ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 452 ชอบอีกฝ่าย
บทที่ 452 ชอบอีกฝ่าย
ที่บ้านของโจวต้ง เขาและไฉ่ปาเม่ยเลี้ยงต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น ทั้งแขกรับเชิญและเจ้าภาพ รวมถึงคุณป้าไฉ่ ต่างก็มีมื้ออาหารที่ยอดเยี่ยมร่วมกัน
สำหรับความก้าวหน้าในปัจจุบันของโจวต้ง ถือว่าเขาประสบความสำเร็จมากทีเดียว
ภัยธรรมชาติปีนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบจ่อโจวต้งมากนัก
พืชผลในที่ดินเสียหายไปหมด แต่เขาเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวเช่นกัน เขาจดจำคำพูดของหลินชิงเหอถึงเรื่องโรคระบาดในไก่และสิ่งที่คล้ายกันว่ามักจะเกิดขึ้นหลังจากฝนที่ตกหนักได้
ดังนั้น พอฝนตกลงมาอย่างหนัก เขาก็ติดต่อน้องชายสามตระกูลหลินและขายไก่ที่เขามีทั้งหมดหลายร้อยตัวออกไป
ทางเขาช่วยเชือดพวกมัน และเมื่อเสร็จแล้ว เขาก็ตามน้องชายสามตระกูลหลินให้ขี่รถมารับไปขาย พวกมันถูกเชือดในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกตัว
ดังนั้น ไก่ทั้งหมดที่เขามีจึงถูกกำจัดออกไปในระหว่างที่ฝนตกหนัก แม้ตอนที่ขายพวกมันไปหมดแล้วจะไม่มีรายได้เข้ามาเลย แต่การฆ่าเชื้อโรคในโรงเลี้ยงไก่เป็นเรื่องที่ทำได้ดีมาก จึงไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในทางตรงกันข้าม มีครอบครัวในหมู่บ้านครอบครัวหนึ่งที่ต้องประสบกับโรคระบาดในไก่ และไก่ของพวกเขาก็ตายไปทั้งหมด ไก่ประเภทนี้ไม่สามารถนำมากินได้ ทำได้แค่ขุดหลุมฝังพวกมัน ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเรียกได้ว่าขั้นหายนะเลยทีเดียว
ตอนนี้ โรงเลี้ยงไก่มีไก่ตัวใหม่มาแล้ว พวกมันยังตัวไม่โต แต่ก็ไม่ใช่ว่าปีนี้พวกเขาจะไม่มีรายได้เข้ามาเลย เงินสามารถหาเข้ามาได้ตลอดเวลานั่นล่ะ
“อาสะใภ้ครับ ผมคิดแผนเอาไว้อีกอย่างด้วยครับ” โจวต้งพูดกับหลินชิงเหอ
“แผนอะไรจ๊ะ?” หลินชิงเหอถาม
“ผมอยากจะล้อมรั้วกั้นที่ดินของผมทั้งหมดเพื่อใช้เป็นที่เลี้ยงไก่น่ะครับ” โจวต้งกล่าว
หลินชิงเหอยิ้มกว้างขึ้น เมื่อได้ยินคำพูดนี้ “เป็นความคิดที่ไม่เลวเลยจ้ะ ตอนนี้ที่ดินยังไม่สามารถซื้อหรือขายได้ แต่ถ้าเธอสามารถซื้อได้ ก็ซื้อมาแล้วก็สร้างเป็นโรงเรือนเลี้ยงไก่ขนาดใหญ่เลยนะ”
“การซื้อที่ดินไม่สามารถจะทำได้ง่าย ๆ” เมื่อได้ยินเช่นนี้ คุณป้าไฉ่ก็รีบพูดขึ้น
การจัดสรรที่ดินเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าซื้อมาแล้ว วันหนึ่งในอนาคต เกิดเหตุการณ์การต่อสู้กับเจ้าของที่ดินขึ้นอีก แล้วจะทำอย่างไร?
หลินชิงเหอยิ้มและไม่ได้พูดอะไรออกมามากนัก หล่อนแค่บอกกับโจวต้ง “ถ้าเธออยากจะทำ ก็ทำเลย ถ้าเธอทำเองไม่ไหว จ้างคนมาทำงานสัก 2 คนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ธุรกิจก็ยังทำกำไรได้อยู่”
“ครับ!” โจวต้งพยักหน้า
“จริง ๆ หลังบ้านก็ยังมีที่ดินอีกเยอะทีเดียว” คุณป้าไฉ่พูดขึ้นมาอย่างลังเล “อีกอย่าง เลี้ยงไก่มากขนาดนั้น ในอนาคตจะขายไข่ที่ไหน? แค่ร้านของอากับน้าของเจ้าใหญ่ 2 ร้านรับซื้อได้ไม่หมดหรอก”
“โดยทั่วไปแล้วมันขายได้ค่ะ ขึ้นอยู่กับราคา ถ้ามีคนมาซื้อไข่ 5 ชั่งแล้วได้ไข่ฟรี 2 ฟอง ฉันคาดว่า ไม่ว่าจะมีไข่มากแค่ไหน ก็ขายหมดค่ะ” หลินชิงเหอยิ้มกล่าวอย่างมั่นใจ
“วิธีนี้เยี่ยมไปเลยค่ะ” ไฉ่ปาเม่ยหัวเราะ
ไฉ่ปาเม่ยเคยเป็นคนที่มีนิสัยเงียบมาก แต่ตอนนี้หล่อนเป็นคนเปิดเผยและใจกว้างมากขึ้น
“ไข่เค็มก็ดีเหมือนกันนะ” โจวชิงไป๋ซึ่งกินเสร็จแล้ว ช่วยออกความเห็น
“ใช่แล้วค่ะ ทั้งหมดนี้เป็นทางเลือก เธอยังสามารถไปติดต่อคนอื่น และถามพวกเขาว่าสนใจจะมารับซื้อสินค้าจากเธอหรือไม่ แต่แน่นอนว่า หลักการก็คือเธอต้องมีมาตรฐานในการขาย สิ่งสำคัญที่โรงเลี้ยงไก่ของเธอต้องจดจำไว้ก็คือ เลือกที่จะมีรายได้น้อยลงและดูแลเรื่องความสะอาดสุขอนามัยให้ดี” หลินชิงเหอแนะนำ
“ผมจะทำตามนั้นครับ” โจวต้งได้รับความเห็นชอบจากเธอ และได้รู้ว่าความคิดของเขานำมาใช้ได้จริง ๆ เขาจึงรู้สึกดีใจมาก
“2 ปีแรกนี้อยู่นิ่ง ๆ ไปก่อน อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องนี้ในปีนี้กับปีหน้า ปีถัดจากนั้นไป ถ้าเธออยากจะทำ ก็ทำได้เลย เธอต้องเก็บเงินเอาไว้เป็นทุนด้วย เพราะเมื่อเธอขยายขนาดธุรกิจ มันก็มีความเสี่ยงนะ” หลินชิงเหอบอก
“ผมทราบครับ” โจวต้งพยักหน้า
คุณป้าไฉ่จะกลับก่อน เพราะหล่อนยังมีเรื่องอื่นที่จะต้องทำอีก เมื่อเห็นว่าหล่อนกำลังจะกลับ ไฉ่ปาเม่ยจึงเดินออกไปส่งหล่อน หลินชิงเหอยิ้ม “ถ้าเธอทำธุรกิจ ควรทำคนเดียวดีกว่านะจ๊ะ การร่วมหุ้นกับคนอื่น ถ้าพวกเขาดี ก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าไม่ดี ก็อาจจะเกิดการขัดแย้งกันขึ้นมาได้”
“คุณอาสะใภ้ ผมเข้าใจแล้วครับ” โจวต้งพยักหน้า เขารู้ว่าหลินชิงเหอเห็นแก่ประโยชน์ของเขาจริง ๆ เธอถึงได้พูดเรื่องนี้กับตน
“ตอนนี้ฐานะก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะจ๊ะ มีบ้านแค่ไม่กี่หลังในหมู่บ้านนี้ที่สามารถซื้อทีวีได้ แต่เธอซื้อมันมาแล้ว 1 เครื่อง” หลินชิงเหอยิ้ม
“แค่ติดตั้งทีวีไว้ให้ครอบครัวน่ะครับ” โจวต้งระบายยิ้มออกมาเต็มใบหน้า
แต่จริง ๆ เมื่อดูที่หมู่บ้านในตอนนี้ นับได้ว่าฐานะของครอบครัวเขาอยู่ในขั้นที่ดีเลยทีเดียว เลขาธิการสาขาของหมู่บ้านยังมาถามเขาว่าเขาต้องการจะติดประกาศเป็นครัวเรือน 10,000 หยวนหรือไม่
อันที่จริง โจวต้งยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นครัวเรือน 10,000 หยวน เนื่องจากรายได้ยังขาดอยู่อีกนิดหน่อย แต่เขาก็มีเงินเก็บอยู่มาก ดังนั้นถ้าต้องการจะลงทะเบียนติดประกาศ ก็สามารถทำได้
อย่างไรก็ตาม เขาไม่หลงละเมอไปกับเรื่องนี้เลย เขารู้สึกว่าการอยู่เงียบ ๆ ไม่ให้เป็นจุดเด่นน่าจะดีกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รายได้ของพวกเขาไม่ควรจะถูกเปิดเผยออกไป ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธไป
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ไม่ได้อยู่นานมากนัก พวกเขาไปนั่งคุยที่บ้านของพี่ชายใหญ่และสะใภ้ใหญ่ต่อ
“จริง ๆ เลยพวกเธอนี่ ต้องวิ่งไปกินข้าวถึงที่บ้านโจวต้งด้วย” สะใภ้ใหญ่พูด
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่ค่ะ เราเห็นโจวต้งเติบโตขึ้นมา ตอนนี้เขาประสบความสำเร็จ เราก็ต้องไปร่วมกินอาหารให้อร่อยที่บ้านเขาบ้าง” หลินชิงเหอตอบ
“ตอนนี้โจวต้งเป็นคนมีอนาคตจริง ๆ ไก่ถูกเลี้ยงอย่างดี ถ้าไม่ใช่เพราะปีนี้มีพายุ น้องชายสามของเธอจะต้องมาขนไข่ไปทุก ๆ 2 วันเลยละจ้ะ” สะใภ้ใหญ่กล่าว
ปัจจุบัน ไข่มีราคาเพิ่มขึ้น มันเคยมีราคาแค่ 3-4 เหมา แต่ตอนนี้ไข่ 1 ชั่งสามารถขายได้มากกว่า 5 เหมา
1 ชั่งขายได้ 5 เหมา 10 ชั่งก็หมายถึงขายได้ราว ๆ 5 หยวน รถขนไข่ 1 คันรถต้องมีไข่อยู่สัก 10-20 ชั่งไปแล้ว ถูกต้องไหม? ในแต่ละเดือนจะขายได้เท่าไหร่กันเล่า?
และยังมีรายได้จากไก่ที่โตแล้วอีก นี่ไม่ใช่การทำได้กำไรอย่างมากหรอกหรือ?
“ฉันจำที่พี่พูดได้นะคะ ว่าพี่อยากจะเพิ่มจำนวนเป็ดที่เลี้ยง ตอนนี้ทำไมพี่ไม่เลี้ยงให้มากขึ้นล่ะคะ?” หลินชิงเหอพูด
“ก็เป็นเพราะว่าพ่อของซื่อนีคอยบ่นไม่หยุดน่ะสิจ๊ะ พอซื่อนีไปปักกิ่งกับเธอแล้ว พี่จะไม่ไปทำงานที่ทุ่งนาแล้ว พี่จะจัดการเรื่องพวกนี้ที่บ้านเอง และจะไปซื้อลูกเป็ดมาเพิ่ม” สะใภ้ใหญ่ตอบ
พวกมันเลี้ยงง่ายมาก แค่ต้อนพวกมันออกมาแล้วปล่อยให้พวกมันไปกินปลาและกุ้งตัวเล็ก ๆ ในแม่น้ำเอง มันง่ายแค่ไหนที่ให้พี่ชายใหญ่เป็นคนต้อนเป็ดไปที่ลำธาร ในตอนที่เขาไปทำงาน?
ในตอนที่เขาจะกลับบ้าน ก็ไม่ต้องใช้เวลามากนักในการต้อนเป็ดกลับ เมื่อหล่อนอยู่ที่บ้านคนเดียวแล้ว หล่อนวางแผนไว้ว่าจะเอาหมูมาเลี้ยงเพิ่ม และจะเลี้ยงไก่เพิ่มด้วย
อย่างไรก็ดี ปีนี้หล่อนต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อน เอ้อร์นีจะพาลูกเขยกลับมาปลายปีนี้ หล่อนจึงตั้งใจจะกำจัดสัตว์เลี้ยงทั้งหมดที่บ้านก่อนที่พวกเขาจะกลับมา และเหลือไว้เพียงแค่ไม่กี่ตัวสำหรับเป็นอาหารในช่วงปีใหม่เท่านั้น
พวกของที่อยู่นอกบ้านจะต้องทำความสะอาด อีกทั้งพวกจาน ตะเกียบ ถ้วยและของใช้ประเภทนี้จะต้องซื้อมาใหม่
สรุปคือหล่อนไม่สามารถให้ลูกเขยรู้สึกว่าบ้านของตนสกปรกและไม่สะอาดได้ มันเป็นเรื่องน่าอายถ้าเขาจะไม่กินอาหารของที่บ้าน
แม้ว่าคำพูดของหลินชิงเหอจะเชื่อถือได้ แต่สะใภ้ใหญ่ก็ยังประหม่าอยู่ดี หล่อนจะไม่ประหม่าได้อย่างไรล่ะ?
ลูกเขยจากปักกิ่ง พูดกันว่าเขาร่ำรวยมากกว่าครอบครัวจ้าวเสียอีก หล่อนไม่ได้หวังอะไรมาก แม้ฐานะทางบ้านของตนจะไม่ดีนัก แต่พวกเขาก็ไม่เคยต้องการให้ลูกสาวของตนต้องมาเลี้ยงดูเกื้อกูลครอบครัวทางฝั่งมารดาในวันข้างหน้าเลย สรุปแล้ว อย่าให้ลูกเขยมาดูถูกครอบครัวของพวกตนและดูถูกลูกสาวของตนในอนาคตก็พอ
อันที่จริงแล้ว ตั้งแต่เริ่มแรกหล่อนก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องที่จะให้ลูกสาวของตนไปที่นั่นเพื่อจะได้แต่งงานเข้าไปอยู่ในปักกิ่งเลย
อย่างไรก็ตาม โชคชะตาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะทำอะไรได้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมัน หล่อนคุยกับลูกสาวทางโทรศัพท์ หล่อนจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าลูกสาวของตนก็ชอบอีกฝ่ายเช่นกัน?
เช่นนี้แล้ว การที่เป็นแบบนี้อาจจะดีกว่าก็ได้
……………………………………………………………………………………