ที่แท้….ฉันเป็นลูกเศรษฐี! - ตอนที่ 539
บทที่538 คำทำนายเกิดขึ้นอีกครั้ง
อยู่ในกลางหุบเขาที่มีต้นไม้ขึ้นอย่างหนักแน่น
ในกลางหุบเขาปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายของพิษนาๆชนิด เป็นป่ารกชื่นที่มืดมนมาก ช่างหวาดผวายิ่งนัก
ฉินหลานโดดเดี่ยวเพียงลำพังอยู่ในหุบเขา เธอรู้สึกหวาดกลัวเหลือเกิน
เพราะที่นี่เหมือนจะไม่มีคนเลย
แต่ว่า เธอเดินทะลุผ่านกลางหุบเขาจุดหนึ่งไปเห็นท้องฟ้าที่สดใสและอากาศที่บริสุทธิ์ปลอดโปร่ง
ตรงหน้ามีลำธารสายหนึ่ง สามารถได้ยินเสียงสายน้ำไหลรินอย่างชัดเจน
และข้างๆลำธารมีหญิงสาวสวมชุดขาวยืนอยู่ตรงนั้น
ในสิ่งแวดล้อมที่เปล่าเปลี่ยวไร้ซึ่งผู้คน เมื่อเห็นสาวชุดขาวผมยาวสยาย เป็นใครก็คงรู้สึกกลัวเป็นเรื่องธรรดม
“คุณ……คุณคือใคร?”
ฉินหลานเห็นเธอหันหลังยืนให้ตน จึงถามด้วยเสียงเบา
“ช่วยฉันด้วย มีเพียงคุณที่จะสามารถพาเขามาช่วยฉันได้!”
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นอย่างโศกเศร้า
“ใครช่วยคุณได้นะ?”
“ช่วยฉันด้วย มีเพียงคุณที่จะสามารถพาเขามาช่วยฉันได้!”
หญิงสาวพูดด้วยเสียงสะอื้นอีกครั้ง
จากนั้นฉินหลานก็เห็นเธอค่อยๆหันหน้ามามอง
ฉินหลานจ้องมองตาค้าง
แต่กลับเห็นดวงตาทั้งคู่มีเลือดไหลรินและมีใบหน้าที่ซีดขาว
“หา!”
ฉินหลานตกใจจนกรีดร้องเสียงดัง
“เป็นอะไรเหรอพี่หลาน?”
ข้างหูเป็นเสียงเฉินเกอส่งมาอย่างเป็นห่วง
ทำให้ฉินหลานค่อยๆได้สติตื่นขึ้นมา
ฉินหลานรีบเข้ากอดเฉินเกอ หัวใจเต้นเร็วมากๆ
“ฝันร้ายเหรอ?”
เฉินเกอถาม
“อืม เป็นฝันที่น่าสะพรึงกลัวมาก ฉันฝันเห็นฉันวิ่งเข้าไปในหุบเขาลี้ลับที่มืดมนแห่งหนึ่ง ที่นั่นไม่มีคนเลย แต่สุดท้าย กลับเห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่มีเลือดเต็มหน้า เธอบอกว่าให้ไปช่วยเธอด้วย!”
ฉินหลานรีบเล่าเรื่องราวในฝันร้าย
“อาจเป็นเพราะช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย คุณคงเหนื่อยมากพี่หลาน อีกนานกว่าจะสว่าง คุณพักผ่อนต่ออีกสักพักนะ มีผมอยู่ด้วย ไม่มีอะไรหรอก!”
เฉินเกอพูดพลางส่ายหัว
“ฉันนอนไม่หลับ ตั้งแต่ที่เห็นรูปภาพหวูหมิงฉันก็รู้สึกไม่สบายใจเลย รู้สึกว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้น ยังมีอีกเสี่ยวเกอ ตอนนี้ฉันยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าแผ่นหลังของหญิงสาวเหมือนคนคนหนึ่ง!”
“เหมือนคน?”
“ใช่ ฉันเคยบอกกับคุณแล้วว่า ฉันเห็นในรูปภาพหวูหมิงมีรูปปั้นหินหญิงสาว ร่างเธอถูกคนตีจนหัก และรูปปั้นหินนั้นเหมือนหญิงชุดขาวในฝันมาก เหมือนมากเลย!”
ฉินหลานตกใจจนหน้าแดง
“ไม่เป็นไรแล้ว มันปกติ คุณอาจจะถูกรูปภาพหวูหมิงทำให้เสียขวัญ พักผ่อนอีกสักครู่เถอะ!”
เฉินเกอปลอบประโลม จากนั้นประคองตัวฉินหลานไปนอนบนเตียง
และเฉินเกอก็ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
พอฟ้าสว่าง ทั้งสองต่างลุกขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวัน
“คุณชาย ท่านปู่สั่งมาว่าเช้าวันนี้ คนทั้งตระกูลล้างหน้าทำความสะอาดเสร็จก็ไปดูภาพสุริยันอีกครั้งหนึ่ง คุณนายน้อยก็ต้องไปด้วยครับ!”
บัดนี้ มีคนรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาพูด
“ผมรู้แล้ว!”
เฉินเกอพยักหน้า
คุณปู่เห็นความสำคัญของภาพสุริยันมาก ตั้งแต่เมื่อวานเป็นต้นมา คุณปู่ให้คนทั้งตระกูลไปศึกษาดูภาพนั้น
เพราะความสามารถของคนคนหนึ่งนั้นมีจำกัด และคนมากมายทั้งตระกูลมารวมตัวกันศึกษาก็คงได้รับความคิดเห็นที่ลึกล้ำมากมาย
เฉินเกอเข้าใจดี คุณปู่เป็นกังวลเรื่องคำสาปแช่งของภาพสุริยันที่ทำนายไว้ว่า ตระกูลเฉินต้องดับสูญ
ดังนั้นจึงได้เตรียมตัวรับมืออยู่ตลอดเวลา
ในเวลาเช้าที่สดใส คนทั้งตระกูลเฉินได้รวมตัวกันอยู่ในห้องลับขนาดใหญ่
เฉินเกอก็ตามพี่หลานเข้าไปด้วย
ห้องลับเงียบสงบเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งเด็กวัยสามขวบก็ศึกษาทำความเข้าใจอย่างสงบ
พวกคุณปู่ตั้งใจศึกษาตั้งนานแล้ว
เฉินเกอดึงตัวพี่หลานไปนั่งข้างๆ
“พี่หลาน อันนี่คือภาพสุริยันเป็นมรดกตกทอดประจำตระกูลเฉิน ในเมื่อคุณปู่ให้คุณมาศึกษาดู ถ้างั้นคุณก็ลองดูๆนะ!”
เฉินเกอกระซิบ
“อืม!”
ฉินหลานพยักหน้าแรงๆ
พูดตามความจริงภาพสุริยันนั้นมีจุดรั่วมาก ดูอะไรไม่ออกเลย
แต่ฉินหลานไม่เป็นอย่างนั้น มีความคิดอยู่ในหัวมากมาย
เพราะเธอสังเกตเห็นว่าเสี่ยวเกอค่อยๆยอมรับตัวเธอแล้ว ซึ่งมันเป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัย
สำหรับเรื่องอื่น มันไม่มีความสำคัญต่อฉินหลาน
เแต่เห็นเฉินเกอเริ่มสังเกตดูอย่างตั้งใจ
ฉินหลานจึงค่อยๆขยับตัวเข้าไปใกล้เฉินเกอ เธอจึงเงยหน้าไปดูบ้าง
เมื่อเก็บความคิดฟุ้งซ่านไว้ ความกระตือรือร้นของคนก็จะรวบรวมได้สูงมาก
ฉินหลานก็เป็นเช่นนั้น
“หืม?”
บัดนี้ ฉินหลานขมวดคิ้วขึ้นมากะทันหัน
เธอนั่งตัวตรง แววตามีความหวาดผวาซุกซ่อนอยู่
“ไม่นะ!ไม่นะ!!!”
ทันใดนั้น ฉินหลานเอามือแตะศีรษะของตนแล้วตะโกนด้วยความบ้าบิ่น
ภาพที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ทุกคนต้องสะดุ้งตกใจ
“พี่หลานคุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
เฉินเกอกล่าว
“อะล๋าน หนูเป็นอะไรเหรอ?”
บัดนี้เฉินเตี๋ยนชางก็ลุกขึ้นยืน
เดินมาหาฉินหลาน
ฉินหลานชี้ภาพสุริยันด้วยความตื่นตระหนกตกใจ“หนูเห็น……หนูเห็น……”
เธอตกใจจนพูดไม่ออก
เฉินเตี๋ยนชางกับเฉินเกอ สบตากัน
ปู่หลานพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “คุณเห็นอะไร?”
ฉินหลานมองเฉินเกอ “ฉันเห็น……เสี่ยวเกอถูกคนฆ่าตาย!!!”
เธอพูดจนตกใจร้องไห้ออกมา
“ถูกคนฆ่า?เป็นยังไง อะล๋านหนูอย่าเพิ่งเป็นกังวลไป พูดสิ่งที่หนูเห็นให้หมดเลย!”
เฉินเตี๋ยนชางถาม
พูดตามความเป็นจริง ครั้งแรกที่เขาเห็นฉินหลานก็รู้สึกว่าหลานรักของตนดีมากเลย
แน่นอนว่าไม่ได้หมายถึงหน้าตาและราศีที่มีอยู่ในตัว
แต่เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง
แต่คิดไม่ถึงว่าหลานสะใภ้ของตนจะสามารถเข้าถึงแก่นแท้ของภาพสุริยัน
ดังนั้น ฉินหลานจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เห็นเมื่อสักครู่นี้ให้ฟัง
เมื่อกี้……
ตอนที่ฉินหลานดูภาพสุริยัน ภาพสุริยันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน
ปรากฏสถานที่ที่ไม่คุ้นตาขึ้น
เป็นด้านในถ้ำที่มองเห็นท้องฟ้าได้
ด้านในถ้ำ มีแท่นหินสูงๆอันหนึ่ง
สายน้ำจากภูเขาไหลริน ส่งเสียงแปลกพิลึก
มีหญิงชุดขาวคนหนึ่งกำลังปีนคลานไปที่แท่นหินตรงหน้า
และบนแท่นหิน ถูกลากด้วยโซ่ขนาดใหญ่ห้าเส้นอย่างมั่นคง
มีหลายคนสวมหน้ากากที่ดุร้ายไว้ กำลังลากโซ่ทั้งห้าเส้นไปยังทิศทางต่างๆ
และคนถูกลากโซ่ผู้นี้ไม่ใช่คนอื่น แต่คือเฉินเกอ!
เมื่อเสี่ยวเกอถูกลากโซ่ จึงร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด
ไม่นะ!
ฉินหลานคิดจะไปช่วยเฉินเกอสุดกำลัง
แต่พบว่าตัวเองขยับเขยื้อนไม่ได้
กึก กึก กึก!
จากเสียงที่น่าสะพรึงกลัว ร่างกายของเสี่ยวเกอก็ถูกลากดึงแตกเป็นชิ้นๆ เลือดสดๆได้พุ่งออกมาอย่างไม่ขาดสาย!
ฉินหลานบรรยายเหตุการณ์
ก็ร้องไห้ฟูมฟายจนเสียงแหกแห้ง
“มันเป็นไปได้อย่างไร อะล๋านหนูแน่ใจนะว่าเป็นเสี่ยวเกอ?”
เฉินจิ้นตงพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ส่วนเฉินเกอก็มีสีหน้าเคร่งขรึม
แม้กระทั่งสีหน้าของเฉินเตี๋ยนชางก็แย่มาก
“ฉันคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หญิงชุดขาวคนนั้น เช้าตรู่วันนี้ฉันเพิ่งจะฝันถึง ตอนนี้ก็มาเห็นเธอคนนี้อีก ทำไมบังเอิญอย่างนี้!”
ฉินหลานสะบัดผมตัวเอง
“ภาพสุริยันไม่เคยหลอกคน!”
เฉินเตี๋ยนชางพูดอย่างกังวล
“นี่น่าจะเป็นคำทำนายที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า เสี่ยวเกอจะถูกคนอื่นดึงร่างแยกเป็นชิ้นๆจนตาย!!!และที่สำคัญ เสี่ยวเกอราวกับไม่มีพละกำลังต่อต้านเลย!”
เฉินเตี๋ยนชางกล่าวบทที่ 539 ความจริง
“อะล๋าน หนูรวบรวมสมาธิแล้วลองดูใหม่อีกครั้งสิ ดูว่ายังเป็นภาพเดิมอยู่หรือเปล่า?”
เฉินเตี๋ยนชางรีบกล่าว
ฉินหลานพยักหน้าแรงๆ
บัดนี้ เธอมองไปยังภาพสุริยัน
เธอขมวดคิ้วแน่น
เอามือปิดปากแล้วพยักหน้า“เหมือนกันทุกอย่าง ห้าคนนั้นมีท่าทางที่อำมหิตโหดเหี้ยมเหลือเกิน หนูดูต่อไม่ไหวแล้วค่ะ! คุณปู่ช่วยเสี่ยวเกอด้วยนะคะ!”
ฉินหลานพูดด้วยเสียงร้องไห้
“คุณพ่อครับ คำทำนายของภาพสุริยันเคยทำนายผิดบ้างไหมครับ ความสามารถของเสี่ยวเกอในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เป็นไปได้ยังไงครับ?”
เฉินจิ้นตงก็กล่าว
เฉินเตี๋ยนชางส่ายหัว“ภาพสุริยันไม่เคยหลอกคน มันทำนายว่าเสี่ยวเกอโดนฉีกร่างตาย มันก็จะเป็นอย่างนั้น แต่เป็นเพราะอะไร?และเป็นใครกัน?”
บัดนี้ทุกคนต่างนิ่งเงียบ
ถึงแม้ภาพสุริยันจะทำนายว่าตนจะตายอย่างอนาถ ในใจเฉินเกอก็เกิดความเจ็บปวดขึ้นมา
แต่เขาไม่อยากให้คนในครอบครัวต้องเจ็บปวดเหมือนเขา
“ฮาฮา คุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่พี่สาว และพี่หลาน พวกคุณอย่าเพิ่งกังวล ตอนนี้ผมยังดีๆอยู่เลย และอีกอย่างผมบรรลุถึงขั้นปรมาจารย์แล้ว ถึงแม้จะมีคนเก่งกว่าผมอยู่บนโลกนี้ แต่คิดจะฆ่าผมนั้นมันไม่ง่ายหรอก!”
เฉินเกอยิ้มแห้งๆ
เสี่ยวเกอ ปู่รู้ว่าหลานกำลังคิดอะไรอยู่ ถึงแม้ตอนนี้หลานจะเก่งเกินนักฝึกวิทยายุทธกำลังภายในขั้นสูงเข้าสู่ระดับปรมาจารย์แล้ว แต่ยังไม่ถือว่าเป็นปรมาจารย์เต็มตัว ปู่คาดคะเนว่าน่าจะถึงปรมาจารย์ครึ่งระดับแล้ว ยังห่างจากระดับปรมาจารย์อีกครึ่งก้าวนะ!”
“ปรมาจารย์ครึ่งตัว?”
“ใช่แล้ว!ถ้าเจอผู้มาทำร้ายเป็นถึงขั้นสุดยอดปรมาจารย์ หลานก็ยังคงไม่สามารถรับมือได้ ถึงแม้ปรมาจารย์ครึ่งตัวก็ถือว่าเป็นปรมาจารย์แล้ว แต่ถ้าเทียบกับปรมาจารย์ขนานแท้ก็ยังห่างกันอยู่มากเลย!”
เฉินเตี๋ยนชางกล่าว
“แล้วคุณพ่อครับ หรือพวกเราได้แต่มองกลุ่มคนสวมหน้ากากที่แสนจะลึกลับมาทำร้ายเสี่ยวเกอเหรอครับ?น่าจะต้องเตรียมวิธีรับมือนะครับ?”
เฉินจิ้นตงพูดอย่างกังวลใจ
“ไม่แน่นอน ขอแค่มีความหวังเพียงน้อยนิด พวกเราก็ต้องไปลองทำดู ช่วงนี้มีเรื่องมากมาย ปู่รู้สึกว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ อาจจะเกี่ยวพันกับเรื่องป้ายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์!”
เฉินเตี๋ยนชางขมวดคิ้ว
“ป้ายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์?”
เฉินเกอถาม
“จิ้นตง ลูกพาคนอื่นออกไปก่อน พ่อมีเรื่องจะพูดกับเสี่ยวเกอ!”
เฉินเตี๋ยนชางกล่าว
ทุกคนออกไปอย่างรวดเร็ว
“คุณปู่ป้ายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์คืออะไรครับ?มันจะมีเรื่องอะไรครับ?ทำไมผมไม่เคยได้ยินท่านพูดถึงเลยครับ?”
เฉินเกอถามอย่างสงสัย
“หลานไปที่หลงเจียงไม่นาน ปู่ก็ได้รับป้ายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่เล่าขานในตำนาน ป้ายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ตามความเข้าใจของปู่คือวันที่ใช้เปิดประตูน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ มีฝ่ายอิทธิพลฝ่ายหนึ่ง เชื้อเชิญเหล่าปรมาจารย์ทั่วโลกให้ไปร่วมแข่งชิงน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ตำนานเล่าขานว่าดื่มน้ำน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว สามารถอยู่ยงคงกระพัน!”
เฉินเตี๋ยนชางหยุดชะงัก จากนั้นก็พูดต่อว่า
“งานนัดหมายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์สามสิบปีมีจัดหนึ่งครั้ง แต่เหมือนจนถึงตอนนี้ ไม่เคยมีใครได้น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์มาครอบครองเลย เพราะคนที่กลับจากร่วมงานนัดหมายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่หายสาบสูญ ก็จะกลายเป็นคนบ้าๆบอๆ ไม่นานก็จะลาโลกไป!”
“ตระกูลโม่พ่อของโม่ชางหลง ได้ยินว่าเคยเข้าร่วมงานนัดหมายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ หลังจากกลับมาก็มีชีวิตอยู่ต่อไม่ถึงหนึ่งปี สิ่งนี้ก็เป็นปริศนาของตระกูลโม่เหมือนกัน!”
“ในเวลาเดียวกันก็เป็นปริศนาของผู้บรรลุถึงขั้นปรมาจารย์ด้วย!”
เฉินเตี๋ยนชางกล่าว
“ปรมาจารย์ถือว่าเป็นยอดฝีมือที่สุดและมีอยู่น้อยมากแล้ว ทำไมยังมีอำนาจใหญ่กว่าขนาดนี้ สามารถเรียกปรมาจารย์ทั่วโลกให้ไปร่วมด้วยได้ครับ?”
“ใช่แล้ว ไม่เคยเข้าร่วมงานนัดหมายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่มีใครรู้ความจริงเรื่องนี้!”
“แต่ว่าเสี่ยวเกอ ปู่ให้หลานอยู่ต่อ เพราะยังมีเบาะแสสำคัญที่จะบอกให้หลายนรู้!”
“อะไรเหรอครับ?”
“ปู่รู้ว่าหลานได้สืบเรื่องไท่หยางเหมิงมาโดยตลอด ศิลาจารึกไท่หยางเหมิงที่ขุดค้นพบและได้วาดแผนที่ไว้ และสถานที่ที่ป้ายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ได้บรรยายบอกปู่รู้สึกว่าทั้งสองเหมือนกันมาก จึงอยากจะหารือกับหลานว่าไท่หยางเหมิงกับงานนัดหมายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์มีความเกี่ยวพันเป็นอย่างมากหรือเปล่า?”
“ได้ยินคุณปู่พูดอย่างนี้ เหมือนจะเชื่อมโยงกันอยู่ครับ ถ้าไปที่งานนัดหมายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ อาจจะไขปริศนาของไท่หยางเหมิงที่แสนจะลึกล้ำได้ครับ!”
ถึงแม้จะรู้ว่าคนที่ไปเข้าร่วมงานนัดหมายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ บางคนไม่สามารถกลับมาได้ และถึงบางคนจะกลับมาก็จะเป็นเอ๋อไปเลย
แต่ว่าเฉินเกอก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
ไท่หยางเหมิงมีตัวตนอยู่อย่างไร?พวกเขาเป็นใครกันแน่?
ลำบากลำบนมาหนึ่งปีเต็มๆ
ในที่สุดก็สามารถได้รับคำตอบแล้วหรือไม่?
และตอนนี้เฉินเกอก็เข้าใจจนได้ หนึ่งปีก่อนตนได้ถามฉินโป๋ถึงเรื่องไท่หยางเหมิง
ทำไมเขาถึงตอบว่าอยากจะสืบค้นเรื่องของไท่หยางเหมิง ทางที่ดีหักคอตัวเองฆ่าตัวตายเสียจะดีกว่า
เพราะมีเพียงปรมาจารย์เท่านั้นถึงจะไปสัมผัสความลี้ลับนี้ได้ และถึงแม้จะได้ไปสัมผัส ปรมาจารย์เหล่านี้ก็ไม่สามารถนำความลับนี้กลับมายังโลกคนธรรมดาได้!
เพราะพวกเขาไม่ตายก็ต้องเป็นบ้า!
“คุณปู่ มิน่าล่ะ ผมสังเกตเห็นปู่มีความในใจที่กังวลเป็นอย่างมาก จึงรีบเรียกตัวคนทั้งตระกูลมาสังเกตดูภาพสุริยัน ที่แท้ก็มีเรื่องกังวลอย่างนี้นี่เอง!”
“ใช่แล้ว ครั้งปู่ไปเข้าร่วม เป็นไปได้ว่ากลับมาไม่ได้ ถ้าไม่เอาภาพสุริยันไว้ให้พวกหลาน ปู่ก็จะผิดต่อตระกูลเฉินนะ!”
เฉินเตี๋ยนชางส่ายหัว
“ถ้างั้นเอาอย่างนี้ไหมครับ คุณปู่ครับ ผมเป็นตัวแทนท่านไปเข้าร่วมงานนัดหมายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ฮาฮา เพราะยังไงเสียภาพสุริยันทำนายบอกว่าผมต้องเจอวันแบบนั้น ถ้างานนัดหมายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์สามารถไขปริศนาของไท่หยางเหมิงได้อีกทั้งอาจจะรู้ที่อยู่ของมู่หานและอาสองได้ครับ ถ้าเป็นเช่นนั้น ถึงผมจะต้องตายก็นอนตายตาหลับแล้วครับ!”
เฉินเกอยิ้มแห้งๆพลางพูด
“ไม่ได้ ป้ายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์แกะสลักชื่อปู่ไว้ แสดงว่าพวกเขาเจาะจงจะให้ปู่ไปร่วม ตอนนี้หลานยังถือว่าเป็นปรมาจารย์ครึ่งระดับ ไม่ใช่ปรมาจารย์สมบูรณ์แบบ พวกเขาก็ไม่มีทางเชื้อเชิญหลานหรอก!เสี่ยวเกอ ความกตัญญูของหลานปู่เข้าใจ แต่……”
พูดถึงตอนนี้ วีรบุรุษที่เลื่องลืออย่างเฉินเตี๋ยนชางก็มีน้ำตาขึ้นมากะทันหัน
“แต่ปู่ก็หาวิธีช่วยหลานไม่ได้จริงๆ ปู่ไปเข้าร่วมวันนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง หลานเป็นอนาคตของตระกูลเฉิน ถ้าหลานตาย ตระกูลเฉินของปู่ก็บรรลัยแล้ว!!!”
เฉินเตี๋ยนชางร้องไห้
ถึงปากเขาจะบอกว่าพยายามหาวิธี แต่คำทำนายของภาพสุริยันอยู่ตรงหน้าแล้ว เขายังมีวิธีอะไรอีก?
ส่วนเฉินเกอก็น้ำตาไหลเช่นกัน
เฉินเกอไม่ได้กลัวตาย แต่ตอนนี้ให้ตนตายอย่างไร้เหตุผล จะต้องจากทุกคนไปแล้ว
ในใจเฉินเกอก็รู้สึกเจ็บปวดมากๆ
“คุณปู่อย่าเสียใจเลยครับ ถ้าเฉินเกออย่างผมต้องเจอแบบนั้นสักวันหนึ่ง ผมจะสู้กับคนพวกนั้นจนลมหายใจสุดท้ายเลยครับ!”
เฉินเกอกำหมัดไว้แน่น
เฉินเตี๋ยนชางมองหลานชายพลางพยักหน้าแรงๆ
จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “เพียงแต่ไม่รู้ว่า หญิงชุดขาวที่อะล๋านพูดถึงเป็นใคร เหมือนจะมีความเชื่อมโยงกับหลานมากเลยนะ!อืม!วิเคราะห์ไม่ออกจริงๆ……ส่วนอะล๋านทำให้ปู่ประหลาดใจเป็นอย่างมาก ได้ยินพ่อหลานบอกว่า เมื่อวานอะล๋านสามารถเห็นรูปปั้นหินล้มลงกับพื้นในศิลาจารึกแท่นนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น วันนี้ยังเข้าใจความหมายภาพสุริยัน……เด็กสาวคนนี้เป็นคนที่ไหนกันแน่ ตอนพ่อแม่หลานเก็บเธอได้ที่ชายหาด ปู่ลองแอบไปสืบค้นดูแล้ว แต่ไม่พบอะไรเลย แต่ปู่คาดไม่ถึงเลยว่าเธอจะมีพรสวรรค์ในด้านนี้……”
เฉินเกอเงียบ
ในใจเขาสับสนวุ่นวาย เหมือนทุกอย่างจะไม่ง่ายเสียเลย แต่รู้สึกความจริงเหล่านั้นใกล้เข้าตัวเขาขึ้นมาทุกทีแล้ว……
“คุณพ่อ เป็นไปได้อย่างไร ท่านเคยพูดแล้วว่าเสี่ยวเกอบรรลุถึงขั้นปรมาจารย์แล้ว คนปกติจะไม่สามารถทำร้ายเสี่ยวเกอได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก!”
หยางยู่ผิงกับเฉินเสี่ยวก็รู้สึกเกรงกลัว เพราะแม้กระทั่งเฉินเตี๋ยนชางยังรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย