ที่แท้….ฉันเป็นลูกเศรษฐี! - ตอนที่ 553
บทที่ 553 ความสงสัยของเฉินเกอ
ต้นไม้ต้นนั้น ถูกผู้คนในอาณาจักรขนานนามว่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์
เนื่องจากว่ามันนั้นร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า
ในตอนนั้นผู้คนในอาณาจักรต่างเชื่อกันว่า
สิ่งนี้น่ะเป็นสิ่งที่สวรรค์ประทานเทพองค์นี้มาเพื่อเชิญพวกเขาให้ไปรวมตัวกันยังพระราชวังสวรรค์ แต่ว่าโชคร้ายที่ระหว่างทางนั้นก็มีเรื่องร้ายเกิดขึ้น จนเหล่านักรบสวรรค์ที่มากับเทพองค์นั้นต่างก็เสียชีวิตลง
กษัตริย์จึงคิดว่า แม้ว่านี่จะเป็นคำเชื้อเชิญจากสวรรค์ แต่ก็จะไม่ให้เกียรติแก่พวกเขาไม่ได้
ควรที่จะนำเรื่องราวของเทพองค์นั้น เล่าสืบต่อกันให้กระจ่างชัด
ดังนั้น กษัตริย์ยูจึงส่งนักรบที่ดีที่สุดของอาณาจักร 300 นายออกไป
เพื่อมาปีนต้นไม้ยักษ์ต้นนี้
แต่เขานั้นก็รออยู่นาน แต่ก็ไม่เห็นว่านักรบทั้ง 300 นายนั้นจะกลับมาอีกเลย
แต่กษัตริย์ก็ยังคงไม่วางใจ ต่อมาในทุก ๆ ปี เขาก็จะคัดเลือกทหารมือดีกลุ่มหนึ่ง ส่งไปเพื่อปีนต้นไม้ยักษ์ต้นนี้
แต่เพียงนิดเดียวก่อนที่พระราชวังของเทพเจ้าองค์นั้นกำลังจะสร้างเสร็จ และกำลังจะเตรียมที่จะฝังศพ
ก็มีเรื่องหนึ่งเกิดขึ้น
นั่นก็คือมีสายฟ้าฟาดผ่าลงมาที่กลางต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นนี้
ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เกิดเพลิงลุกไหม้ครั้งใหญ่ เพลิงที่ไหม้นั้นลุกไหม้อยู่เป็นเวลาต่อเนื่อง 1 เดือนเต็ม แล้วจึงมอดดับลงในที่สุด
กษัตริย์องค์นั้นไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าสวรรค์นั้นตำหนิพวกเขาที่ไม่รักษาโอกาสนั้นเอาไว้ให้ดี
แต่ว่าในตอนนี้นั้น การฝังศพเทพองค์นั้นถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ต่อมาก็ได้มีการฝังศพของเทพเจ้าที่เป็นคู่รักกัน แต่ท้ายที่สุดก็ถูกชายชราขอทานออกมาคัดค้านและพูดอย่างละเอียด
จากที่จิตรกรรมฝาผนังว่าไว้ว่า ในตอนนั้นขอทานชราคนนั้นได้อธิบายกับกษัตริย์อย่างหนักแน่นพร้อมเหตุผลที่ชัดเจนว่าเพราะเหตุใดจึงไม่สามารถที่จะฝังด้วยกันได้
แต่กษัตริย์นั้นก็ไม่สนใจฟัง
ดังนั้นเขาจึงสำแดงเวทมนตร์ออกมา เขานั้นชี้นิ้วไปที่กำแพง และที่กำแพงนั้นก็มีภาพหนึ่งปรากฏขึ้น นั่นก็คือภาพที่อนาจักรถูกทำลายพังพินาศนั่นเอง
จากวิธีการแสดงภาพบนผนังให้ปรากฏออกมาเช่นนั้นของขอทานชรา ก็ทำให้เหล่าขุนนางและคนใหญ่คนโตทั้งหมดต่างก็ตกตะตึง
และค่อย ๆ ก้มหัวเพื่อเคารพเขาทีละคน ๆ
หรือแม้แต่กษัตริย์เองก็เช่นกัน
ดังนั้นสุดท้ายแล้วพวกเขาจึงฟังคำแนะนำจากขอทานชราผู้นั้น
องค์กษัตริย์นั้นต้องการเชิญให้ขอทานชรานั้นมาเป็นราชครู ช่วยแนะนำสั่งสอนเขาว่าต้องทำเช่นไรจึงจะสามารถปกป้องอาณาจักรเอาไว้ได้
ขอทานชราผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธคำเชิญที่ให้เป็นราชครูนั้นไป แต่กลับมอบภาพ 2 ภาพให้แก่กษัตริย์
ภาพที่หนึ่งนั้น เป็นเพียงภาพสัญลักษณ์ สัญลักษณ์หนึ่ง
แต่ว่าเฉินเกอกลับดูออกอย่างกระจ่างแจ้งว่า นั่นคือสัญลักษณ์ของไท่หยางเหมิง
ส่วนอีกภาพหนึ่งนั้น กลับดูลึกลับกว่ามาก
“ทำไมมันช่างเหมือนกับ……เครื่องวัตถุโบราณ ภาพสุริยันของพวกเราตระกูลเฉิน?”
เฉินเกอเกาหน้าผากของตน และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ
แต่ในส่วนต่อมา ก็พูดถึงว่าหลังจากที่อาณาจักรนั้นได้รับภาพทั้งสองนี้ไป ก็รุ่งเรืองอำนาจมากอยู่หลายปี มากขนาดที่แทบจะรวบรวมประเทศรอบ ๆ หลายร้อยประเทศมารวมกันได้ทั้งหมดแล้ว
และกษัตริย์ก็ได้ยกย่องเขาให้เป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์
เมื่อดูถึงตรงนี้ เฉินเกอก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเย็น ๆ เข้าไปฟอดหนึ่ง
“บางทีภาพสุริยันอาจจะเป็นสมบัติที่พวกเราตระกูลเฉินส่งทอดกันรุ่นต่อรุ่น อาจจะมีความลับความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกับไท่หยางเหมิงก็เป็นได้ และผู้ที่สร้างภาพสุริยันที่มีความสามารถในการทำนายอนาคตนั้น แท้จริงแล้วก็คอขอทานชราผู้นั้นนั่นเอง!”
เฉินเกอคิดอยู่ในใจ
ด้วยความประหลาดใจนั้น ก็บังคับให้เฉินเกอก็อดไม่ได้ที่จะต้องดูมันต่อไป
ในส่วนถัดมานั้น มันพูดถึงเรื่องบางอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงของการซ่อมแซมต่อเติมสุสาน
พระราชวังใต้ดินแห่งนี้นั้น ใช้เวลาในการก่อสร้างนานกว่า 10 ปี และดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี
ในช่วงเวลานั้น องค์กษัตริย์ก็ได้มีอำนาจรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่แล้ว แต่กลับมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในเรื่องที่ใหญ่ที่สุดนั้นก็คือ จู่ ๆ ก็มีศพขนาดยักษ์ศพหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า!
ภาพที่อยู่บนฝาผนังนั้น ได้แกะสลักถึงรูปลักษณ์ของศพขนาดยักษ์นี้เอาไว้โดยออกมาอย่างละเอียด
เฉินเกอดูอยู่ได้พักหนึ่ง ก็พบว่า……ศพนั้นแท้จริงแล้วก็คือศพของมังกร!
มังกร!
เฉินเกอถลึงตาออกกว้าง
เพื่อที่จะยืนยันให้แน่ชัด
ว่าภาพวาดบนผนังนี้นั้นบอกถึง มังกรตัวหนึ่งที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า
มีขนาดยาว 30 กว่าเมตร มีกงเล็บราวกับเหล็กกล้า
สามารถขย้ำหัวมนุษย์ให้แหลกเป็นเสี่ยง ๆ ได้
แถมยังบรรยายไว้อีกว่า ที่ศพของมังกรตัวนี้นั้น มีเกล็ดแข็งห่อหุ้มอยู่ทั่วร่าง
เกร็ดเหล่านั้น บ้างก็เป็นสีทอง บ้างก็เป็นสีนิล
มังกรยักษ์ตัวนี้นั้นเป็นมังกรที่มีสีทอง-นิล
ในตอนที่ตกลงมานั้น ศพก็มีสภาพที่เริ่มเน่าเหม็นแล้ว
ผู้คนจึงต่างพากันหลีกเลี่ยง
เดิมทีนั้นก็ต้องการที่จะฝังมัน แต่ว่าศพของมังกรตัวนี้ ในตอนนั้นก็ได้ก่อให้เกิดโรคระบาด
และทำให้ผู้คนล้มตายจำนวนมาก
และในขณะที่กษัตริย์นั้นไม่รู้ว่าจะจัดการเช่นไรเองนั้น
ที่นั่น ก็มีการหยิบยกและพูดถึงขอทานชราผู้นั้นขึ้นมา
3 ปีผ่านไป ขอทานชราผู้นั้นก็ได้กลับมา
แต่ว่าการกลับมาในครั้งนี้ ตัวเขานั้นไม่ใช่ขอทานชราอีกต่อไป แต่งเนื้อแต่งกายดูดี
เขาบอกกับกษัตริย์ ก่อนหน้านี้นั้นเขาเพียงแกล้งทำเป็นขอทาน เพื่อให้ตัวนั้นสะดวกในการทำเรื่องอะไรบางอย่าง แท้จริงแล้วตัวเขานั้นหาใช่บอทานไม่!
องค์กษัตริย์นั้นรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก และให้การดูแลตัวเขาเป็นอย่างดี
และสอบถามเขาเกี่ยวกับวิธีในการจัดการแก้ปัญหาของศพมังกรตัวนี้
เขาได้แนะนำขึ้นว่าให้รีบเผาศพในทันที อย่าให้หลงเหลือแม้เพียงชิ้นส่วนเดียว
นอกจากนี้แล้วที่นี่ยังได้เขียนอธิบายไว้อีกว่า ความสามารถด้านการแพทย์ของขอทานชรานั้นสูงล้ำ เขานั้นขจัดโรคระบาดที่เกิดขึ้นในเวลานั้นให้หายเป็นปลิดทิ้ง
รวมไปถึงรักษาเหล่าขุนนางและเจ้าชายที่ติดโรคอีกด้วย
แต่ว่า ในตอนท้ายนั้นเขาก็ได้เสนอขึ้นมา 1 เงื่อนไข
นั่นก็คือเขาต้องการที่จะเข้าไปดูด้านในของวังใต้ดิน
แถมยังต้องการที่จะเข้าไปดูเพียงคนเดียว และขอให้เรียกตัวช่างฝีมือแกะสลัก และคนงานต่าง ๆ ที่รับผิดชอบงานอยู่ ณ ที่แห่งนั้นกลับออกมาทั้งหมด
ด้วยความยินดีและชื่นชอบที่องค์กษัตริย์มี จึงได้ตอบรับคำขอของเขา
ขอทานชราผู้นั้น ใช้เวลาอยู่ในพระราชวังใต้ดินนั้นเป็นเวลา 10 วันเต็ม ๆ ในขณะที่เข้าไปนั้น ก็ยังพักถุงเข้าไปด้วย 1 ใบ
ในเวลาต่อมา เหล่าประชาชนทั้งหลายต่างก็คุกเข่าให้ความเคารพ และหวังว่าเขานั้นจะยอมอยู่ที่นี่ต่อไป
ขอทานชรานั้นยังคงปฏิเสธเช่นเดิม
จิตรกรรมฝาผนังได้เขียนไว้ว่า ในช่วงเวลาใกล้พลบค่ำ ชายชราที่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง ต่อหน้าเหล่าผู้คนที่กำลังคุกเข่าให้ความเคารพเขาอยู่นั้น เขาก็ได้เอานิ้วของเขาชี้ไปยังแสงจันทร์ที่เพิ่งจะสาดส่องออกมา
ทุกคนต่างก็เงยหน้าขึ้นไปมองยังแสงจันทร์นั้น
และทันทีที่ได้สติกลับมานั้น ขอทานชราผู้นั้นก็ได้หายตัวไปเสียแล้ว
ในตอนนั้น เพื่อที่เป็นการระลึกถึงเขา เหล่าประชาชนก็ได้ให้ช่างฝีมือสร้างวัดขึ้นมาแห่งหนึ่ง เพราะให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม
“นักรบผู้ล่วงหล่นลงมาจากสวรรค์ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ขอทานชราที่ดูแปลกประหลาด แถมยังจะมังกร!และเรือบินนั่นอีก!”
เฉินเกอกระซิบพึมพำ
ข้อมูลที่จิตรกรรมฝาผนังนี้ได้เปิดเผยออกมา ยิ่งดูมาก็ยิ่งทำให้เฉินเกอนั้นไม่เข้าใจยิ่งเข้าไปใหญ่
การอธิบายเรื่องราวของภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้นั้น มันดูราวกับมีชีวิตจริง
มันเป็นเพียงแค่เรื่องแต่งของคนรุ่นก่อนจริง ๆ งั้นหรือ?
จนถึงตอนนี้ เฉินเกอก็รู้สึกสงสัย
ตอนแรกเขานั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ว่าตอนนี้เฉินเกอนั้นเชื่อไปกว่า 90% แล้ว ทั้งหมดนี่ มันเป็นไปได้มั้ยนะว่าจะเป็นเรื่องจริง!
บนโลกนี้เมื่อหมื่นปีก่อน แม้กระทั่งในหมื่นปีก่อน ก็มีอารยธรรมเช่นอยู่แล้วจริง ๆ งั้นหรือ?
ตำนานของมังกรนั้นแม้ว่าจะมีมาอย่างยาวนาน แต่ว่ามังกร……เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าในตำนานจริง ๆ งั้นหรือ?
เฉินเกอรู้สึกสงสัยในใจ
เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ คิดที่จะมองหาผู้หญิงชุดขาวที่ตกลงมา ในภาพจิตรกรรมฝาผนังนั้น
แต่หลังจากนั้น ก็ไม่มีการพูดถึงหญิงที่อยู่ในชุดขาวนั้นอีกเลย
เฉินเกอก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
“ขอทานชราคนนั้น ราวกับว่ามีความสามารถในการรับรู้ได้ถึงทุกสิ่งอย่าง ในโลกนี้จะยังมีคนที่มีเก่งกาจขนาดอยู่ด้วยอย่างนั้นหรือ?”
เฉินเกอก็คิดอะไรขึ้นมาได้
หลังจากนั้นก็หันไปมองงูเหลือมยักษ์ที่ที่อยู่ด้านหลังตน
“จริงด้วย เจ้าน่ะเข้ามาตั้งแต่เมื่อไรกัน?บางทีตอนแรกที่เจ้าเข้ามาเป็นสัตว์ร้ายประจำสุสานคงไม่ได้ตัวใหญ่ขนาดนี้สินะ?”
เฉินเกอถามขึ้น
ส่วนงูเหลือมยักษ์ที่นั้นก็ได้สื่อสาร โดยการพ่นน้ำลายของมันออกไปกระทบกับจุดหนึ่งของภาพจิตรกรรมฝาผนัง
และสิ่งที่ภาพนั้นพูดถึงก็คือฉากที่ขอทานชราผู้นั้นนำถุงเข้ามายังด้านในวังใต้ดิน
เฉินเกอนึ่งไป
เขาคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง
ทันใดนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งด้วยความประหลาดใจ
ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเบิกกว้าง และจ้องไปยังเจ้างูเหลือมยักษ์ที่:
“แกจะบอกว่า หลายหมื่นปีก่อน ถุงที่ขอทานชราคนนั้นนำเข้ามา ด้านในนั้นก็คือแกอย่างงั้นเหรอ?”
เฉินเกอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเขานั้นแทบจะขาดใจตาย
แต่เจ้างูเหลือมยักษ์ที่นั้นกลับพยักหน้า
บ้าน่า!!!
เฉินเกอมีท่าทีหัวยุ่ง:
“นี่เจ้าอยู่มาหลายหมื่นปีแล้วงั้นเหรอ?