ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 449 ทำงานหนักในทุ่งนา
ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 449 ทำงานหนักในทุ่งนา
บทที่ 449 ทำงานหนักในทุ่งนา
“ชิงไป๋คะ คุณไปหาพี่ใหญ่ก่อนเถอะค่ะ อีกเดี๋ยวฉันค่อยตามไปพร้อมกับพี่สะใภ้ใหญ่” หลินชิงเหอหันไปบอกกับโจวชิงไป๋
“ตกลงครับ” โจวชิงไป๋ถือเหล้าออกไปหาพี่ชายใหญ่ของตน
“พี่สะใภ้ใหญ่ ทางซานนีเป็นยังไงบ้างคะ? หล่อนได้กลับมาบ้างหรือเปล่า?” หลินชิงเหอถาม
“กลับมาครั้งหนึ่งจ้ะ ปีนี้เกิดภัยพิบัติ ทางนั้นก็คงได้รับผลกระทบมากเหมือนกัน” สะใภ้ใหญ่ตอบ
“ฉันได้ยินจากพี่สะใภ้สามว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้ซานนีก็ยังไม่ตั้งท้องเสียที และประจำเดือนหล่อนมาทุก 10 วันเลยละค่ะ” หลินชิงเหอซึ่งรู้ว่าสะใภ้ใหญ่ยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับโจวซานนีเอ่ยขึ้น
สะใภ้ใหญ่อึ้งงันไป “มาทุก ๆ 10 วันงั้นหรือ? นี่ไม่ปกติแล้วนะ!”
“และยังไม่ตั้งท้องด้วยค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า
สะใภ้ใหญ่ตกตะลึง “ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ล่ะจ๊ะ?”
หลินชิงเหอสั่นศีรษะ สะใภ้ใหญ่เริ่มวิตก “จะทำยังไงดี? ถ้าหล่อนไม่ได้รับการรักษา จะส่งผลเสียต่อร่างกายนะ!”
“ฉันกับชิงไป๋จะหาเวลาไปหาหล่อนที่นั่นค่ะ และถ้าหล่อนกับหลี่อ้ายกั๋วเต็มใจ ฉันก็จะพาพวกเขาไปปักกิ่งด้วย จะให้ไปดูแลร้านให้ฉัน” หลินชิงเหอบอก
“พาพวกเขาไปด้วยเหมือนกันเหรอ มีร้านให้ดูแลหลายร้านเลยหรือจ๊ะ?” สะใภ้ใหญ่ตกใจ
“ฉันวางแผนไว้ว่าจะเปิดร้านขายอาหารทะเลแห้งอีกร้านหนึ่งค่ะ เลยจะให้พวกเขาไปดูแลร้านนี้ แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะตกลงหรือเปล่านะคะ” หลินชิงเหอพูด
“แน่นอนสิจ๊ะ พวกเขาจะต้องตกลงไปด้วยแน่ ได้ไปที่ปักกิ่ง โรงพยาบาลที่นั่นดีกว่าที่นี่ มีเธอกับน้องสี่อยู่ที่นั่นด้วย ทำไมพวกเขาถึงจะไม่ยอมไปล่ะ?” สะใภ้ใหญ่ตอบ
หลินชิงเหอพยักหน้า
สะใภ้ใหญ่มองออกไปด้านนอก ก่อนจะลดเสียงพูดลง “ยัยเด็กลิ่วนีนั่น เธออย่ายอมให้หล่อนไปด้วยนะจ๊ะ ถึงหล่อนมาโวยวายก็ไม่ต้องไปสนใจ”
“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?” ไม่จำเป็นต้องบอกเลยว่า หลินชิงเหอไม่เคยให้ความสำคัญกับโจวลิ่วนีเลย ตั้งแต่แรกแล้วที่เธอคิดว่าหลานสาวคนนี้เกินจะเยียวยา แต่เธอก็ยังถามถึงหล่อน
“เธอไม่รู้อะไร เด็กคนนี้กลายเป็นพวกเด็กใจแตกไปแล้วล่ะ” สะใภ้ใหญ่ถอนใจ
เมื่อพูดถึงเรื่องของโจวลิ่วนี แม้ว่าในตระกูล โจวลิ่วนีจะอยู่ในลำดับต่อจากโจวอู่นี แต่หล่อนก็อายุน้อยกว่าญาติผู้พี่ผู้นี้เพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น
ปีนี้หล่อนอายุได้ 17 ปี กลายเป็นหญิงสาวเต็มตัวแล้ว แต่หล่อนกลับไม่สำรวมตัวเลย
หล่อนจะไปมั่วสุมอยู่กับพวกอันธพาลเหล่านั้นที่อยู่ทั้งข้างในและข้างนอกหมู่บ้าน สะใภ้ใหญ่ไม่สามารถพูดกับสะใภ้รองได้ หล่อนจึงไปบอกกับพี่ชายใหญ่แทน เหมือนดังเช่นที่ผ่านมาเป็นส่วนใหญ่คือ ให้เขาไปบอกกับพี่ชายรองให้ทราบเรื่องเพื่อจะได้ตักเตือนสั่งสอนหล่อน
ซึ่งพี่ชายรองก็ทำอย่างนั้น แต่โจวลิ่วนีก็ยังคงประพฤติตัวเช่นเดิมไม่เปลี่ยน
“พี่ได้ยินว่าหล่อนไปแอบซ่อนตัวอยู่ในทุ่งนาอยู่กับใครบางคนด้วยจ้ะ” สะใภ้ใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ
สีหน้าของหลินชิงเหอไม่เปลี่ยนเมื่อกล่าวว่า “เด็กคนนี้ถูกพี่สะใภ้รองเลี้ยงให้เสียคนไปแล้วล่ะค่ะ”
ในอดีตที่เธอยืนหยัดในเรื่องที่ไม่ยอมให้โจวลิ่วนีไปปักกิ่ง ไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าหลานสาวคนนี้แย่หรอกหรือ? หล่อนนิสัยเสียจนไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว
มีแค่สวี่เชิ่งเหม่ยคนเดียวเท่านั้นที่เธอพลาดไป นั่นเป็นเพราะในเวลานั้นเธอไม่รู้จักหล่อนดีพอ
ทว่าในชีวิตนี้มีใครไม่เคยทำผิดพลาดบ้าง?
อย่างไรก็ตามเธอไม่สามารถไปยับยั้งผู้อื่นไม่ให้ไปปักกิ่งด้วยเพียงเพราะเธอทำพลาดไปในเรื่องของสวี่เชิ่งเหม่ย คนอื่น ๆ ที่ดีก็ยังมีอยู่ แล้วทำไมเธอไม่พาพวกเขาไปด้วยเล่า?
ครอบครัวของเธอไปอยู่ที่ปักกิ่ง แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไฟแรงและก้าวหน้าขึ้น แต่รากฐานของครอบครัวเธอยังอ่อนแออยู่มาก
ไม่ได้มั่นคงเหมือนกับคนปักกิ่งซึ่งอยู่ที่นั่นกันมาหลายชั่วอายุคนและมีญาติพี่น้องมากมายอยู่ที่นั่น ญาติของครอบครัวเธอที่อยู่ที่นั่นเป็นแบบไหนกันเล่า?
แม้ว่ามันจะไม่ได้ก่อปัญหาอะไร แต่เธอต้องทำให้ผู้อื่นเข้าใจให้ชัดเจนว่า ครอบครัวของเธอมีร้านค้าทั้งหมดอยู่กี่ร้าน? การพาคนไปอยู่ที่นั่นมากขึ้น ก็เพื่อทำให้เหล่าเพื่อนบ้านได้จดจำถึงเรื่องนี้เอาไว้ในใจ
ก่อนจะมาทำธุรกิจ หลินชิงเหอไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แต่เธอมาเข้าใจมันได้ในภายหลังว่าหากจะต้องระแวดระวังกับเด็กรุ่นหลังที่จะพาไปเรียนรู้ในปักกิ่งเพราะเรื่องของสวี่เชิ่งเหม่ยแล้ว ก็เท่ากับเป็นการให้ความสำคัญกับอิทธิพลของสวี่เชิงเหม่ยมากเกินไป
ตราบใดที่เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี หลินชินเหอก็เต็มใจที่จะฝึกสอนพวกเขาเหล่านั้น ส่วนเรื่องที่พวกเขาจะไปได้ไกลขนาดไหน นั่นขึ้นอยู่กับตัวของพวกเขาเอง
หลินชิงเหอรู้สึกว่า นี่เป็นสิ่งที่เธอสามารถทำได้
สำหรับโจวลิ่วนี หล่อนไม่สามารถขัดเกลาได้แล้ว หลานสาวคนนี้เป็นคนไร้ประโยชน์ เธอจะไม่มีวันดูแลหล่อนเป็นอันขาด
“พี่แค่กังวลว่าตอนที่เธอพาซานนีไปที่นั่น หล่อนจะตามไปด้วยน่ะจ้ะ” สะใภ้ใหญ่พูดออกมา
“ในเมื่อฉันสามารถส่งหล่อนกลับมาได้ครั้งหนึ่งแล้ว ฉันก็สามารถทำให้หล่อนกลับมาอีกเป็นครั้งที่ 2 ได้ค่ะ แต่ซานนีแต่งงานออกไปแล้ว แม้แต่แม่ของหล่อนก็ไม่กล้าเข้ามายุ่งกับหล่อนอีกแล้วล่ะค่ะ” หลินชิงเหอไม่สนใจ
พวกเขาจำเป็นจะต้องลังเลใจเพราะโจวลิ่วนีด้วยงั้นหรือ? แน่นอนว่าไม่!
เหตุผลที่ผู้คนทั้งหลายต้องการร่ำรวยและปีนขึ้นสูงก็เพราะว่า เมื่อก้าวขึ้นไปถึงจุดหนึ่งแล้ว พวกเขาจะพบว่าผู้คนทั้งหลายและเรื่องต่าง ๆ มากมายไม่สามารถจะส่งผลกระทบอะไรต่อพวกเขาได้เลยแม้แต่น้อย
สะใภ้ใหญ่พยักหน้า “ก็ถูกนะจ้ะ ซานนีเหลืออดกับหล่อนอยู่เหมือนกัน คงไม่ยอมให้หล่อนไปด้วยหรอก”
หลินชิงเหอไปที่บ้านสายหลักกับพี่สะใภ้ใหญ่ พี่ชายรองก็อยู่ที่นั่นด้วย พี่ชายใหญ่บอกให้โจวซื่อนีไปตามเขามาด้วย พวกพี่น้องมักจะกินอาหารร่วมกันเสมอ
“พี่รองมาด้วยเหรอคะ” หลินชิงเหอทักทาย
“น้องสะใภ้สี่ยังเหมือนเดิมอยู่เลย ดูไม่แก่ขึ้นเลยสักนิด” พี่ชายรองกล่าว
“คนที่สอนหนังสือนักศึกษามหาวิทยาลัย จะแก่ขึ้นได้ยังไงกันล่ะจ้ะ?” สะใภ้ใหญ่เอ่ยขบขัน
“ฉันไม่แก่ขึ้นหรอกค่ะ แต่ตอนที่ตื่นนอนขึ้นมากลับผมร่วงทุกวัน” หลินชิงเหอกล่าวอย่างติดตลก
“นั่นก็เป็นได้นะ เพราะต้องใช้สมองค่อนข้างเยอะ” พี่ชายรองตอบ
เธอต้องสอนหนังสือนักศึกษา เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้ว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องที่ง่ายดายหรือเรื่องธรรมดาเลย
หลินชิงเหอยิ้มไม่ได้พูดอะไร สะใภ้ใหญ่เริ่มทำอาหาร หลินชิงเหอจะไปช่วยหล่อน แต่ห้องครัวมีขนาดเล็กมาก มีแค่สะใภ้ใหญ่และโจวซื่อนีก็เพียงพอแล้ว
พี่ชายใหญ่และพี่ชายรองกำลังฟังโจวชิงไป๋เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในเมืองหลวง
สีหน้าของพี่ชายรองแสดงอาการโหยหาออกมา
หลินชิงเหอแค่มองก็รู้ทันทีว่าพี่ชายรองอยากไปปักกิ่ง ถ้าสามารถเป็นเจ้าภาพรับรองเขาได้ หลินชิงเหอก็ไม่รังเกียจที่จะเป็นเจ้าภาพให้
แต่เพราะความสัมพันธ์เลวร้ายที่เธอมีกับสะใภ้รอง และยังมีโจวลิ่วนีอีกคน หลินชิงเหอจึงไม่ได้เอ่ยปากออกมา
ผู้ที่เธอสามารถรับเป็นเจ้าภาพให้ได้ เธอก็จะเป็นให้ แต่ผู้ที่ไม่ควรจะรับ เธอก็จะไม่สร้างปัญหาให้กับตนเองหรอก
อย่างไรก็ตาม พี่ชายรองพูดขึ้นว่า “ฉันก็อยากจะไปเปิดร้านในเมืองแบบอาสามบ้างนะ”
“ทำไมพี่ไม่ไปละครับ” โจวชิงไป๋ถาม
“พี่สะใภ้รองของนายไม่เห็นด้วย หล่อนบอกให้ฉันตั้งใจทำงานหนักในทุ่งนาของที่บ้าน อย่าไปวุ่นวายกับเรื่องไร้สาระ” พี่ชายรองถอนใจออกมา
เขาถามอาสามแล้ว อาสามบอกว่าเขาก็สามารถทำได้ และอาสามยังเต็มใจจะให้เขายืมเงินเพื่อให้เขาสามารถเริ่มต้นทำมันได้
ทว่าภรรยาของเขาไม่ยอมให้เขาทำ แล้วเขาจะเปิดร้านด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร? คนคนเดียวไม่สามารถจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้หมด
ฉะนั้น ถึงแม้เขามีใจอยากทำ ก็ได้แต่ต้องปล่อยผ่านไป
“พี่สามกำลังไปได้ดีที่ในเมือง ปีนี้เขาตั้งใจจะเลียนแบบพี่ใหญ่กลับมาสร้างบ้านอิฐที่หมู่บ้านด้วยครับ” โจวชิงไป๋พูด
“อาสามจะกลับมาสร้างบ้านอิฐที่หมู่บ้านอย่างนั้นหรือ?” พี่ชายรองประหลาดใจ
“ใช่ครับ” โจวชิงไป๋ตอบ
พี่ชายรองอดที่จะถอนหายใจออกมาอีกครั้งไม่ได้ เขาเคยถามอาสามมาก่อน อาสามบอกว่าการทำธุรกิจนั้นดีมาก ไม่มีทางที่จะแย่ไปได้ สรุปได้ว่า ยังไงก็จะไม่แย่ไปกว่าการทำงานในทุ่งนา
แต่ภรรยาของเขากลับปฏิเสธ
หลินชิงเหอไม่ได้พูดอะไรมากนักในเรื่องนี้ เนื่องจากอาจทำให้ผู้อื่นคิดว่าเธอกำลังหว่านเมล็ดพันธุ์ความบาดหมางระหว่างความสัมพันธ์ของสามีภรรยาได้
แต่ถ้าสำหรับคนที่เป็นพี่น้องกันนั้นไม่เป็นไร ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องการพูดแทรก
……………………………………………………………………………………