ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 457 ออกไปทำเองคนเดียว
ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 457 ออกไปทำเองคนเดียว
บทที่ 457 ออกไปทำเองคนเดียว
ซานนีตัดสินใจในเรื่องนี้แล้ว นั่นก็คือพวกเขาจะไปที่นั่นกัน
โดยปกติแล้วหลี่อ้ายกั๋วก็ไม่น่าจะคัดค้านในเรื่องนี้ หลินชิงเหอเข้าใจดีจึงพูดว่า “หนูจะจัดการกับข้าวของที่บ้านยังไงจ๊ะ?”
โจวซานนีเป็นคนขยันขันแข็งเช่นกัน มีหมู 2 ตัวและไก่อีก 10 กว่าตัวอยู่ในสวนหลังบ้าน นับว่าเป็นจำนวนที่ค่อนข้างมาก
อย่างน้อยครอบครัวหล่อนก็ไม่เคยขาดแคลนไข่ไก่
“ง่ายมากเลยค่ะ แค่โอนไปให้เลขาธิการสาขาหมู่บ้านเรา ครอบครัวของเขาเพิ่งจะแต่งลูกสะใภ้คนใหม่เข้ามาในปีนี้ มีหล่อนอยู่ที่บ้านด้วย พวกเขาสามารถจัดการได้แน่” โจวซานนีตอบทันที
หลังจากยืนยันแล้วว่า พวกเขาจะไปปักกิ่งกับคุณอาสะใภ้สี่ ก้อนหินล่องหนซึ่งกดทับใจของโจวซานนีอยู่ก็ดูเหมือนจะหายไป ตัวหล่อนดูเปล่งประกายไปด้วยรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ
“แต่อายังมีเรื่องกังวลอยู่อีกนิดหน่อย ถ้าหนูได้ไปปักกิ่งแล้ว หนูจะพาลิ่วนีไปด้วยไหมจ๊ะ?” หลินชิงเหอพูดออกมาโดยไม่ได้บอกว่าสะใภ้ใหญ่เป็นคนหยิบยกเรื่องนี้ขึ้น
“อาสะใภ้สี่ไม่ต้องกังวลนะคะ เป็นไปไม่ได้ที่หนูจะพาลิ่วนียัยตัวขี้เกียจนั่นไปด้วย หนูโตมากับหล่อน รู้ดีค่ะว่าหล่อนเป็นคนยังไง” โจวซานนีตอบออกมาตรง ๆ
หลินชิงเหอพยักหน้ายิ้ม “อารู้จ้ะ แค่อยากให้ภูมิคุ้มกันกับหนูเท่านั้น อาพลาดกับสวี่เชิ่งเหม่ยไปแล้วครั้งหนึ่ง อาไม่อยากจะพลาดอีกเป็นครั้งที่ 2”
“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?” โจวซานนีผงะไปแล้วถามขึ้นด้วยความรู้สึกงุนงง
หล่อนรู้จักสวี่เชิ่งเหม่ยลูกพี่ลูกน้องคนนี้ ซึ่งได้แต่งงานกับชายผู้หนึ่งจากปักกิ่ง หล่อนคิดว่าคุณอาสะใภ้สี่เป็นคนแนะนำเขาให้กับสวี่เชิ่งเหม่ยเสียอีก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีเบื้องหลังลึก ๆ อยู่?
ด้วยเหตุที่ว่าถ้าพวกเขาไปอยู่ที่นั่นแล้ว เธอจะต้องทำให้โจวซานนีรู้จักป้องกันตนเอง ไม่ให้ถูกสวี่เชิ่งเหม่ยปั่นหัวเอาได้ ดังนั้นหลินชิงเหอจึงอยากจะสร้างภูมิคุ้มกันให้กับหล่อนไว้เสียก่อน
หลังจากได้ฟังเรื่องที่คุณอาสะใภ้สี่เล่าว่าสวี่เชิ่งเหม่ยแต่งงานกับจ้าวจวินได้อย่างไร โจวซานนีก็หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธและกล่าวระบายอารมณ์ออกมา “หล่อนทำเรื่องอย่างนี้ได้ยังไงกัน? ทุกคนในครอบครัวตระกูลโจวก็อยู่ที่นั่น หากเรื่องของหล่อนถูกพูดออกไป แล้วครอบครัวตระกูลโจวจะถูกมองยังไง?”
หลินชิงเหอกล่าวว่า “เป็นความปรารถนาที่ทำให้จิตใจหล่อนคิดทำเรื่องอย่างนี้ออกมาได้ หล่อนจะเคยคำนึงหรือจ๊ะว่าครอบครัวตระกูลโจวจะถูกตำหนิหรือเปล่า”
หล่อนถูกแม่เฒ่าหูชักจูง จากนั้นก็เริ่มต้นคิดแผนในเรื่องนี้ถึงวิธีที่จะได้แต่งเข้าครอบครัวจ้าว โดยตลอดเวลาที่ทำเรื่องนี้ดูเหมือนว่าหล่อนไม่เคยมีครอบครัวตระกูลโจวอยู่ในใจเลย
“คุณย่ารักชื่อเสียงเป็นที่สุด คุณย่าคงจะต้องโกรธมากเลยใช่ไหมคะ?” โจวซานนีถามต่อ
“ใช่จ้ะ คุณย่าต้องนอนป่วยอยู่ถึง 2-3 วันทีเดียว” หลินชิงเหอตอบ
“หนูดูไม่ออกเลยค่ะว่าหล่อนจะเป็นคนอย่างนี้!” โจวซานนีพูดด้วยความโกรธ
“เป็นธรรมดาที่หนูจะดูไม่ออก” หลินชิงเหอตอบ และพูดอยู่ในใจว่า เธอเองก็ดูไม่ออกเช่นกัน ในครั้งแรกที่เห็น เธอรู้สึกว่าหล่อนอ่อนโยนและอ่อนแอ ใครจะไปรู้ว่าหล่อนจะเป็นดอกบัวขาว(1) ไปเสียได้
แถมยังไม่ได้เป็นในระดับที่ต่ำด้วย
“สวี่เชิ่งเฉียงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน หลังจากที่หล่อนพาเขาไปอยู่ที่นั่น เขาก็ไปทำร้ายร่างกายคนอื่นจนต้องเข้าโรงพยาบาล เพราะคู่กรณีคนนั้นไปพูดว่าเขาต้องพึ่งพาเส้นสายของครอบครัว” หลินชิงเหอเอ่ย
โจวซานนีตกใจอีกครั้ง
“อาสี่ของหนูคิดว่าหลานชายของตัวเองเป็นนกที่ดี(2) เขาก็เลยจัดการให้หลานชายได้เข้าเรียนในโรงเรียนภาคค่ำ คอยดูเถอะ อาเดาไม่ผิดหรอกว่าเขาจะต้องก่อเรื่องขึ้นแน่” หลินชิงเหอกล่าว
แต่เธอไม่สนใจเรื่องนี้เลย เพราะรู้นิสัยสามีของตนเองดี ในเมื่อเธอไม่สามารถไปห้ามหรือควบคุมทุกอย่างได้ เธอก็จะปล่อยให้ชิงไป๋ได้เห็นด้วยตัวเอง
บางคนเป็นคนเลว แต่ยังไม่ถึงรากและยังสามารถดึงกลับมาได้ ในขณะที่บางคนเลวจนถึงแก่น
หลังจากที่ได้เห็นว่าสวี่เชิ่งเหม่ยคือดอกบัวขาว หลินชิงเหอก็ขึ้นบัญชีดำครอบครัวตระกูลสวี่
โจวซานนีไม่เคยรู้ว่ามีเรื่องมากมายเกิดขึ้นที่ปักกิ่ง เธอคิดมาตลอดว่าทุกอย่างราบรื่นดี
“แต่เรื่องวุ่น ๆ ก็มีแค่เรื่องพี่น้องคู่นี้เท่านั้นแหละจ้ะ ไม่มีอย่างอื่นอีกแล้วล่ะ พอไปที่นั่นหนูก็จะรู้เอง สรุปแล้วหนูจะไม่เสียใจแน่จ้ะ” หลินชิงเหอพูดรับรองด้วยรอยยิ้ม
จากนั้น หลินชิงเหอก็เล่าเรื่องราวต่าง ๆ มากมายในปักกิ่งให้โจวซานนีฟัง
ยกตัวอย่างเช่น เรื่องที่โจวเอ้อร์นีมีคนรักแล้วและอาจจะแต่งงานปีหน้า เขาดีกว่าจ้าวจวินมาก และสนิทสนมกับครอบครัวตระกูลโจวมาก
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องราวอื่น ๆ อีก พอได้ฟัง ยิ่งทำให้โจวซานนีมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าก่อนที่จะได้ไปปักกิ่งเสียอีก
โจวชิงไป๋และหลี่อ้ายกั๋วไม่ได้กลับมา จนกระทั่งถึงตอนเย็นพวกเขาจึงได้กลับมาพร้อมกับของป่าในกระเป๋าใบใหญ่
“ทำไมคุณถึงไปเอาของพวกนี้มาล่ะคะ?” หลินชิงเหอถามด้วยความประหลาดใจ
“ต้องเป็นเพราะอาสี่คิดว่าอาสะใภ้สี่ชอบกินของพวกนี้ และก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้มาที่นี่แน่เลยค่ะ อาสี่ถึงได้ไปขึ้นเขามา” โจวซานนีเม้มปากยิ้ม
โจวชิงไป๋มองไปที่ภรรยาของเขา หลี่อ้ายกั๋วก็จ้องไปที่ภรรยาของตนเช่นกัน เมื่อเห็นว่าสีหน้าท่าทางของภรรยาของตนดูเปลี่ยนไป เขาก็รู้ทันทีว่า คุณอาสะใภ้สี่ต้องบอกหล่อนเกี่ยวกับเรื่องที่จะไปปักกิ่งแล้ว
โจวชิงไป๋ก็ได้บอกกับหลี่อ้ายกั๋วแล้วเช่นกัน หลี่อ้ายกั๋วรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยที่จะได้ไปปักกิ่ง แต่หลังจากที่ตื่นเต้นแล้ว เขาก็สงบใจลง จากนั้นคุณอาสี่ก็บอกเขาอีกว่า เขาจะได้ไปดูแลร้านค้าในปักกิ่งและจะให้เงินเดือนพวกตน 80 หยวน ไม่รวมอาหารและที่พัก เรื่องนี้ทำให้หัวใจของหลี่อ้ายกั๋วเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง
ถ้าสามารถไปปักกิ่งได้ ทำไมพวกเขาจะไม่อยากไปล่ะ? แต่การดำรงชีวิตที่นั่นเป็นปัญหาใหญ่ เขาและภรรยาทำงานอย่างที่คนที่นั่นต้องการไม่เป็น งานในเมืองใหญ่คือ 1 หัวผักกาดใน 1 หลุม(3) แล้วมันจะถึงโอกาสของพวกเขาได้อย่างไร?
ทำธุรกิจด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ? หากไม่มีภูเขาอยู่ที่หมู่บ้านหรือที่ดินในหมู่บ้านแล้ว พวกเขาจะทำอะไรได้?
แต่ปัญหาเหล่านี้ได้ถูกแก้ไขให้แล้ว ฉะนั้น ยังจะมีอะไรให้ต้องลังเลใจอีกล่ะ?
ต้องรู้ว่าโรงพยาบาลในปักกิ่งดีที่สุดในประเทศแล้ว!
“บอกอ้ายกั๋วแล้วหรือคะ?” หลินชิงเหอถามโจวชิงไป๋ เมื่อสังเกตเห็นท่าทีของอ้ายกั๋ว
“ครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้า
หลินชิงเหอหันไปหาหลี่อ้ายกั๋ว “อ้ายกั๋ว ในเมื่ออาสี่บอกเธอแล้ว อาก็จะไม่พูดกับเธออีก หากเธอไปที่นั่น เราจะแก้ปัญหาเรื่องรายได้ให้พวกเธอทั้ง 2 คนเพื่อให้พวกเธอตั้งตัวได้เร็วที่สุด แต่เราจะทำไปทีละเรื่อง เธออาจจะไม่รู้ว่าอาเป็นคนยังไง แต่ซานนีรู้ ฉะนั้นตอนนี้อาจะถามเธออีกครั้ง คิดให้ดีก่อนที่จะตอบ เธออยากจะพาซานนีไปปักกิ่งแล้วมาทำงานกับเราไหมจ๊ะ?”
สายตาของโจวซานนีจับจ้องอยู่ที่หลี่อ้ายกั๋ว
หลี่อ้ายกั๋วลังเลไปชั่วขณะ แล้วจึงเอ่ยว่า “แล้วถ้าในอนาคตผมมีโอกาสจะได้ออกไปทำอะไรเองคนเดียวล่ะครับ?”
เขาไม่ต้องการเป็นลูกจ้างไปตลอดชีวิต ในใจของเขาคิดเรื่องการทำธุรกิจเป็นของตนเองมาตลอด ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่ออกไปเก็บของป่าด้วยตัวเอง และยังรวบรวมอาหารจากคนในหมู่บ้านแล้วขนเอาไปขายอีกต่อหรอก
“ถ้าเธออยากจะออกมาทำธุรกิจเองคนเดียว แน่นอนว่าเราไม่มีข้อคัดค้านอะไรหรอกจ้ะ และหากเธอต้องการความช่วยเหลืออะไร เราก็จะช่วยเธอกับซานนีให้สามารถออกไปทำธุรกิจด้วยตนเองได้ในฐานะที่เป็นญาติผู้ใหญ่ของเธอ แต่เธอจะต้องบอกล่วงหน้า และถ้าร้านใหม่ของเธอเป็นธุรกิจประเภทเดียวกับของเรา เธอก็ต้องเปิดร้านให้ไกลจากร้านเรา นี่เป็นกฎทางธุรกิจ” หลินชิงเหอกล่าว
“ผมเข้าใจครับ” หลี่อ้ายกั่วพยักหน้า
“ทำไมต้องเปิดร้านของตัวเองด้วยคะ? ดูร้านของอาสี่กับอาสะใภ้สี่ก็พอแล้วนี่ค่ะ จะออกไปทำเองคนเดียวทำไม?” โจวซานนีอดที่จะมองไปที่สามีของตนไม่ได้
ก่อนที่หลี่อ้ายกั๋วจะพูดอะไรออกมา หลินชิงเหอยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ซานนี หนูไม่ต้องคิดมากในเรื่องนี้หรอกนะจ๊ะ หนูก็รู้จักหู่จือกับกังจือลูกชายป้ารองของหนูใช่ไหม? อาก็ไม่ได้คิดจะให้พวกเขาทำงานให้เราไปตลอดชีวิต แต่อยากให้พวกเขาออกไปทำอะไรเป็นของตัวเองด้วยเหมือนกันจ้ะ”
……………………………………………………………………………………………….