณะที่น้องสะใภ้สามตระกูลหลินกำลังบรรจุไข่ให้กับลูกค้าอยู่
“พี่สาวสาม” เมื่อเห็นเธอ สะใภ้สามตระกูลหลินก็มีสีหน้าดีใจและส่งเสียงทักทายออกมา
น้องชายสามตระกูลหลินได้ยินก็หันมา เมื่อเห็นว่าเป็นพี่สาวของเขาจริง ๆ ก็รู้สึกประหลาดใจ “พี่ มายังไงครับ? แล้วพี่เขยอยู่ที่ไหนครับ?”
“พี่เขยนายอยู่ที่ร้านทางโน้น เดี๋ยวเขาก็ตามมา” หลินชิงเหอตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
แล้วก็เหมือนเดิม นมผง 2 กระป๋องกับลูกอมและของอื่นที่คล้ายกัน เป็นเช่นเดียวกับการกลับมาเยี่ยมในครั้งก่อน ๆ ของทุกปี
“เร็วเข้า ไปเอาม้านั่งมาให้ป้าสามของลูกเร็ว” สะใภ้สามตระกูลหลินสั่ง
ลูกสาวคนโตของน้องชายตระกูลหลินชื่อ หลินซิ่ว ซึ่งโตเป็นสาวแล้ว ตอนนี้หล่อนเรียบจบชั้นประถมศึกษาและกำลังจะเข้าเรียนในระดับมัธยมตอนต้นในเทอมหน้า
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ นับว่านี่เป็นอิทธิพลที่ได้มาจากหลินชิงเหอ ดังนั้นน้องชายสามตระกูลหลินจึงให้ความสำคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมาก
ลูกของเขา 3 คนแรกเป็นลูกสาวทั้งหมด เพราะเหตุนี้ สะใภ้สามตระกูลหลินถึงได้ต้องทนทุกข์ ตอนนี้ลูกสาวทั้ง 3 คนโตกันหมดแล้ว พวกหล่อนกำลังเรียนหนังสือกันอยู่ทุกคน ไม่มีใครถูกละเลยไป
ดูจากความตั้งใจของคนทั้งคู่แล้ว ตราบใดที่ลูก ๆ สามารถสอบผ่านได้ ทั้งคู่จะส่งเสียให้พวกเขาได้ร่ำเรียนกันต่อไป!
พวกเขาก็เป็นคนที่มีความคิดก้าวหน้าเช่นกัน
หลินชิงเหอถามว่า “ผลการเรียนของอาซิ่วเป็นยังไงบ้างจ้ะ?”
“ปานกลางค่ะ” หลินซิ่วตอบพลางถอนหายใจหดหู่
หล่อนรู้สึกว่าตนเองเรียนหนักมาก แต่พอเป็นเรื่องของผลการเรียนแล้ว ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง ไม่ดีมากนัก
“ตอนนี้หนูโตแล้ว ถ้ามีเวลา หนูอยากจะไปเที่ยวปักกิ่งดูไหมจ๊ะ? หนูจะได้ให้ญาติผู้พี่ช่วยสอนพิเศษเพิ่มเติมให้” หลินชิงเหอแนะนำอย่างใจดี
“หนูไปได้หรือคะ?” หลินซิ่วตาเป็นประกาย
“ถ้าพ่อแม่ของหนูอนุญาต หนูก็ไปได้จ้ะ” หลินชิงเหอพยักหน้ายิ้ม
“ไปที่นั่นแล้ว หล่อนจะไปสร้างปัญหาให้น่ะสิคะ” สะใภ้สามตระกูลหลินรีบขัดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“หล่อนไม่สร้างปัญหาหรอกจ้ะ เป็นเรื่องดีสำหรับเด็กในวัยนี้ที่จะได้ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา”
“ตอนนี้หล่อนเพิ่งอายุเท่าไหร่เองคะ? เอาไว้เมื่อมีโอกาส ค่อยให้หล่อนไปทีหลังเถอะค่ะ” สะใภ้สามตระกูลหลินยิ้ม
หลินชิงเหอเห็นท่าทางที่ผิดหวังของหลินซิ่วจึงเอ่ยว่า “แม่ของหนูพูดถูก ตอนนี้หนูยังเด็กไปหน่อย ตั้งใจเรียนให้ดีนะ พอหนูอายุ 15-16 ปีแล้วค่อยไปปักกิ่งตอนนั้นก็ได้”