ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน [更名为《冲喜娘子的锦绣田园》] - บทที่ 115 การตอบแทนของจ้าวเอ้อร์หลาง
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน [更名为《冲喜娘子的锦绣田园》]
- บทที่ 115 การตอบแทนของจ้าวเอ้อร์หลาง
บทที่ 115 การตอบแทนของจ้าวเอ้อร์หลาง
จ้าวเอ้อร์หลางพยักหน้าอย่างหนักแน่น “พี่ซิ่วเอ๋อ เช่นนั้นหลังจากนี้ข้าจะเอาฟืนมาให้บ้านพี่เยอะ ๆ เลยขอรับ!”
จางซิ่วเอ๋อมองจ้าวเอ้อร์หลางยิ้ม ๆ “แบบนี้สิถูก เพื่อนบ้านต้องมีให้มีรับ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันแบบนี้แหละ เอาล่ะ พวกเจ้าสองคนรีบไปขนของได้แล้ว”
ชุนเถาและจ้าวเอ้อร์หลางสองคนจึงพากันไปที่บ้านบัณฑิตจ้าว
ส่วนจางซิ่วเอ๋อนำของที่ซื้อไว้ออกมาจัดระเบียบ
นางคิดจะทำขาหมูตุ๋น แต่ก็รู้สึกว่ามันเลี่ยนเกินไป จึงตั้งใจจะทำตุ๋นถั่วฝักยาวด้วย
จางซิ่วเอ๋อนั่งเด็ดถั่วฝักยาว พอเด็ดเสร็จ ชุนเถากับจ้าวเอ้อร์หลางก็เดินทางไปกลับได้สองรอบแล้ว
เด็กสองคนนี้แบกของกลับมาแม้กระทั่งแป้งและข้าว
จางซิ่วเอ๋อตั้งใจจะหุงข้าว แต่หม้อที่บ้านมีไม่พอใช้จึงได้แต่ต้มข้าว
การต้มข้าวแตกต่างจากการหุงข้าวที่เห็นได้ทั่วไป อย่างแรกต้องเอาข้าวไปแช่น้ำ จากนั้นต้มน้ำในหม้อให้สุก แล้วเอาข้าวลงไปต้มในน้ำ แล้วจึงตักข้าวขึ้นมา
บ้านจางซิ่วเอ๋อไม่มีช้อนลวก แต่บ้านบัณฑิตจ้าวมีอยู่อันหนึ่งซึ่งบัณฑิตจ้าวซื้อติดบ้านไว้ก่อนหน้านี้ จางซิ่วเอ๋อจึงขอยืมมาใช้
หลังจากตักข้าวซึ่งที่จริงก็กึ่งสุกแล้วแถมยังดูดซับน้ำไปเต็มหน่วยขึ้นมา นางก็ใส่ไว้ในกะละมัง รอตอนผัดกับข้าวแค่คลุมม่านไผ่ไว้บนหม้อแล้วนึ่งก็เป็นอันกินได้
ข้าวที่หุงด้วยวิธีปกติจะเหนียวติดอยู่ด้วยกันและให้รสสัมผัสนุ่มกว่า แต่ข้าวที่ทำด้วยวิธีนี้กลับเด้งฟูกว่ามาก และเมล็ดข้าวแต่ละเม็ดไม่เหนียวติดกัน
เอาเป็นว่ามีดีกันคนละอย่าง
จางซิ่วเอ๋อคิดว่าอร่อยทั้งสองแบบ ที่เลือกทำวิธีนี้ก็เพื่อประหยัดเวลา
นางนำขาหมูที่ชำแหละเสร็จแล้วไปผัดอย่างช่ำชอง ไม่ลืมใส่น้ำตาลตอนผัดเพื่อเพิ่มสี
สุดท้ายเติมน้ำและวางข้าวไว้ด้านบน ปิดฝาหม้อ รอแค่ให้สุก
ระหว่างนี้จางซิ่วเอ๋อเตรียมถั่วฝักยาวไว้พร้อม
ไม่นานนักในลานบ้านก็มีกลิ่นหอมหวานของข้าวโชยออกมา และมีกลิ่นของเนื้อด้วย สองกลิ่นนี้ปนอยู่ด้วยกันไม่ต้องพูดถึงว่าจะชวนน้ำลายสอขนาดไหน
รอจนทั้งข้าวและขาหมูสุก จางซิ่วเอ๋อก็ใช้หม้อที่ทำขาหมูน้ำแดงตุ๋นถั่วฝักยาวต่อ
และในเวลานั้นเอง จ้าวเอ้อร์หลางก็พยุงบัณฑิตจ้าวค่อย ๆ เดินเข้ามา
ที่จริงบัณฑิตจ้าวไม่อยากมาเลย แต่เขาคิดว่าต่อให้ตัวเองไม่ไปจางซิ่วเอ๋อก็ต้องฝากของกินมาให้เขาอยู่ดี สู้ไปดูเสียเองดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะดูเหมือนเขาเป็นเฉกเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านที่กลัวบ้านผีสิงและกลัวจางซิ่วเอ๋อ
เรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านวันนี้บัณฑิตจ้าวฟังจากจ้าวเอ้อร์หลางมาแล้ว วันนี้เขามาเพราะอยากให้จางซิ่วเอ๋อรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะกลัวบ้านผีสิงหลังนี้ หรือแม้กระทั่งทำตัวเหินห่างกับนาง
ส่วนเรื่องที่จางซิ่วเอ๋อเป็นแม่ม่าย ส่วนเขาเป็นพ่อม่าย บัณฑิตจ้าวไม่ได้คิดอะไรมาก
เขารู้สึกว่าร่างที่ใกล้แตกสลายของตัวเองไม่มีผลกระทบอะไรกับจางซิ่วเอ๋อหรอก อีกอย่างเขาก็มองจางซิ่วเอ๋อเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง
ที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่ได้มาคนเดียว มีจ้าวเอ้อร์หลางและชุนเถาอยู่ด้วย
ถึงบัณฑิตจ้าวจะเป็นคนเคร่งในขนบธรรมเนียม แต่ยังไม่หัวโบราณขนาดที่หมดหนทางรักษา ไม่อย่างนั้นวันนี้ก็คงไม่มา
จางซิ่วเอ๋อวางกับข้าวไว้บนโต๊ะและเรียกให้พ่อลูกตระกูลจ้าวนั่งลง “รีบมานั่งเร็วเจ้าค่ะ เอ้อร์หลางเจ้าไปช่วยเก็บกวาดลานบ้านทำไม หญ้าที่ขึ้นรกในลานบ้านโดนเจ้าถอนจนไม่เหลือสักต้นแล้ว”
จางซิ่วเอ๋อนึกขำที่จ้าวเอ้อร์หลางจะหางานที่ตัวเองทำไหวทำตลอด จ้าวเอ้อร์หลางเป็นเด็กที่ซื่อจริง ๆ
กลัวเหลือเกินว่าคนอื่นจะไม่ให้งานเขาทำ
บัณฑิตจ้าวมองกับข้าวบนโต๊ะแล้วก็มีสารพัดความรู้สึกประเดประดังเข้ามาในใจ เขาไม่ได้กินอาหารดี ๆ มาเป็นปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าจางซิ่วเอ๋อจะเอาอาหารดี ๆ แบบนี้มาให้พวกเขากิน
จางซิ่วเอ๋อตักข้าวให้ทุกคนคนละถ้วย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ทุกคนอย่ามัวแต่ดู รีบกินเถอะเจ้าค่ะ”
สิ้นเสียงจางซิ่วเอ๋อไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น นางชะงักไปเล็กน้อย ไม่น่าจะมีใครมาบ้านตัวเองนะ?
พอหันกลับไป จางซิ่วเอ๋อก็เห็นท่านหมอเมิ่งกำลังเดินมาทางนี้
ท่านหมอเมิ่งเห็นคนเต็มลานบ้านแล้วชะงักนิดหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าบัณฑิตจ้าวอยู่ด้วย สายตาเขาฉายแววฉงนเล็กน้อย
จางซิ่วเอ๋อเห็นว่าเป็นท่านหมอเมิ่งก็มีใบหน้าเปื้อนยิ้มทันที “ข้าก็นึกว่าใคร? ที่แท้ก็ท่านอาเมิ่งนี่เอง! รีบเข้ามาเร็วเจ้าค่ะ! ท่านมาทันกินข้าวพอดี ชุนเถา ไปเอาถ้วยกับตะเกียบมาชุดหนึ่ง!”
“เจ้าค่ะ!” ชุนเถาเองก็ดีกับท่านหมอเมิ่งมาก นางรู้สึกว่าที่ตัวเองสลัดหลุดจากแม่เฒ่าจางได้ก็เป็นความดีความชอบของท่านหมอเมิ่งเสียส่วนใหญ่
“ท่านหมอเมิ่ง” บัณฑิตจ้าวเองก็ทักทาย
ท่านหมอเมิ่งยิ้มก่อนจะเอ่ยขึ้น “ที่แท้ก็จ้าวเซียนเชิงนี่เอง”
เมื่อก่อนบัณฑิตจ้าวเป็นอาจารย์สอนหนังสือ คนทั่วไปมักจะเรียกเขาว่าจ้าวเซียนเชิงอย่างนอบน้อม แต่ตอนนี้บัณฑิตจ้าวตกอับ ไม่ค่อยมีใครเรียกแบบนี้แล้ว
บัณฑิตจ้าวรู้สึกสับสนกับความรู้สึกที่ประเดประดังเข้ามา
ท่านหมอเมิ่งนั่งลงพลางอธิบาย “วันนี้มีพวกต้มตุ๋นมาที่หมู่บ้าน ข้ากลัวว่าเด็กสองคนจะตกใจก็เลยเข้ามาดูหน่อย”
บัณฑิตจ้าวพูดเก้อเขิน “ข้าพอจะได้ยินมาว่าท่านเป็นคนคลี่คลายสถานการณ์ให้ซิ่วเอ๋อ”
“เอ้อร์หลางกับพี่น้องซิ่วเอ๋อสนิทกัน เอาฟืนมาให้ซิ่วเอ๋อ ซิ่วเอ๋อก็เลยจะเลี้ยงข้าวข้าให้ได้น่ะ” บัณฑิตจ้าวเองก็อธิบายเหตุผลที่ตัวเองมาอยู่ที่นี่
สองคนนี้เป็นคนมีมารยาท รู้ว่าการที่ตัวเองมาอยู่ที่นี่ ในใจคนกันเองรู้อยู่แล้วว่าสง่าผ่าเผยไม่มีอะไรในกอไผ่ แต่ถ้าเจอคนนอกหรือคนนอกเอาไปคิดมาก อาจทำให้จางซิ่วเอ๋อลำบาก
ทั้งสองคนจึงพากันอธิบาย
สองคนนี้นิสัยดีกันทั้งคู่ และเป็นสุภาพบุรุษ จึงสื่อผ่านคำพูดว่าเข้าใจอีกฝ่าย
ท่านหมอเมิ่งมองบัณฑิตจ้าวพลางเอ่ย “สุขภาพท่านแย่ลงเรื่อย ๆ แล้วนะ สูตรยาที่ข้าบอกไปคราวก่อนท่านได้กินตามเวลาหรือไม่?”
ท่านหมอเมิ่งเป็นคนรักษาบัณฑิตจ้าว
ท่านหมอเมิ่งไม่มีทีท่าว่าจะปิดบังบัณฑิตจ้าว จึงบอกเลยว่าตอนนี้อาการของบัณฑิตจ้าวเป็นอย่างไร
บัณฑิตจ้าวเริ่มมีสีหน้าเก้อเขิน ยานั่นตกวันละ 3 เหรียญ เดือนหนึ่งเกือบร้อยเหรียญ เอ้อร์หลางพยายามเต็มที่แล้ว แต่ต่อให้ทั้งสองอดข้าวก็ไม่มีเงินกินยานั่นทุกวันอยู่ดี
บวกกับต่อให้มีเงินกินยา แต่กินข้าวไม่อิ่มอาการป่วยของเขาก็ไม่ดีขึ้นหรอก
ท่านหมอเมิ่งเห็นท่าทีแบบนี้ของบัณฑิตจ้าวก็เข้าใจทันทีว่าเพราะอะไร
จึงเอ่ยขึ้น “เอาเถอะ ข้าจะมาทุกครึ่งเดือนแล้วเอายาที่ท่านต้องการมาให้”
ที่จริงท่านหมอเมิ่งพยายามสั่งยาที่ถูกที่สุดและให้ผลใช้ได้กับบัณฑิตจ้าวแล้ว และไม่คิดค่ารักษาด้วย แต่ชีวิตความเป็นอยู่ที่ตระกูลจ้าวนั้นย่ำแย่เกินไป
……………………………………