ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 586 พวกคุณเป็นหัวใจของผม
บทที่ 586 พวกคุณเป็นหัวใจของผม
มีคำพูดที่กล่าวว่าแบบนี้
เมื่อผู้ชายได้แต่งงานกับผู้หญิงที่อยากแต่งงานด้วยที่สุด ผู้หญิงคนอื่นก็จะไม่สำคัญอีกต่อไป
แต่ผู้หญิงถ้าไม่สามารถแต่งให้กับคนที่หล่อนอยากแต่งด้วย ก็จะเปลี่ยนเป็นคนจู้จี้จุกจิก เห็นใครแล้วก็รู้สึกไม่ชอบไปหมด
กัวเมี่ยวจวินชอบโจวเฉวี่ยนแล้ว และหล่อนก็ไม่ได้ชอบเล่น ๆ เพียงเห็นหน้าของโจวเฉวี่ยนหล่อนก็หน้าแดงใจเต้น แม้แต่พูดยังไม่กล้าพูดด้วยเลย
อีกทั้งคุณสมบัติทุกอย่างที่ตระกูลโจวเลี้ยงเขามานั้นก็เพียบพร้อมไปเสียทั้งหมด
หล่อนจึงไม่ชอบที่แม่สื่อมาพูดถึงการจับคู่แบบนี้
ครอบครัวของฝ่ายชายนั้นฐานะไม่เลวเลย ปีนี้เพิ่งจะอายุ 23 ปีและก็มีงานทำ อายุมากกว่าหล่อน 4 ปี เงินเดือนก็ไม่น้อย ได้ยินว่ามี 60 กว่าหยวนอีกทั้งปีนี้ยังขึ้นเงินเดือนด้วย
ฐานเงินเดือนระดับนี้แน่นอนว่าไม่ต่ำเลย คนในครอบครัวกัวคนอื่น ๆ ได้ยินแล้วก็พอใจมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ข้าง ๆ นั่นก็คือคุณแม่กัวที่ตอนนี้ใจเต้นหมดแล้ว
เงินเดือนเท่านี้ไม่เลวเลยจริง ๆ
แต่ว่ากัวเมี่ยวจวินไม่ได้ตอบตกง คุณแม่กัวรู้ว่าหล่อนคิดอะไรจึงพูดขึ้นมา “โจวเฉวี่ยนคนนี้แม่ไม่มีตรงไหนต้องว่าเขาเลย แต่ว่าตอนนี้เขายังเรียนไม่จบเลยนะ แม่เห็นสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อแล้ว ว่าเขาต้องการรอเรียนให้จบก่อนแล้วค่อยหาคู่ครอง แล้วตอนนั้นมันคือเมื่อไหร่กัน? ตอนนี้มีคู่หมายที่หาได้ยากมาแล้ว ลูกก็แต่งกับเขาเถอะ”
“แม่ ครอบครัวเขากับครอบครัวตระกูลโจวสามารถเปรียบกันได้ด้วยเหรอคะ ตระกูลโจวซื้อรถยนต์ได้เลยนะคะ!” กัวเมี่ยวจวินเห็นว่าแม่ตัวเองเริ่มลังเลแล้วก็รีบพูดขึ้นมา
“แม่รู้ว่าครอบครัวเขาฐานะดี แต่พวกเราก็ต้องอยู่กับความเป็นจริงเหมือนกัน เรายังไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่เขาจะเรียนจบ อีกทั้งแม่เดาว่าต่อไปเขายังต้องอยู่ที่ปักกิ่งต่อไปแน่ ถ้าลูกอายุน้อยกว่าเขาสัก 2 ปีก็ว่าไปอย่าง ยังสามารถรอได้ แต่ตอนนี้ลูกอายุเท่ากับเขา ก็ปล่อยเขาไปเถอะ เก็บไว้ให้ญาติผู้น้องของลูกแล้วกัน” คุณแม่กัวพูด
กัวเมี่ยวจวินเบิกตากว้างพูด “แม่ หนูเป็นลูกแท้ ๆ ของแม่นะ แม่คิดจะเอาของดีขนาดนี้เก็บไว้ให้ญาติผู้น้อง ไม่ให้หนูเนี่ยนะ?”
คุณแม่กัวพูดอย่างไม่พอใจ “ลูกพูดอย่างนี้หมายความว่าอะไร มันไม่ใช่เพราะลูกไม่รีบทำอะไรสักทีอย่างนั้นเหรอ? ต้องรอจนเขาเรียนจบแล้ว ต่อไปก็ไม่รู้ว่าเขาจะเรียนปริญญาอะไรอีกไหม และต้องเรียนไปถึงเมื่อไหร่ ลูกรอไหวหรือยังไง?”
“หนูไม่สน ยังไงหนูก็ชอบเขาแล้ว ผู้ชายคนนั้นจะไปเทียบกับโจวเฉวี่ยนได้ยังไง? เขาทั้งเตี้ยกว่าโจวเฉวี่ยน หน้าตาก็ยิ่งเทียบไม่ติด ขี้เหร่จะตายอยู่แล้ว หนูไม่แต่งกับคนแบบนี้หรอกนะคะ” กัวเมี่ยวจวินพูด
“ผู้หญิงแต่งงานสนใจแค่กินกับอยู่ก็พอแล้ว ขอเพียงเงินเดือนเขาสูงก็พอแล้ว เรื่องอื่นลูกจะสนใจให้มากความไปทำไม? หน้าตามันกินได้ไหม?” คุณแม่กัวพูด
“โจวเฉวี่ยนไม่ได้มีแค่หน้าตา เขาเป็นถึงนักศึกษามหาวิทยาลัย เป็นคนมีความสามารถ ครอบครัวก็มีเงิน มีตรงไหนที่เขาไม่ดีกันคะแม่?” กัวเมี่ยวจวินพูดอย่างดื้อรั้น
คุณแม่กัวไม่สามารถโต้แย้งได้ จึงต้องให้แม่สื่อมาพูดเองแล้ว
ย่าเฒ่ากัวรู้แผนของสะใภ้ตัวเองเช่นกัน ไม่ใช่ว่าทำไม่สำเร็จเหรอ ฝ่ายชายตอนนี้คุณสมบัติดีมาก อีกทั้งเขายังบอกว่าจะให้ของชิ้นใหญ่ 4 ชิ้น
โทรทัศน์ เครื่องบันทึกเทป ตู้เย็น เครื่องซักผ้า
นี่เป็นมาตรฐานของยุคปี 80 ของชิ้นใหญ่ 4 ชิ้นนี้ต้องจ่ายเป็นจำนวนเงิน 2,000 กว่าหยวน อีกทั้งยังต้องจัดงานเลี้ยงโน่นนี่ รวม ๆ แล้วก็ต้องมีเงินวางไว้ 2,500 หยวน
เรียกว่าการที่ฝ่ายชายรับปากว่าจะให้ของชิ้นใหญ่ 4 ชิ้นนี้ได้ ก็ถือว่าฐานะเขาไม่เลวแล้ว
แม้ว่าย่าเฒ่ากัวจะอยากได้บ้านของตระกูลโจว แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าจะสำเร็จ แต่ตอนนี้มีคนดี ๆ มาอยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ตกลงหมั้นหมายกันไว้ก่อน เพราหลานสาวนางเพิ่งจะอายุ 19 ปี ยังไม่สามารถจดทะเบียนสมรสได้ ต้องอายุ 20 ปีเท่านั้นจึงจะจดได้
เพราะผู้หลักผู้ใหญ่ทุกคนตกลงไปแล้ว ต่อให้กัวเมี่ยวจวินไม่เต็มใจหล่อนก็ทำได้เพียงต้องเต็มใจแล้วเท่านั้น
กัวเมี่ยวจวินหนีไปร้องไห้อยู่ภายในห้อง ใน 2-3 วันมานี้หล่อนรู้สึกไม่มีความสุขเลย และก็ไม่ง่ายเลยกว่าที่หล่อนจะมีความกล้าไปหาโจวเฉวี่ยน หล่อนอยากเลียนแบบนิยายรักอย่างการหนีตามเขาไป แต่พอยืนอยู่เบื้องหน้าโจวเฉวี่ยนแล้ว หล่อนกลับทำได้เพียงยืนหน้าแดง พูดไม่ออกเลยสักคำ
พอจะมาบอกให้เขาพาหล่อนหนีตามไปเพื่อไปมีความรักเป็นของตัวเอง โจวเฉวี่ยนก็ขึ้นรถกลับปักกิ่งไปแล้ว
ตอนนี้ก็เป็นปลายเดือนสิงหาคม อีกไม่นานก็จะเปิดเทอมแล้ว และเขายังมาอยู่ที่นี่นานพอแล้วด้วย เขาถูกแม่เลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีมาก ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลใจอีกแล้ว
สำหรับกัวเมี่ยวจวินนั้นถือว่าพลาดไปแล้วอย่างรุนแรง
หล่อนรวบรวมความกล้าแล้วถามหลินชิงเหอ “คุณป้าคะ สองวันมานี้หนูไม่เห็นพี่รองของเสี่ยวเกิงเลย”
หลินชิงเหอรู้ว่าหล่อนหมายถึงอะไร หากเป็นเมื่อก่อนหล่อนก็คงไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนนี้หล่อนหมั้นหมายจะแต่งงานแล้ว ดังนั้นหล่อนยังจะถามถึงลูกชายเธออีกมันหมายความว่าอะไร?
เรื่องการหมั้นหมายของกัวเมี่ยวจวินนั้นคนในละแวกนี้เขารู้กันหมด เพราะฝ่ายชายนั้นฐานะไม่เลว สามารถให้ของชิ้นใหญ่ 4 ชิ้นนั้นได้ ก็ได้หน้าได้ตามากแล้ว ดังนั้นตระกูลกัวจึงไม่คิดจะปกปิดเรื่องนี้ไม่ให้ใครรู้
“กลับปักกิ่งไปแล้วล่ะจ๊ะ ก็ตอนนี้ใกล้จะเปิดเทอมแล้วไม่ใช่เหรอจ๊ะ?” หลินชิงเหอสววนกลับ แต่ก็สวนตอบหล่อนไปตามมารยาท
สีหน้ากัวเมี่ยวจวินพลันถอดสี เรียกว่าลำไส้เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ*ก็ไม่ถึงกับเป็นการกล่าวเกินไปนัก
(*เวลาคนตายลำไส้จะกลายเป็นสีเขียวคล้ำ ไว้ใช้อธิบายถึงความเสียใจหรือเสียดายอย่างถึงที่สุด)
ก่อนหน้านี้ไม่ง่ายเลยกว่าที่หล่อนจะรวบรวมความกล้าได้ แต่กลับพูดอะไรไม่ออก พอมาครั้งนี้ที่หล่อนคิดว่าตัวเองพร้อมแล้ว เขาก็กลับไปแล้ว
แม้ว่ากัวเมี่ยวจวินจะได้หมั้นหมายไว้แล้ว แต่ท่าทางของตระกูลกัวก็ยังไม่เปลี่ยนไป เพราะแม้กัวเมี่ยวจวินไม่สำเร็จ ต่อไปก็ยังมีหลานสาวของลูกสาวคนอื่น ๆ อยู่อีก
แต่ตอนนี้ยังเร็วเกินไปนัก รอต่อไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ดังนั้นตอนนี้ก็เพียงอย่าทำให้ความสัมพันธ์ร้าวฉานก็พอ
เวลาเจอหน้ากันพวกเขาจึงยังคงค่อนข้างปรองดองกันดีอยู่
หลินชิงเหอก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน ช่วงนี้โจวชิงไป๋รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนเล็กน้อย เพราะท้องของภรรยาเขานั้นใหญ่มากแล้ว
แม้ว่าเหนื่อยง่ายขึ้นมาก การเคลื่อนไหวก็ดูงุ่มง่าม แต่ก็ยังไม่มีความรู้สึกไม่สบายที่อื่น หลินชิงเหอนิ่งมากไม่สนเลยว่าดึกดื่นค่อนคืนโจวชิงไป๋ต้องตื่นขึ้นมาดูเธอก่อนจึงจะสามารถนอนหลับต่อได้
ตอนนี้อายุเดือนมากแล้ว ปริมาณอาหารที่ต้องกินก็เพิ่มมากขึ้นตามความเป็นจริง นอนอยู่ดึกดื่นค่อนคืน เธอก็ถูกความหิวทำให้ต้องตื่นขึ้นมาหาอะไรกิน
ความลำบากจึงมาตกอยู่ที่โจวชิงไป๋ แต่เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจภายหลัง หลินชิงเหอรู้สึกนับถือเขานิด ๆ เธอคิดว่าการที่เธอท้องนั้นคุ้มค่ามากจริง ๆ
เพราะเธอได้รู้จักอีกด้านหนึ่งของสามีตัวเอง ตรงที่ไม่เคยอารมณ์เสียอะไรแบบนั้นใส่เธอเลย
“ต่อไปถ้าฉันคลอดลูกสาวของคุณออกมาแล้ว คุณจะทิ้งคนส่งพัสดุอย่างฉันเมื่อไหร่ก็ได้ใช่ไหมคะ?” หลินชิงเหอปรายตามองเขา
“คนส่งพัสดุอะไรกัน คุณคือภรรยาของผมนะ เป็นลูกคนโตของผม”
หลินชิงเหอพูดอย่างไม่พอใจ “ใครเป็นลูกคนโตของคุณคะ อายบ้างไหมคุณเนี่ย”
“คุณเป็นลูกสาวคนโตของผม ส่วนนี่เป็นลูกสาวคนเล็กของผม พวกคุณล้วนเป็นหัวใจของผม” โจวชิงไป๋พูด
เขาไม่ใช่คนพูดจาไพเราะน่าฟัง แต่ตอนนี้ทั้งคนรักและลูกของเขาที่ใกล้จะมาเกิด โจวชิงไป๋พยายามจะสื่อสารกับชีพจรของสองดวงนี้พร้อมกัน
แต่หลินชิงเหอได้ยินแล้วกลับรู้สึกสบายใจและพูดขึ้นว่า “ถ้านับวันดูแล้ว ฉันน่าจะคลอดก่อนหรือหลังวันชาติเนี่ยแหละค่ะ”
“ไม่ต้องกังวล ถึงตอนนั้นแล้วผมจะขับรถไปส่งคุณเอง” โจวชิงไป๋พูด
“คุณก็พูดง่าย คลอดลูกมันง่ายอย่างนั้นเสียที่ไหน” หลินชิงเหอพูดอย่างไม่พอใจ เธอยังรู้สึกกังวลเล็กน้อย เพราะตัวเองไม่ได้เนื้อหนังทนทาน ยิ่งอายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว การคลอดลูกย่อมต้องมีความอันตราย
…………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
นกเต็มรังเลยเมี่ยวจวิน น่าสงสาร แต่ขอโทษนะวาสนาของเธอไม่คู่ควรกับเจ้ารองจริง ๆ
ผู้ชายที่จะทนอารมณ์ผู้หญิงแบบนี้ได้นี่หายากมากนะคะ ถือว่าแม่โชคดีมากเลย
ไหหม่า(海馬)