ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน [更名为《冲喜娘子的锦绣田园》] - บทที่ 122 ตุ๋นของป่า
บทที่ 122 ตุ๋นของป่า
นางรีบเดินเร็วขึ้นและเอ่ย “ทำไมไม่เข้าไปล่ะ”
“ซานหยาอยู่ข้างใน นางบอกว่าถ้าเจ้ายังไม่กลับมา ใครมาก็ไม่เปิดประตูให้” บัณฑิตจ้าวอธิบาย
จางซิ่วเอ๋อฟังมาถึงตรงนี้ก็รีบอธิบาย “นางคนนี้เชื่อฟังมากไปหน่อย เดี๋ยวข้าจะต่อว่านางให้นะเจ้าคะ”
“ไม่ต้อง ข้าว่าซานหยาทำได้ดี ถ้ามีคนไม่ดีมา ฉวยโอกาสที่เจ้าไม่อยู่เข้าบ้านเจ้าจะทำอย่างไร” บัณฑิตจ้าวเข้าใจ
จางซิ่วเอ๋อตะโกนเข้าไปในประตู “ซานหยา พี่ ๆ กลับมาแล้ว เจ้ารีบเปิดประตูเร็ว”
ซานหยาถึงยอมเปิดประตู
บัณฑิตจ้าวถามด้วยความสงสัยอย่างอดไม่ได้ “กลอนประตูบ้านเจ้าซ่อมเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่? เมื่อวานตอนข้ามาเหมือนจะยังไม่ซ่อมเลยนะ”
จางซิ่วเอ๋อไม่รู้ว่าตัวเองจะอธิบายอย่างไรดี จึงได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ และบอกปัด “วันนี้ตื่นแต่เช้า เลยหาคนมาทำน่ะเจ้าค่ะ”
ดีที่บัณฑิตจ้าวถามไปอย่างนั้นเพื่อแสดงถึงความแปลกใจของตัวเองเฉย ๆ ส่วนจางซิ่วเอ๋อจ้างใคร ทำไมถึงไวขนาดนี้ เขาไม่ได้อยากรู้
จางซิ่วเอ๋อเห็นซานหยาแล้วบอกยิ้ม ๆ “ซานหยา หลังจากนี้ถ้าท่านอาจ้าวและเอ้อร์หลางมาเจ้าไม่ต้องระแวงขนาดนี้นะ”
บัณฑิตจ้าวสัมผัสได้ถึงความเชื่อใจจากจางซิ่วเอ๋อ รู้สึกอุ่นใจ
จางซิ่วเอ๋อกล่าวยิ้ม ๆ “ทุกคนคงหิวกันแล้วใช่ไหม ข้ากรอกข้าวลงหม้อก่อนแล้วพวกเราค่อยเริ่มเรียนนะเจ้าคะ”
จางซิ่วเอ๋อยกกระต่ายในมือขึ้นพลางเอ่ย “วันนี้เรากินกระต่ายตัวนี้แหละ”
จางซิ่วเอ๋อพูดจบ ขมวดคิ้วมองกระต่าย ถึงแม้กระต่ายตายแล้วแต่นางไม่อยากลอกหนังของกระต่ายตัวนี้ เรื่องนี้จะให้ทำนางก็ทำได้ แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรี พอนึกถึงเรื่องแบบนั้นปวดหัวอยู่พอควร
จ้าวเอ้อร์หลางมองทะลุความคิดของจางซิ่วเอ๋อ เขากล่าวยิ้ม ๆ “พี่ซิ่วเอ๋อ ข้าช่วยทำขอรับ”
พูดจบจ้าวเอ้อร์หลางก็วางฟืนที่ตัวเองเอามาลง และยื่นมือไปรับกระต่ายในมือจางซิ่วเอ๋อ
จ้าวเอ้อร์หลางไม่รู้สึกกลัวจริง ๆ เขาและบัณฑิตจ้าวใช้ชีวิตกันเพียงสองคน ตอนหิวจนแทบคลั่งมีอะไรที่ไม่เคยกินบ้าง
อย่าว่าแต่กระต่ายเลย ต่อให้เขาจับงูบนเขาได้ก็กล้าเอากลับมาลอกหนังแล้วกิน
จางซิ่วเอ๋อเห็นดังนั้นอดอุทานไม่ได้ว่าโชคดีที่มีจ้าวเอ้อร์หลาง
ไม่อย่างนั้นต่อให้นางได้กิน ก็ต้องรู้สึกมีปมในใจ
จ้าวเอ้อร์หลางช่วยทำความสะอาดกระต่าย ส่วนจางซิ่วเอ๋อเลือกผักที่เอากลับจากตระกูลโจวออกมา ถึงเนื้อจะอร่อย แต่จางซิ่วเอ๋อชอบให้มีทั้งเนื้อทั้งผัก ไม่อย่างนั้นกินเนื้อมากเกินไปจะเลี่ยนเอา
ข้าวดี ๆ ถือว่าแพงพอสมควรสำหรับจางซิ่วเอ๋อในตอนนี้ จางซิ่วเอ๋อจึงไม่คิดจะกินทุกวัน
เย็นวันนั้น จางซิ่วเอ๋อจึงนึ่งหมั่นโถว
มื้อเย็นมีกับข้าวทั้งหมดสองอย่างด้วยกัน นอกจากตุ๋นเนื้อกระต่ายแล้วยังมีผัดปวยเล้ง
บัณฑิตจ้าวเห็นอาหารเลิศรสขนาดนี้เกิดกระดากอายนิดหน่อย “ซิ่วเอ๋อ เจ้าทำกับข้าวไว้ดีเกินไปแล้ว อีกหน่อยเรากินอะไรง่าย ๆ กันเถอะ”
บัณฑิตจ้าวกลัวว่าที่จางซิ่วเอ๋อกินดีขนาดนี้เพราะเขาอยู่ด้วย
จางชุนเถายิ้มตาหยี “ท่านอาวางใจแล้วกินเถอะเจ้าคะ ปกติพี่ใหญ่ข้าทำแต่ของดี ตอนแรกข้าก็คิดว่าไม่ดี แต่พอชินแล้วก็ไม่มีอะไร……”
“มีอยู่คำหนึ่งที่พี่ใหญ่พูดถูก เรื่องเงินทองตอนเกิดเอามาด้วยไม่ได้ ตอนตายเอาไปด้วยไม่ได้ ที่กินลงท้องสิถึงจะเรียกว่ากำไร” จางชุนเถาทวนประโยคที่วันหนึ่งจางซิ่วเอ๋อพูดดักนาง
บัณฑิตจ้าวฟังแล้วอึ้งนิดหน่อย คงคิดไม่ถึงว่าจางซิ่วเอ๋ออายุแค่นี้ก็คิดได้ขนาดนี้
“เอ้อร์หลางกำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต ต้องกินเยอะ ๆ หน่อย ท่านอาจ้าวเองก็ต้องกินเยอะ ๆ พอร่างกายอาแข็งแรงขึ้น ถึงตอนนั้นจะได้ดูแลพวกเราอย่างไรล่ะเจ้าคะ” จางซิ่วเอ๋อกล่าวยิ้ม ๆ
บัณฑิตจ้าวพยักหน้าและเริ่มกินข้าว แต่เขากินอาหารที่เป็นผักมากกว่าอาหารที่เป็นเนื้อ
จางซิ่วเอ๋อเห็นแล้วไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี นึกในใจแค่ว่าเดี๋ยวพอกินข้าวด้วยกันนานวันเข้า สุดท้ายบัณฑิตจ้าวก็คุ้นชินแล้วจะได้ไม่ต้องเก้อเขินอยู่แบบนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไรบัณฑิตจ้าวก็ได้กินอิ่มที่บ้านจางซิ่วเอ๋อ
นี่เขาพยายามควบคุมสุดขีดแล้วนะ ถ้าไม่ควบคุมเขาต้องกินจนจุกแน่
ต่อให้เป็นผักที่จางซิ่วเอ๋อผัดยังอร่อยเป็นพิเศษ ไม่เหมือนที่บ้านบัณฑิตจ้าว นอกจากจะเสียดายไม่กล้าใส่น้ำมันแล้ว แม้แต่เกลือก็เสียดายไม่กล้าใส่
และฝีมือจ้าวเอ้อร์หลางนั้นจำกัด ปกติไม่ว่าที่บ้านมีอะไรเขาจะเอามาต้มอยู่ในหม้อเดียวกันทั้งหมด กินไปทั้งน้ำ
แค่กินอิ่มยังเป็นปัญหา สำหรับตระกูลจ้าวแล้ว การกินดีนับเป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อม
หลังกินอิ่มแล้ว บัณฑิตจ้าวจึงหยิบเอาอุปกรณ์ที่ตัวเองเอามาใช้เรียนหนังสือออกมา
เนื่องจากกระดาษและพู่กันแพงเกินไป บัณฑิตจ้าวเองก็ไม่มีของพวกนี้ เขามีเพียงหนังสือที่เก็บไว้นานจนเหลือง
แต่ด้วยความที่เมื่อก่อนเคยสอนจ้าวเอ้อร์หลางอ่านหนังสือ บัณฑิตจ้าวเคยตีกล่องไม้ที่ใส่ทรายได้ บรรจุทรายลงไปในนั้น แล้วใช้กิ่งไม้เขียนหนังสือบนนั้นได้ ใช้อย่างไรก็ไม่พังและไม่ต้องเสียเงิน
วันนี้บัณฑิตจ้าวและจ้าวเอ้อร์หลางจึงตีกล่องไม้อย่างนี้ออกมาสามกล่องอย่างเร่งด่วน เพื่อให้สามพี่น้องตระกูลจางใช้
มาถึงตอนนี้จางซานหยาถึงรู้ว่าตัวเองต้องเรียนหนังสือ
นางไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเด็กผู้หญิงแบบตนต้องเรียนหนังสือด้วย และพึมพำในใจว่าคนที่ต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนมีแต่เด็กผู้ชายไม่ใช่เหรอ
แต่นางไม่ได้ถามสิ่งที่สงสัยในใจออกมา ในสายตาจางซานหยา พี่ใหญ่และพี่รองให้นางทำอะไรนางทำให้ดีก็พอ อย่างไรเสียพี่สาวสองคนนี้ไม่ทำร้ายนางหรอก
ถ้าจางซิ่วเอ๋อรู้ว่าจางซานหยาเชื่อใจนางโดยไม่มีข้อแม้ใด ต้องซึ้งใจมากแน่ ๆ
จางซิ่วเอ๋อมองอุปกรณ์ที่บัณฑิตจ้าวเตรียม และรู้สึกว่าบัณฑิตจ้าวคิดได้รอบคอบจริง ๆ
นางเองไปสอบถามราคาสี่สิ่งล้ำค่าในห้องสมุดมาแล้ว
หากซื้อชุดที่ถูกที่สุดก็มีราคาถึง 3 ตำลึงเงิน และกระดาษและหมึกนั้นหมดไวมาก ตอนนี้จางซิ่วเอ๋ออยากซื้อก็ไม่มีเงินซื้อ
แต่จางซิ่วเอ๋อมีแผนในใจแล้วว่ารอให้อีกหน่อยมีเงินมากพอต้องซื้ออยู่ดี
การเขียนหนังสือด้วยกิ่งไม้ต้องไม่เหมือนกับการใช้พู่กันเขียนบนกระดาษเป็นแน่
วันนี้บัณฑิตจ้าวไปทบทวนหนังสือสำหรับผู้เริ่มต้นอีกครั้งเพื่อจะได้สอนพี่น้องตระกูลจางให้ดี และคิดไว้ดีแล้วว่าจะสอนพวกนางอย่างไร
สิ่งที่บัณฑิตจ้าวสอนสามพี่น้องเป็นอย่างแรกคือชื่อของพวกนาง
อักษรโบราณและอักษรที่จางซิ่วเอ๋อเรียนมาในยุคปัจจุบันมีจุดที่เหมือนกันอยู่ แต่ซับซ้อนกว่ามาก
บัณฑิตจ้าวเขียนชื่อของจางซิ่วเอ๋อเพียงครั้งเดียว จางซิ่วเอ๋อก็พอจำได้แล้ว
ส่วนการจรดตัวอักษรนั้น อย่างไรเสียจางซิ่วเอ๋อก็เป็นคนที่เคยเรียนมาก่อน การจรดจึงไม่บิดเบี้ยวไปมา หากใช้พู่กันจางซิ่วเอ๋ออาจจะเขียนได้ไม่สวยนัก แต่ถ้าใช้กิ่งไม้ อักษรของจางซิ่วเอ๋ออาจจะไม่ได้สวยมาก แต่ท้ายสุดยังดูเป็นตัวอักษรเรียบร้อยอยู่
“อาจารย์ ช่วยดูหน่อยเจ้าค่ะว่าถูกหรือไม่?” จางซิ่วเอ๋อเปลี่ยนไปเรียกบัณฑิตจ้าวว่าอาจารย์แล้ว แน่นอนว่าเฉพาะตอนที่เรียนหนังสือ ปกติเรียกอย่างไรก็ยังเรียกตามเดิม
……………………………………