ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 681 นางเอกของเรื่องเดิม
บทที่ 681 นางเอกของเรื่องเดิม
เรื่องที่เวิงเหม่ยเจี่ยท้องได้กลายเป็นข่าวใหญ่ของฝั่งบ้านโจวขึ้นมาทันที
ตอนที่เหอเหมียนเหมียนโทรมา หลินชิงเหอก็แจ้งข่าวดีกับหล่อน ทันทีที่เหอเหมียนเหมียนวางสาย หล่อนก็ไปหาโจวเฉวี่ยน
และบอกด้วยความอิจฉาว่า พี่สะใภ้ใหญ่ท้อง
“อื้ม” โจวเฉวี่ยนพยักหน้าเรียบ ๆ
ปีนี้พี่ใหญ่เขาอายุ 24 และแต่งงานกับพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว การมีลูกจึงเป็นเรื่องที่ปกติมาก
“ถ้าเราสองคนมีลูกเหมือนกันก็คงดีนะคะ” เหอเหมียนเหมียนเอ่ยขึ้น
ขณะที่พูด หล่อนก็ส่งสายตาไปให้โจวเฉวี่ยนด้วย เขาทำหน้าเหนื่อยหน่ายนิดหน่อย “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่เราจะมีลูก”
“ทำไมจะไม่เหมาะคะ? ทะเบียนสมรสก็จดแล้ว ตอนนี้เราคือสามีภรรยาถูกต้องตามกฎหมาย แค่ยังไม่ได้จัดงานเท่านั้น ที่จริงงดเว้นไปก็ได้” เหอเหมียนเหมียนเอ่ย
“ปีนี้ผมต้องออกเดินทาง ครั้งนี้จะยุ่งมาก เกรงว่าคงไม่มีเวลาดูแลคุณ รอให้อีกหน่อยรากฐานผมมั่นคงแล้วค่อยมีลูกเถอะ” โจวเฉวี่ยนกล่าว
การถูกส่งออกไปทำงานข้างนอกตามท้องถิ่นซึ่งคนในท้องถิ่นอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะเข้าหาเลย ถึงเขาจะมาจากปักกิ่งก็เถอะ แต่ประโยคที่ว่ามังกรพลัดถิ่นยังแพ้งูเจ้าที่นั้นไม่ได้เป็นการพูดเล่น อย่างไรกองทัพใหญ่ของพวกเขาก็อยู่ที่นั่น
แน่นอนว่าตอนเขาไปต้องเปลืองแรงหน่อย แต่อีกฝ่ายคงไม่ทำให้เขาต้องลำบากมาก อย่างไรเสียก็รู้กันอยู่แล้วว่าเขาแค่ไปหาประสบการณ์ที่นั่น ไม่ได้แช่อยู่นาน
แต่ก็คงไม่สบายนักหรอก เวลาแบบนี้จะมีลูกได้อย่างไรกัน
เหอเหมียนเหมียนถอนหายใจ “ฉันเห็นมี่มี่แล้วชอบมาก ตอนนี้พี่สะใภ้ใหญ่ก็ท้องแล้ว เรากลับไม่เอาลูก”
“ตอนแรกผมคิดว่าคุณยังไม่อยากมีลูกเร็วขนาดนั้นซะอีก” โจวเฉวี่ยนมองหล่อนพลางกล่าว
ภรรยาคนนี้ของเขาหัวสมัยใหม่สุด ๆ และเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง นิสัยคุณหนูเอาแต่ใจตามแบบแผนเลยล่ะ แถมยังรักสนุกด้วย จนเขาคิดว่าหล่อนยังไม่อยากลงหลักปักฐานขนาดนั้น
ไม่คิดเลยว่านี่คิดจะมีลูกแล้ว
“นั่นก็เพราะเป็นคุณไงคะ” เหอเหมียนเหมียนเอ่ย
หล่อนชอบสามีตัวเองมาก ที่จริงหล่อนไม่เคยคิดเลยว่าจะชอบผู้ชายคนหนึ่งมากขนาดนี้ และเพราะชอบมาก แล้วยังเห็นน้องสาวเขาน่ารักปานนั้น ทำให้หล่อนมองเขาแล้วมามองตัวเอง พันธุกรรมแบบนี้ถ้ามีลูกสักคนก็คงไม่แย่นักหรอก
ถึงอยากมีลูกเป็นก้อนน่ารัก ๆ แบบนั้นอย่างไรล่ะ
โจวเฉวี่ยนซึ้งกับคำพูดหล่อน เพราะเป็นเขา ถึงอยากมีลูกให้
ด้วยความซาบซึ้งนี่เอง เหอเหมียนเหมียนก็ขาสั่นนิดหน่อยขณะเดินกลับบ้าน…
มาพูดถึงฝั่งบ้านโจวบ้าง ตอนนี้หลินชิงเหอถึงขั้นเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้เด็ก ๆ ใส่แล้ว แต่จริง ๆ ไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไรมากนักหรอก
เพราะมีเสื้อผ้าเหลือจากสาวน้อยมี่มี่ ส่วนผ้าอ้อมทิ้งไปหมดแล้ว ค่อยตัดใหม่ก็ยังได้
ผ้าอ้อมมีปริมาณมากชนิดที่หนาเป็นตั้ง เสื้อผ้าก็ไม่น้อย มีแต่เนื้อผ้าดี ๆ ทั้งนั้น ดังนั้นไม่ต้องซื้อใหม่แล้ว ของพวกนี้มีพอให้ใส่ถึงตอนอายุ 1 ขวบเลยล่ะ
เสื้อผ้าเด็กไม่จำเป็นต้องถือมากว่าเป็นเสื้อของเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง พวกเขายังไม่รู้เรื่องเลย และที่หลินชิงเหอเคยเตรียมไว้ก็สามารถใส่ได้ทั้งสองเพศ แต่ที่โจวชิวไป๋ซื้อมานั้นมีแต่สีฉูดฉาด รสนิยมพวกผู้ชายนี่น่ากลัวจริง ๆ
หลินชิงเหอเตรียมของไว้เป็นกอง ทั้งหมดผ่านการซักจนสะอาดแล้วนำไปตากแห้งอย่างดี
สิ่งที่เธอเตรียมอยู่นั้นคุณแม่เวิงรู้หมด ตอนที่คุยโทรศัพท์กับเวิงเหม่ยเจี่ยจึงเอ่ยยิ้ม ๆ “ได้แม่สามีแบบนี้ อีกหน่อยลูกสบายแล้วล่ะ”
เวิงเหม่ยเจี่ยตอบยิ้ม ๆ “หนูสบายจริง ๆ ค่ะ อยู่บ้านมีแม่คอยตามใจ ไปอยู่บ้านสามีก็มีแม่สามีคอยเอ็นดูอีก”
คุณแม่เวิงหัวเราะตาม และกำชับเรื่องที่คนท้องต้องระวัง
ช่วงนี้ยังไม่ยุ่งมาก หลินชิงเหอจึงบอกให้เจ้าสามไปเยี่ยมที่กองทัพก่อน ซึ่งไม่ได้ไกลมากอยู่แล้ว นั่งรถไฟแค่ 2-3 วัน ขอแค่ไปดูแทนเธอหน่อย
เจ้าสามก็ไม่ว่าอะไร เขาหิ้วของที่แม่เขาเตรียมไว้แล้วนั่งรถไฟไปเลย
และบนรถไฟสายนี้ก็เกิดการโจรกรรมเล็ก ๆ ขึ้น แล้วเจ้าสามโจวกุยหลายเห็นกับตาว่ามีสาวน้อยคนหนึ่งจับเจ้าหัวขโมยทุ่มข้ามบ่าและกำราบขโมยได้อย่างช่ำชอง ทั้งยังหยิบกุญแจมือออกมาจากที่ไหนไม่รู้ล็อคอีกฝ่ายไว้
“รู้แต่แรกแล้วว่าพวกแกทำงานกันเป็นกลุ่ม ครั้งนี้ตั้งใจมาซุ่มจู่โจมพวกแก ยังกล้ามาขโมยเงินทองต่อหน้าต่อตาฉันอีกเหรอ?” สาวน้อยหน้าตาสะสวยแค่นเสียง
คนรอบ ๆ โห่ร้องไชโยกันหมด
โจวกุยหลายก็หันมองหล่อนเช่นกัน พอเห็นเขาก็แทบหลง สาวน้อยคนนี้สวยมากจริง ๆ
และสาวน้อยคนนั้นก็มองมาทางเขาเช่นกัน เมื่อกี้ทุกคนวิ่งพล่านเพื่อหนีจากคน ๆ นี้เต็มรถไฟไปหมด จนขโมยเกือบฉวยโอกาสที่รถไฟจอดเทียบสถานีหนีไปได้ มีเพียงคน ๆ นี้ที่ยื่นขาสกัดขโมย
ชายหนุ่มคนนี้นอกจากจะมีน้ำใจแล้ว ยังหน้าตาหล่อเหลามากอีกด้วย
“ขอบคุณนายมากนะ” สาวน้อยรู้สึกดีมากในใจ จึงพูดกับโจวกุยหลาย
โจวกุยหลายเอ่ย “แค่ยื่นขาเท่านั้นแหละครับ”
คนอื่นเขาพูดกันว่าแค่ยื่นมือ เขากลับพูดว่าแค่ยื่นขา สาวน้อยถึงกับหลุดขำ ขณะนั้นเพื่อนร่วมทางอีกสองคนของหล่อนก็มาถึง และจับคน ๆ นั้นลงรถไป
เด็กสาวตามลงไปด้วย โจวกุยหลายนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ทันได้ถามชื่อเลย ไปทั้งแบบนี้ออกจะน่าเสียดายนะ
แต่เด็กสาวไม่ได้ไปไวขนาดนั้น หล่อนแค่ลงไปกำชับสองสามประโยคแล้วขึ้นรถมาใหม่
“เธอชื่ออะไรเหรอ รู้จักกันหน่อยไหม? เมื่อกี้ดูจากฝีมือเธอแล้วเธอน่าจะเก่งมาก ๆ เลยนะ” โจวกุยหลายเอ่ยยิ้ม ๆ
“ฉันชื่อจงฉิง จบจากโรงเรียนตำรวจ ฝีมือฉันไม่ถือว่าดีหรอก ในหน่วยพวกเรามีคนชื่อหานสวี้เจี๋ย คนนั้นสิถึงจะเรียกว่าฝีมือดี แต่อารมณ์ร้ายสุด ๆ เลยล่ะ” จงฉิงเบ้ปากพูด
“หานสวี้เจี๋ย?” โจวกุยหลายผงะ “พี่ชายผมก็มีเพื่อนที่ชื่อหานสวี้เจี๋ย เรียนโรงเรียนตำรวจเหมือนกัน”
จงฉิงคิดไม่ถึงอย่างเห็นได้ชัด จึงตั้งคำถามเขา โจวกุยหลายลองนึกดู ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว แต่ยังพอบอกลักษณะคร่าว ๆ ได้
หน้าตาหล่อ ตัวสูง เรื่องพวกนี้โดยรวมไป แต่ที่เด่นชัดที่สุดคือหานสวี้เจี๋ยมีไฝที่คอ
แล้วก็พูดถึงตำแหน่งบ้านเกิดหานสวี้เจี๋ย จึงมั่นใจว่าถูกคน
“ที่แท้นายรู้จักหัวหน้าหน่วยหานจริง ๆ เหรอเนี่ย” จงฉิงเอ่ยยิ้ม ๆ
โจวกุยหลายพยักหน้าและคุยกับหล่อนต่อ จงฉิงตามรถไปเรื่อย ๆ และคุยกันไปทั้งทาง หล่อนต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของตู้รถอื่น ๆ จึงต้องลาดตระเวนเรื่อย ๆ
โจวกุยหลายเอาแอปเปิ้ลและกล้วยให้เธอจำนวนหนึ่ง จงฉิงรับไว้ ไม่ได้ปฏิเสธ
ตอนที่ลงจากรถไฟ โจวกุยหลายก็ให้เบอร์โทรศัพท์ที่บ้านกับหล่อนด้วย ตั้งใจจะฝากหล่อนช่วยเอาไปให้หานสวี้เจี๋ยหน่อย
“ฉันจะส่งต่อไปให้หัวหน้าหน่วยหานนะ นายวางใจได้เลย” จงฉิงกล่าว
“ช่างเป็นเด็กสาวที่น่ารักและตรงไปตรงมาดีจริง ๆ เลย แต่ทำไมต้องแซ่จงกันนะ?” หลังจากโจวกุยหลายลงรถไฟแล้ว เขาก็อุทานอย่างเหนื่อยใจ
เขาไม่ได้มัวเวิ่นเว้ออะไรมาก นั่งรถประจำทางอีกต่อเข้าอำเภอไป และต่อรถไฟอีกต่อจากอำเภอไปที่กองทัพ
เดินทางไป ๆ มา ๆ ระยะทางไม่ได้ใกล้เลย
………………………………………………………………………