ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน [更名为《冲喜娘子的锦绣田园》] - บทที่ 309 อันตราย
บทที่ 309 อันตราย
จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าเป็นไปได้สูงมาก
อย่างไรซะถ้าจะขายตัวเองไปเป็นสาวใช้ให้ตระกูลใหญ่ โอกาสถูกเปิดโปงสูงมาก
ถ้าขายก็ต้องจับนางไปขายในที่ที่นางไม่มีวันหนีรอดออกมาได้
หอนางโลมใหญ่ ๆ คงจะไม่รับรูปลักษณ์อย่างตัวเองหรอก
คงต้องเป็นเล้าหรือที่ลักลอบค้ามนุษย์กันนั่นแหละ
อย่างหอนางโลมหรือเล้าล้วนต้องได้รับการอนุมัติจากทางการทั้งนั้นถึงจะเปิดทำการได้อย่างถูกกฎหมาย ส่วนการลักลอบค้ามนุษย์นั้นเป็นสถานที่ที่คนจำนวนหนึ่งลักลอบตั้งขึ้น สถานที่แบบนี้มักจะถูกอำพรางไว้ และต่อให้สตรีเหล่านั้นตายก็ไม่มีใครสน
เพราะฉะนั้นการลักลอบค้ามนุษย์นั้นสยองยิ่งกว่าหอนางโลมและเล้า เรียกได้ว่าเป็นฝันร้ายของผู้หญิงเลยล่ะ
ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อกลัวเรื่องนี้ที่สุด
จางซิ่วเอ๋อถูกใครสักคนแบกไว้ ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมาจางซิ่วเอ๋อก็ได้ยินเสียงเปิดประตู ก่อนที่นางจะโดนโยนลงพื้น
จากนั้นถุงผ้าบนหัวนางก็ถูกดึงออกไป
ผู้ชายที่ฟันเหลืองเต็มปากมองจางซิ่วเอ๋ออย่างรำคาญใจ
จางซิ่วเอ๋อลืมตาขึ้นมองชายคนนั้นพลางกล่าว “เจ้าเป็นใครกันแน่ ทำไมต้องจับตัวข้าด้วย”
ชายคนนั้นมองจางซิ่วเอ๋ออย่างพิจารณา ก่อนจะพูดอย่างดูแคลน “ข้านึกว่าหนนี้ให้ข้าจัดคนสวย ๆ ที่แท้ก็สภาพแบบเจ้าหรอกรึ?”
จางซิ่วเอ๋อมองชายคนนี้อย่างระแวง ถ้าชายคนนี้จะทำอะไร นางจะทำอย่างไร
คิดมาถึงตรงนี้จางซิ่วเอ๋ออดสิ้นหวังไม่ได้
ในฐานะคนที่ให้ความสำคัญกับชีวิตตัวเอง จางซิ่วเอ๋อต้องยอมรับด้วยความละอายว่าต่อให้ชายคนนี้ปฏิบัติต่อตนอย่างเลวร้าย สิ่งแรกที่นางนึกถึงไม่ใช่การปกป้องพรหมจรรย์ของตัวเองไว้ แต่ต้องรักษาชีวิตของตัวเอง
มีชีวิตอยู่อย่างน้อยยังแก้แค้นได้ แต่ถ้าไร้ชีวิตแล้ว ก็กลายเป็นคนที่รักเราต้องเจ็บปวด ส่วนคนที่เกลียดเราสะใจน่ะสิ
นางแตกต่างจากคนยุคโบราณที่เกิดและเติบโตในสมัยนี้
สำหรับคนยุคโบราณ พรหมจรรย์เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด หากหญิงใดเสียพรหมจรรย์ไปสู้ตายไปเลยยังจะดีกว่า
“เจ้าจะทำอะไรกันแน่” จางซิ่วเอ๋อถาม
จางซิ่วเอ๋อไม่ได้ร้องไห้ เวลานี้ร้องห่มร้องไห้ไปก็เปล่าประโยชน์ มีเวลาทำตัวอ่อนแอสู้คิดหาทางหนีดีกว่า
“แม่นาง ในเมื่อเจ้าอยู่ในมือข้าแล้ว ข้าก็ไม่กลัวว่าเจ้าจะรู้” ชายวัยกลางคนคลี่ยิ้มเผยให้เห็นฟันเหลืองทั้งปาก
เขาสวมชุดผ้าหยาบ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนมีฐานะอะไร
ที่ที่นางอยู่ตอนนี้เป็นบ้านหลังเก่า ๆ หากเงยหน้าสามารถมองเห็นแสงสลัว ๆ จากท้องฟ้าผ่านแผ่นอิฐแตก ๆ ได้
เวลานี้ฟ้ามืดสนิท จางซิ่วเอ๋อเห็นแสงสว่างเพียงรำไรเท่านั้น
ในห้องมีตะเกียงน้ำมันอยู่หนึ่งดวง บนนั้นเต็มไปด้วยฝุ่น
ในห้องมีโต๊ะแค่ตัวเดียวและมีหญ้ารก ๆ ขึ้นอยู่ ไม่มีสิ่งใดที่ดูใช้ได้เลย
จางซิ่วเอ๋อปริปากถาม “เจ้าว่ามาซิว่าจับตัวข้ามาทำไม”
“จะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าโชคไม่ดี มาตกอยู่ในมือข้า เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะขายเจ้าให้ได้ราคางามเลยล่ะ” ชายวัยกลางคนยิ้มกว้างขณะที่พูด
หน้าของเขาเป็นสี่เหลี่ยม มีรอยฝ้ากระดำ ๆ เวลายิ้มแล้วรู้สึกไม่ดีเลย
เขาขยับเข้ามาและยื่นมือมาจับหน้าจางซิ่วเอ๋อ
จางซิ่วเอ๋อรีบถอยไปด้านหลัง
“แหม แม่นาง เจ้ากลัวหรือ? เจ้าแกล้งทำตัวเป็นหญิงรักศักดิ์ศรีไปทำไม ข้าแค่แตะตัวเจ้าเท่านั้น เจ้ามีสัมพันธ์กับชายหลายคนในหมู่บ้านของเจ้าไม่ใช่รึ?” ชายคนนั้นพูดแล้วก็บีบคางจางซิ่วเอ๋ออย่างอดไม่ได้
เนื่องจากใกล้กัน จางซิ่วเอ๋อจึงเห็นฟันเหลือง ๆ ของเขาชัดยิ่งกว่าเดิม ดูเหมือนเขาเพิ่งกินเนื้อมา มีเศษเนื้อติดตามไรฟันด้วย ทำให้จางซิ่วเอ๋อแทบอ้วก
จางซิ่วเอ๋อมองคน ๆ นั้นและเอ่ยขึ้น “ข้าขอเตือนเจ้านะ อย่าได้ผลีผลามทำอะไร”
“เก่งกล้าดีนี่ แต่ข้าชอบความดุดันเช่นนี้ของเจ้า อย่างไรซะก็ต้องขายเจ้า ขอใช้พลาง ๆ ไปก่อนก็คงไม่เป็นอะไร” ชายวัยกลางคนมองจางซิ่วเอ๋ออย่างหื่นกาม
จางซิ่วเอ๋อรู้ผ่านคำพูดของคนคนนี้แล้วว่าเขาต้องรู้แน่นอนว่าตัวเองเป็นใคร
มิฉะนั้นเมื่อกี้คงไม่พูดแบบนั้น
เช่นนี้จางซิ่วเอ๋อก็มั่นใจแล้วว่าที่คนคนนี้จับตัวนางมาไม่ใช่เพราะมาเจอตนพอดี แต่เพ่งเล็งนางด้วยจุดประสงค์บางอย่าง
ขณะนั้นจางซิ่วเอ๋อตั้งสติให้มั่นเพื่อให้ตัวเองไม่ดูแตกตื่นนัก ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าอย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร”
ชายวัยกลายคนมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาคลายมือจากคางของจางซิ่วเอ๋อ และถามด้วยสายตาวูบไหว “เจ้ารู้อะไรบ้าง?”
ถึงแม้ชายคนนี้จะดูดุร้าย แต่ดูจะไม่ค่อยมีปัญญาเท่าไหร่
จางซิ่วเอ๋อแค่ลวงนิดหน่อยก็รู้จากท่าทีของเขาแล้วว่าตัวเองเดาถูก
จางซิ่วเอ๋อกวาดสายตามองและกล่าว “แก้แค้นแทนคนอื่นล่ะสิ ไม่รู้ว่าคนคนนั้นให้ผลประโยชน์อะไรกับเจ้าบ้าง ไหนเจ้าลองบอกมาซิ ขอเพียงเจ้าปล่อยข้าไป ข้าจะให้ผลประโยชน์เจ้าเป็นสองเท่า”
ชายวัยกลางคนนั้นได้ยินแล้วลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “ข้าจะบอกให้นะ เจ้าอย่ามาเล่นตุกติก ถ้าข้าปล่อยเจ้าไปนอกจากเจ้าจะไม่ให้ผลประโยชน์อะไรกับข้าแล้ว จะส่งข้าให้ทางการอีกด้วย”
จางซิ่วเอ๋อหัวเราะเย็น ๆ ในใจ ดูท่าเขาจะไม่ได้โง่ขนาดนั้น
ใช่แล้ว ต่อให้คนคนนี้ปล่อยนางไป นางก็ไม่ยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ หรอก
บางทีทำแบบนี้อาจจะดูไม่มีความน่าเชื่อถือ แต่จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องมีความน่าเชื่อถือกับคนเช่นนี้
หรือจะเมินเฉยต่อเขาและปล่อยให้เขาลงมือกับหญิงสาวคนอื่นต่อรึ? หรือกระทั่งอาจจะใช้เรื่องนี้ข่มขู่นางต่อไป
แน่นอนว่าจางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าถ้าเป็นไปได้ ไม่จำเป็นต้องให้ทางการจัดการเรื่องนี้หรอก ถ้าทางการรู้ก็เท่ากับรู้กันทั่ว ต่อให้นางไม่ได้โดนชายวัยกลางคนผู้นี้ทำอะไร คนในหมู่บ้านก็คงพูดครหาไปเรื่อย
จางซิ่วเอ๋อคิดแบบนี้ในใจ แต่แสดงออกทางสีหน้าไม่ได้เด็ดขาด
จางซิ่วเอ๋อมองคนคนนั้นและเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าจะทำแบบนั้นได้อย่างไรเล่า ขืนข้าพูดออกไปแล้วจะมีผลดีอะไรกับข้า อย่างมากก็แค่ประหยัดเงินได้นิดหน่อย แต่…ชื่อเสียงของข้าคงเสียไปโดยสิ้นเชิง”
“ดูไม่ออกเลยนะว่าเจ้าห่วงชื่อเสียงตัวเองด้วย” ชายวัยกลายคนคลี่ยิ้มและอุทาน
จางซิ่วเอ๋อถอนหายใจ พยายามทำให้ตัวเองดูบอบบาง “อย่างไรซะข้าก็เป็นผู้หญิง ย่อมหวังว่าตัวเองจะมีชื่อเสียงที่ดี ถ้าใครรู้เข้าว่าข้าเคยถูกจับตัวไป หลังจากนี้ข้าจะมีที่ยืนในหมู่บ้านต่อไปได้อย่างไร”
สิ่งที่จางซิ่วเอ๋อพูดมาสมเหตุสมผล