ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 672 เตรียมงานแต่งงานของเจ้าใหญ่
บทที่ 672 เตรียมงานแต่งงานของเจ้าใหญ่
หลังจากได้ยินสิ่งที่ลูกสาวพูดแล้ว สะใภ้ใหญ่โจวก็วางใจลงและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้แม่สามีลูกโทรหาแม่ บอกให้แม่กับพ่อไปร่วมงานแต่งงานของเจ้าใหญ่กับน้องสาวสามีของลูกในปีนี้ด้วยน่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นแม่กับพ่อก็มาสิคะ พาหยางหยางกับวั่งวั่งมาด้วย บ้านอาสะใภ้สี่กว้างขวางมาก ต่อให้มาหมดก็มีที่ให้อยู่” โจวซื่อนีบอก
“แม่คุยกับพ่อแล้ว พ่อบอกว่าถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน” สะใภ้ใหญ่โจวบอกพลางยิ้ม
“มีอะไรให้ค่อยว่ากันอีกคะ ถึงตอนนั้นให้พี่เขยใหญ่กลับไปอยู่บ้านก็สิ้นเรื่องแล้ว มาฉลองปีใหม่ที่นี่ดีออก ไม่ใช่ว่าที่บ้านไม่มีที่พอให้อยู่เสียเมื่อไหร่ บ้านพวกเราก็มีห้องเหลือ” โจวซื่อนีเอ่ย
บ้านของหล่อนและเวิงกั๋วต้งมีห้องนอนสองห้อง ห้องโถงหนึ่งห้อง เพียงพอที่จะอยู่อาศัยแล้ว
“ก็ได้ ถึงตอนนั้นแม่จะไปกับพ่อ จะได้ไปเยี่ยมพวกลูกด้วย” สะใภ้ใหญ่โจวพูดอย่างดีใจ
สองแม่ลูกคุยกันไปสักพักถึงวางสาย
เวลาผ่านไปเร็วมาก โดยเฉพาะสิ้นปีนั้นหาซื้อตั๋วรถยาก ถ้าตัดสินใจว่าจะไปแล้วต้องซื้อตั๋วรถล่วงหน้าให้แน่นอน
สองสามีภรรยาบ้านสะใภ้ใหญ่โจวและลูกชายอีกสองคนจึงตัดสินใจว่าถึงตอนนั้นจะไปกันให้หมด ส่วนตัวหล่อนมาหาโจวต้านีอีกครั้ง
มาเพื่อถามโจวต้านีว่าถึงตอนนั้นจะไปด้วยกันไหม?
โจวต้านีก็อยากไปเช่นกัน น้องสาวสองคนของหล่อนแต่งงานไปอยู่ปักกิ่งกันทั้งคู่ แต่ตัวหล่อนเองจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยไปปักกิ่งเลยสักครั้ง
เจ้าใหญ่อุตส่าห์ได้แต่งงาน หล่อนจึงอยากไปดูจริง ๆ
“คุณอยากไปก็ไปเถอะ เดี๋ยวผมดูแลทางบ้านให้” สามีของหล่อนพูดกับหล่อน
ถ้าโจวต้านีตามไปด้วย บ้านสะใภ้ใหญ่โจวก็จะไม่มีคนดูแล ดังนั้นหล่อนจึงมาถามพี่รองโจว
พี่รองโจวไม่คิดจะไปด้วย เขาคิดว่าถึงตอนนั้นค่อยฝากซองไปก็พอ สะใภ้ใหญ่โจวจึงคุยกับเขาว่าหากถึงตอนนั้นแล้วก็ฝากเขาดูแลที่บ้านด้วย
พี่รองโจวรับปากหล่อน บอกให้หล่อนไปปักกิ่งกับพี่ใหญ่ได้อย่างสบายใจ เดี๋ยวเขาเป็นคนดูแลบ้านทางนี้ให้
สะใภ้ใหญ่โจวจึงส่งข่าวแจ้งพวกพี่สามโจว ซึ่งสะใภ้สามโจวก็อยากไปด้วย พี่สามโจวและลูก ๆ จึงอยู่เฝ้าร้านเฝ้าบ้าน
จากนั้นพี่สามโจวก็เป็นคนไปแจ้งข่าวน้องสามหลิน
เดี๋ยวนี้น้องสามหลินยุ่งมาก
เป็นเพราะเขามีหน้าร้านอยู่สองที่ ต้องขับรถกระบะรับของส่งของทุกวัน แต่ลูกชายคนโตของพี่สาวสามแต่งงานทั้งที เขาก็อยากไป
แถมภรรยาของเขาเป็นคนเก่ง ดูแลจัดการเรื่องที่บ้านได้ ถึงตอนนั้นเขาเตรียมสินค้าไว้ขายล่วงหน้าก็ได้
จากนั้นก็ปล่อยให้ภรรยาเขาอยู่เฝ้าร้าน โดยที่ตัวเขาจะไปด้วยกันกับพวกพี่ใหญ่
โจวเซี่ยที่อยู่อำเภอเดียวกันก็ได้ข่าวเหมือนกัน
ตอนนี้สะใภ้รองโจวอยู่ที่นี่ เป็นคนคอยช่วยซักผ้าทำกับข้าว
พอพี่สามโจวมาบอกเสร็จสะใภ้รองโจวก็เบ้ปาก “น่าไปตรงไหนกัน? ตอนแกแต่งงานพวกเขาไม่เห็นกลับมาเลยสักคน”
“แม่ ตอนผมแต่งงานพวกเขาไม่ว่างน่ะครับ ก็เป็นเรื่องปกติที่จะไม่กลับมา” โจวเซี่ยเอ่ย ถึงตัวจะไม่ได้กลับมา แต่ก็ใส่ซองมาไม่น้อยเลย
“นี่เป็นญาติที่ปักกิ่งเลยนะ คุณให้โจวเซี่ยไปมาหาสู่กันบ้างสิ คิดจะตัดสัมพันธ์ของสองบ้านเลยหรือไงกัน?” หม่าเหมี่ยวเหมี่ยวตำหนิ
เมื่อก่อนหม่าเหมี่ยวเหมี่ยวไม่รู้ว่าอากับอาสะใภ้บ้านสี่มาจากปักกิ่ง แต่หลังจากที่รู้แล้ว ท่าทางของหล่อนจึงเปลี่ยนไป
ถึงแม้บ้านของหล่อนจะอยู่ในอำเภอ ถือเป็นคนในเมืองเหมือนกัน แต่พวกเขานั้นอยู่มหานครใหญ่ หล่อนจะเอาความยโสจากไหนไปเทียบเล่า?
แต่ต่อให้หล่อนเคารพอากับอาสะใภ้บ้านสี่ ทว่ากับแม่สามีของหล่อนคนนี้ หม่าเหมี่ยวเหมี่ยวไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา
สะใภ้รองโจวได้ยินก็พูดเสียงอ่อย “เหมี่ยวเหมี่ยวเธอยังไม่รู้ พวกเขาไม่เคยเกื้อหนุนบ้านเราเลยจ้ะ พวกเขาดูถูกบ้านเรามาโดยตลอด”
“แม่ครับ พูดเหลวไหลอีกแล้ว อาสี่อาสะใภ้สี่ดูถูกบ้านเราตรงไหนกัน?” โจวเซี่ยขมวดคิ้ว
ตอนนั้นที่เขาไปฝากตัวเป็นศิษย์ในโรงงานเฟอร์นิเจอร์ได้และมีรายได้อย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะอาสี่เขาหาให้ ได้ข่าวว่าเอาเนื้อติดมันให้อีกฝ่ายถึง 2 ชั่ง
ตอนนี้มันไม่ใช่ของหายากอะไร มีเงินก็ซื้อได้ แต่สมัยนั้นเนื้อติดมัน 2 ชั่งเป็นของหายากขนาดไหน? ต่อให้มีเงินก็ใช่ว่าจะซื้อได้!
อาสี่เขากลับเอาไปวิ่งเส้นสายให้ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยพูดกับพ่อแม่เขาเลย เขาเองยังรู้จากปากพ่อตาของเขาในภายหลัง
นี่เหรอที่แม่ของเขาพูดว่าอาสี่กับอาสะใภ้สี่ดูถูกบ้านเขา?
ไหนจะโจวซานนีพี่สาวเขาอีก
ตอนนี้อยู่ที่ปักกิ่งกับพี่เขยและหลานชายเขาแล้ว โดยที่อาสี่อาสะใภ้สี่เป็นคนพาไปอยู่ที่นั่น
นี่เหรอที่อาสี่อาสะใภ้สี่ดูถูกบ้านเขา? โจวเซี่ยไม่รู้เลยว่าแม่ของเขาคิดอะไรอยู่
หม่าเหมี่ยวเหมี่ยวเองก็หันมามองแม่สามีเหมือนกัน
สะใภ้รองโจวจึงเอ่ย “เรื่องตอนนั้นแกไม่รู้ พี่สาวคนรองของแกเคยแอบไปปักกิ่งเอง ตอนนั้นหล่อนยังอายุน้อยขนาดนั้น พออุตส่าห์ไปถึงที่นู่นได้ อาสะใภ้สี่แกกลับบอกให้เจ้าใหญ่ส่งตัวหล่อนกลับมาคืนนั้นเลย สักคืนก็ไม่ให้ค้าง!”
พอนึกถึงเรื่องนี้ทีไร สะใภ้รองโจวก็โมโหอยู่มาก ไม่ไว้หน้าหล่อนกันเลยสักนิด
มีใครเขาทำแบบนี้บ้าง? ทีตอนนั้นพาเอ้อร์นีกับสวี่เชิ่งเหม่ยไปได้ พอลิ่วนีไปบ้างกลับส่งตัวกลับมา ไม่ต่างอะไรกับตบหน้าหล่อนเลยสักนิด
โจวลิ่วนีโตกว่าโจวเซี่ย จัดว่าเป็นพี่สาวคนรองของเขา
พอได้ยินแม่ของเขายังแค้นเรื่องตอนนั้นอยู่ โจวเซี่ยก็คร้านจะพูดอะไรด้วยอีก
ส่วนหม่าเหมี่ยวเหมี่ยวนั้นมีความแค้นใหญ่หลวงกับโจวลิ่วนี ที่หล่อนแท้งลูกคนแรกก็เพราะโจวลิ่วนีเป็นคนผลัก
หล่อนรู้ดีว่าโจวลิ่วนีมีนิสัยเป็นอย่างไร จึงเอ่ยทันควัน “ถ้าแม่รักลูกสาวคนนั้นของแม่มากก็ไปอยู่กับหล่อนเถอะ ไม่ต้องมาเกะกะที่บ้านหนู หนูได้ยินชื่อหล่อนแล้วหงุดหงิด!”
สะใภ้รองโจวไม่อยากกลับไปอยู่แล้ว ชีวิตในเมืองดีขนาดไหนกัน? กลับไปที่หมู่บ้านแล้วได้หน้าสุด ๆ หล่อนหรือจะยอมกลับไปที่เดิม
“ถ้าอย่างนั้นเซี่ยเซี่ยจะไปเหรอ?” สะใภ้รองโจวเปลี่ยนเรื่อง
“ฉันก็จะไปด้วยค่ะ ฉันยังไม่เคยไปปักกิ่งเลย” หม่าเหมี่ยวเหมี่ยวพูดกับโจวเซี่ย
โจวเซี่ยพยักหน้า ช่วงนั้นเป็นวันหยุดของเขา ถึงตอนนั้นไปด้วยกันก็ดี
ส่วนลูกคงไม่พาไปด้วย เพราะเดินทางไปกลับลำบาก จึงให้สะใภ้รองโจวดูแลไปก่อน
จึงเป็นอันว่าได้จำนวนคนไปด้วยครบทั้งหมดแล้ว มีครอบครัวพี่ใหญ่โจว สะใภ้สามโจว น้องสามหลิน พี่สาวรองโจวแม่ของหู่จือและกังจือ และคู่สามีภรรยาโจวเซี่ย
หลังจากสรุปคนไปได้แล้ว ฝั่งสะใภ้สามโจวจึงโทรหาหลินชิงเหอ
หลินชิงเหอดีใจมาก เธอบอกด้วยรอยยิ้ม “ค่ารถของพวกพี่ฉันออกให้หมดเลยค่ะ รวมค่ากินค่าอยู่ตอนมาอยู่ปักกิ่งด้วย มากันได้เลย”
สะใภ้สามโจวยิ้มพลางเอ่ย “พวกเราไปกันเยอะขนาดนี้ ถ้าบ้านเล็กหน่อยคงไม่มีที่จะอยู่แล้ว”
หล่อนกับพี่สามโจวไปอยู่มาสองวัน ได้เดินดูรอบ ๆ แล้ว บ้านหลังใหญ่นั่นใหญ่โตโอ่อ่ายิ่งกว่าบ้านหลังใหญ่ของเจ้าของที่รายใหญ่เสียอีก ห้องก็เยอะ กว้างขวางสุด ๆ
“เก็บไว้ให้พวกพี่นี่แหละค่ะ ถ้าว่างอยากมาเที่ยวเล่นที่นี่มาได้ทุกเมื่อเลยนะ” หลินชิงเหอกล่าว
หลังจากวางสายแล้วหลินชิงเหอผู้กำลังจะเป็นแม่สามีก็เริ่มลงมือเตรียมงาน
……………………………………………………………………………………………………………………….