ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 659 แค่หย่าเท่านั้นเอง
บทที่ 659 แค่หย่าเท่านั้นเอง
“ไม่ถึงกับมาฝึกงานหรอกครับ แค่มาเรียนรู้ประสบการณ์ที่นี่เท่านั้น ผมเปิดร้านที่เซี่ยงไฮ้อยู่ 2-3 ร้าน แล้วมันก็มีโอกาสพัฒนาสูง ประสบการณ์ที่นี่คุ้มค่ากับการเรียนรู้จริง ๆ ครับ” เจียงเหิงกล่าว
โจวอู่นีพยักหน้า “ไปล้างหน้าล้างตาเถอะค่ะ แล้วเตรียมตัวกินข้าวเช้ากัน”
“ครับ” เจียงเหิงรับคำและไปแปรงฟัน
ตอนที่โจวอู่นีหันหลังเดินออกไป หล่อนก็ไม่ทันเห็นว่าเจียงเหิงได้เฝ้ามองหล่อนจนลับตา นัยน์ตาเขาเป็นประกายบางอย่าง
หลินชิงเหอตื่นเช้ามาแล้วก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก ส่วนโจวชิงไป๋ไปอยู่ที่ร้านเกี๊ยวแต่เช้าตรู่
แม้สวี่เชิ่งเฉียงจะเริ่มรับมือได้แล้ว แต่ก็ทำได้เฉพาะตอนที่ไม่ยุ่งมาก ตอนเช้าเป็นช่วงที่คนพลุกพล่าน เขาจึงหัวหมุนไปหมดจนรับมือไม่ไหว ต้องมีใครสักคนไปช่วย
เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จ หลินชิงเหอจึงพูดกับโจวอู่นี “ไหน ๆ เธอก็มาแล้ว เธอกับอาซิ่วสองคนไปเดินเที่ยวรอบ ๆ หน่อยไหมจ๊ะ?”
“พี่หมิ่น ให้ผมพาพวกพี่ไปไหมครับ” เจียงเกิงยกมือ
ตอนนี้เขาคุ้นเคยกับปักกิ่งเป็นที่สุด ไม่ว่าจะไปไหนก็ไม่ใช่ปัญหา เป็นมัคคุเทศก์ยิ่งไม่ใช่ปัญหาใหญ่
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ ฉันรู้ทางอยู่ มีอาซิ่วไปเป็นเพื่อนพอดี” โจวอู่นีบอกยิ้ม ๆ
หล่อนกับอาซิ่วจึงไปเที่ยวกันเอง โจวอู่นีไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว จึงรู้สึกแปลกใหม่อยู่เหมือนกัน ส่วนหลินซิ่วไม่เคยเห็นเมืองที่เจริญขนาดนี้มาก่อน…ในที่สุดก็ได้อยู่นี่แล้ว ดีใจสุด ๆ ไปเลย
หลินชิงเหอหยิบเงิน 100 หยวนให้พวกหล่อนไว้ใช้จ่าย แล้วก็ไม่ได้ยุ่งกับพวกหล่อนอีก
ปักกิ่งในตอนนี้คึกคักมาก ถึงแม้ความปลอดภัยของยุคนี้ยังสู้อนาคตไม่ได้ แต่ก็ต้องดูด้วยว่าเป็นพื้นที่ไหน ก่อนหน้านี้ไม่นานนักเพิ่งมีการลงโทษไป ทำให้บรรยากาศทั้งปักกิ่งในตอนนั้นตึงเครียดไม่น้อย
สองพี่น้องเจียงเกิงเจียงเหิงตามเจ้าสามโจวกุยหลายไปส่งสาวน้อยมี่มี่เข้าโรงเรียนอนุบาลก่อนจะไปทำงานกัน ส่วนหลินชิงเหอกำลังพิจารณาเรื่องห้องทำงานของตัวเอง
เธอรู้สึกว่าถ้าตัวเองอยากเปิดห้องทำงาน ก็น่าจะทำทุกอย่างไหวอยู่
แต่คิดไม่ถึงว่าสวี่เชิ่งเหม่ยจะมาที่นี่
พอเห็นหล่อน หลินชิงเหอก็เลิกคิ้วขึ้น “คุณสวี่มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”
“น้าสะใภ้ คุณถึงกับต้องพูดแบบนี้กับฉันเลยเหรอคะ?” สวี่เชิ่งเหม่ยยิ้มเฝื่อน
กับสวี่เชิ่งเฉียงหลินชิงเหอยังพอจะใจอ่อนอยู่บ้าง เลยให้โอกาสเขา แต่กับสวี่เชิ่งเหม่ยเธอไม่มีความรู้สึกดี ๆ อะไรกับหล่อนเลยสักนิด
ก่อนหย่ายังรู้จักหาคนดูแลรายต่อไปให้ตัวเอง ต้องมีจิตใจแบบไหนกันถึงมีฝีมือกับแผนการแบบนี้?
“ตระกูลโจวกับตระกูลสวี่ตัดความสัมพันธ์กันแล้ว แม่ของคุณพูดกับแม่แท้ ๆ ของตัวหล่อนเองไว้แบบนั้น เพราะฉะนั้นคุณสวี่มีอะไรก็พูดมาตรง ๆ เถอะค่ะ” หลินชิงเหอกล่าว
สวี่เชิ่งเหม่ยโค้งคำนับเธอ “ฉันมาขอบคุณคุณน้า ขอบคุณที่คุณรับตัวเฉียงจือไว้น่ะค่ะ”
“คนที่รับสวี่เชิ่งเฉียงไว้ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นน้าสี่ของเขา และเขาก็มีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าเขาไม่ตั้งใจทำงาน ยังทำนิสัยแบบเดิม ฉันก็จะไล่ออกเหมือนกัน” หลินชิงเหอเอ่ยเรียบ ๆ
“น้าสะใภ้วางใจเถอะค่ะ เฉียงจือเปลี่ยนไปเยอะมาก ที่หย่ากันครั้งนี้ เขาไม่เอาอะไรเลยค่ะ ทุกอย่างยกให้จางเหมยเหลียนทั้งหมด” สวี่เชิ่งเหม่ยเม้มปาก
“สมควรแล้วที่เขาจะให้จางเหมยเหลียน เพราะเงินพวกนั้นเขาไม่ได้เป็นคนหามา” หลินชิงเหอพูดไปตามความจริง
ไม่ใช่ว่าเธอเข้าข้างจางเหมยเหลียน แต่มันคือความจริง สวี่เชิ่งเฉียงติดคุก เงินทั้งหมดจึงมาจากน้ำพักน้ำแรงของจางเหมยเหลียน การไม่ได้เอาเงินของจางเหมยเหลียนไปนั้นแสดงให้เห็นว่าเขายังคิดได้
สวี่เชิ่งเหม่ยไม่ได้พูดอะไรมาก พูดแค่เรื่องแม่ของตน ว่าแม่หล่อนสำนึกผิดแล้ว และไปยอมรับผิดกับทางบ้านโจว อยากขอให้ทางตระกูลโจวให้อภัย
“เรื่องนี้คุณไม่ต้องมาพูดกับฉัน ให้แม่ของคุณไปพูดกับแม่ตัวเองก็พอ” หลินชิงเหอเอ่ย
สวี่เซิ่งเหม่ยจึงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ต้อนรับหล่อนจริง ๆ จึงไม่รบกวนอะไรอีกและยอมจากไป
หลินชิงเหอเหลือบมองแผ่นหลังของหล่อนด้วยสีหน้าเย็นชา
ตั้งแต่ที่สวี่เชิ่งเหม่ยทรยศเธอ เธอก็รู้สึกรังเกียจหลานสาวคนนี้ไปโดยสิ้นเชิง กล่าวได้ว่าการหย่าครั้งนี้หล่อนทำเพื่อตัวเองล้วน ๆ ถึงได้วางแผนเอาไว้มากมายขนาดนั้น แต่การที่ไม่คิดจะแย่งลูกมาเลยสักนิดต้องเป็นคนแบบไหนกัน?
หล่อนคิดว่ามอบลูกชายให้ตระกูลจ้าวเลี้ยงดูแล้วเขาจะมีชีวิตที่ดีหรอ?
หลินชิงเหอไม่อยากจะคุยอะไรกับหล่อนอีกแล้ว
สวี่เชิ่งเหม่ยได้แวะมาเยี่ยมคุณยายของหล่อนแล้ว
เป็นเพราะสองพี่น้องอยู่ในปักกิ่ง แถมสวี่เชิ่งเฉียงยังช่วยงานที่ร้านเกี๊ยวด้วย เรื่องการหย่าจึงปิดไม่อยู่ ซึ่งหลินชิงเหอให้โจวเอ้อร์นีบอกท่านแม่โจวไว้ก่อนแล้ว
แต่ครั้งนี้ท่านแม่โจวกลับใจเย็นเป็นพิเศษเกินความคาดหมาย ถึงขั้นพูดว่าโตขนาดนี้แล้วอยากใช้ชีวิตแบบไหนก็ใช้ไปเถอะ ตัวเองรู้ดีอยู่แก่ใจ นางไม่อยากไปยุ่งกับพวกเขาแล้ว จึงไม่อยากควบคุมอะไรอีก
ยายเฒ่าคนนี้จิตใจกว้างขวางขึ้นเยอะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนางคงรับเรื่องทั้งหมดไว้และพาลคิดมากไปต่าง ๆ นานาแล้ว
ตอนสวี่เชิ่งเหม่ยมาขอยุติความขัดแย้ง ท่านแม่โจวจึงบอกไปว่า “ฉันกับแม่เธอเป็นแม่ลูกกัน ตัดความสัมพันธ์กันไม่ได้หรอก อนาคตเธอก็ไม่มีโอกาสอะไรจะมาที่นี่อีกแล้ว คราวหน้าตอนที่เธอคุยโทรศัพท์กับหล่อนก็บอกหล่อนไปว่าใช้ชีวิตให้ดีก็พอ เรื่องอื่นไม่ต้องคิดเยอะ”
สวี่เชิ่งเหม่ยร้องไห้ “คุณยายคะ คุณยายยอมให้อภัยแม่ฉันจริง ๆ แล้วเหรอคะ?”
“ให้อภัยหรือไม่จะไปสำคัญอะไร ฉันกับคุณตาเธอเหลือเวลาอีกไม่กี่ปีแล้ว อยากจดจำแค่เรื่องดี ๆ เรื่องที่ทุกข์ใจฉันไม่อยากจำ” ท่านแม่โจวกล่าว
ในวันวานตอนที่ลูกสาวคนโตจะตัดความสัมพันธ์กับนาง ท่านแม่โจวโกรธจนเกือบจะล้มหมอนนอนเสื่อ
แต่เดี๋ยวนี้นางไม่รู้สึกอะไรแล้วจริง ๆ
สวี่เชิ่งเหม่ยไปจากที่นี่แล้วสุดท้ายถึงไปหาสวี่เชิ่งเฉียง หล่อนรู้ว่าสวี่เชิ่งเฉียงไปช่วยงานที่ร้านเกี๊ยว รู้ว่าเขาได้รับการเลี้ยงดูจึงเข้าไปขอบคุณ แต่ยังไม่ได้ไปคุยกับน้องชาย
ตอนนี้มาแล้ว ก็ต้องไปหาเขา
โจวชิงไป๋โบกมือให้เขาออกไป เขาไม่มีความรู้สึกดี ๆ อะไรกับหลานสาวที่เอาตัวรอดไปอยู่กับสามีคนใหม่และทอดทิ้งลูกเช่นกัน หล่อนเป็นคนแผนสูงเกินไป
“พี่ มาได้ยังไงครับเนี่ย” สวี่เชิ่งเฉียงออกมาแล้วพูดขึ้น
“นายอยู่ที่นี่เป็นยังไงบ้าง” สวี่เชิ่งเหม่ยถาม
“ดีมากเลยครับ พี่ใช้ชีวิตของตัวเองให้ดีก็พอ พี่ไม่ต้องห่วงทางผม” สวี่เชิ่งเฉียงกล่าว
เขาตื่นแต่เช้ามาเปิดร้าน ปิดร้านตอนสามทุ่ม แต่ละวันของเขาถูกเติมจนเต็ม แถมที่นี่ยังได้กินฟรีอยู่ฟรี ต่อให้ได้เงินเดือนร้อยกว่าหยวนซึ่งสู้เปิดร้านเองไม่ได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากไปเปิดร้านเองแล้ว เขาอยากทำงานอยู่กับน้าสี่ไปเรื่อย ๆ แบบนี้ก็พอ
“นายอยู่ดีมีสุขก็ดีแล้ว ฉันคุยกับแม่ในโทรศัพท์แล้ว แม่บอกว่านายว่างเมื่อไหร่ให้โทรกลับไปด้วย” สวี่เชิ่งเหม่ยบอก
สวี่เชิ่งเฉียงขมวดคิ้ว “พี่พูดเรื่องพวกนี้กับแม่ทำไม อย่างนี้ก็รู้กันทั้งหมู่บ้านเลยน่ะสิ อีกหน่อยพ่อแม่จะใช้ชีวิตในหมู่บ้านต่อไปยังไง?”
“แค่หย่าเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จะช้าหรือเร็วก็ต้องรู้อยู่ดี” สวี่เชิ่งเหม่ยกล่าว
สวี่เชิ่งเฉียงจึงไม่พูดอะไรอีก
“นายทำงานกับน้าสี่ไปก่อน อีกหน่อยฉันจะคอยดูให้ เดี๋ยวเปิดร้านให้นายไปบริหารเอง” สวี่เชิ่งเหม่ยเอ่ย
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่อยากเปิดร้านแล้ว” สวี่เชิ่งเฉียงส่ายหน้า
สวี่เชิ่งเหม่ยจึงไม่ได้พูดอะไรมาก เห็นเขามีชีวิตที่ดีแล้วจึงไปทักทายน้าสี่ จากนั้นถึงผละจากไป
พอหล่อนไป โจวชิงไป๋ก็สอนหลานชาย “ความซื่อสัตย์สุจริตสำคัญที่สุด เรื่องอื่นอย่าไปคิดเยอะ”
…………………………………………………………………………………………………………………………