ที่แท้….ฉันเป็นลูกเศรษฐี! - ตอนที่ 744
บทที่ 744 ยอมแล้วจริง ๆ
“คุณชายเฉิน ไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วยเถิด”
หยิงหยางคุกเข่าพร้อมกับร้องขอชีวิตไม่หยุด
หรือแม้แต่ คุณชายต้วนเองก็ยังต้องทำตาม
เขาเองก็ไม่เข้าใจ ทุกคนต่างก็มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แล้วทำไม คนคนนี้ถึงได้เก่งอย่างนี้
และ เมื่อหลังจากที่เขานั้น ได้สยบนักพรตหยิงหยางได้แล้ว ก็ถือว่า ได้ข้ามขั้นที่เหนือกว่าผู้ฝึกตนแล้ว
ซึ่งมีความหยิ่งทะนงก็เป็นเรื่องธรรมดา
เขาทำให้อีกคนยอมอย่างศิโรราบ นี่มันช่างเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับคนในวัยเดียวกันแล้ว
ไม่ ฉันไม่ยอม
ถึงแม้ว่า อาจารย์จะคุกเข่าก้มหัวคำนับก็เถอะ เขายังไงก็ไม่ยอม
ลูกผู้ชาย มีล้มลุกคลุกคลานบ้างไม่เป็นไร ต้องมีสักวัน ที่มีโอกาสเอาคืน
ต้วนเฟิงคิดในใจ
ดังนั้น เขาจึงได้ร้องขอชีวิตอย่างที่อาจารย์ของเขาทำ
“ได้ ชีวิตนาย ฉันไม่เอาหรอก ทำไมน่ะเหรอ เพราะว่า เมื่อครู่ฉันไม่ได้บอกว่าจะฆ่าพวกนายสองคน”
เฉินเกอมองที่หยิงหยางและผู้จัดการหวางแล้วได้พูดขึ้น
ทำให้เขาทั้งสองคนนั้น สบายใจขึ้นมาหน่อย
ส่วนต้วนเฟิงตกใจ ทันใดเลยเงยหน้าขึ้นมา แล้วมองเฉินเกอด้วยสายตาที่หวาดกลัว
“สำหรับนาย เมื่อครู่ฉันได้บอกไว้แล้วว่า ต้องใช้ชีวิตของคนในครอบครัวนายทั้งหมด มาแลกกับแส้ขนหางจามรี ลูกผู้ชาย ไม่ใช่แค่ต้องล้มลุกคลุกคลาน ยังต้องรักษาคำพูดด้วย พูดได้ก็ต้องทำให้ได้ ดังนั้น นายต้องตาย ครอบครัวนายก็ต้องตาย”
เฉินเกอพูด
“แก”
ต้วนเฟิงเกิดอาการตกใจ เขาสามารถรู้ความคิดที่อยู่ภายในใจได้เลยเหรอ
“ไม่ ไม่นะ”
ต้วนเฟิงรู้สึกหวาดกลัวประหวั่น ถอยหลังออกไปจนล้มลงกับพื้น
และเฉินเกอก็ได้ท่องคาถา จากนั้น ดาบก็พุ่งออกไป
รัศมีกระบี่สีแดงเลือดอันทรงพลัง ได้ล้อมตัวของต้วนเฟิงไว้
แต่ว่า ต้วนเฟิงเหมือนจะไม่เป็นไร
เมื่อครู่ เขาคิดว่าตัวเองนั้น จะต้องตายแล้ว
“ฉัน……ฉันไม่ได้เป็นอะไรเหรอนี่”
ต้วนเฟิงทั้งรู้สึกแปลกใจและทั้งดีใจ
จากนั้น ก็มองดาบรัศมีกระบี่ที่อยู่กับร่างของตัวเอง เขากำลังคิดว่า บางทีเขาอาจจะได้รับโอกาสให้เป็น ผู้ฝึกตนเหรอ ถึงได้พบเจอกับเรื่องมหัศจรรย์อย่างนี้ ไม่เชื่อก็ดูบนตัวของตัวเองอีก จากนั้น ก็มีแสงรัศมีเปล่งสว่างออกมา
และแสงรัศมีที่ส่องนี่เอง ที่คอยป้องกันอันตรายจากเฉินเกอไว้
หรือว่า ตัวเองจะเป็นลูกที่พระเจ้าเลือกมาเหรอ
“นี่คือยันต์เลือดเหรอ”
และในเวลานี้ เฉินเกอได้พูดขึ้นอย่างเบา ๆ ว่า “หากใครที่โดนยันต์เลือดแล้ว เลือดในร่างกายก็จะไหลไม่หยุด จากนั้น ก็ค่อย ๆ ตายไปอย่างช้า ๆ ส่วนนาย จะเป็นคนสุดท้ายที่ตาย ดังนั้น เวลาที่เหลืออยู่ใช้มันอย่างมีคุณค่าซะ”
“อะไรกัน ยันต์เลือดเหรอ”
เมื่อได้ฟังที่เฉินเกอพูด ต้วนเฟิงก็เพิ่งจะเข้าใจ
และเวลาผ่านไปได้ไม่นาน เขาก็สัมผัสได้ถึงอาการเจ็บปวดสุดขีดที่รุมล้อมเข้ามาทั่วร่าง จากหน้าผากจนถึงใบหน้า ก็มีรอยเส้นเลือดสีดำผุดขึ้นเป็นสายอย่างเต็มใบหน้า
พอผ่านไปสักพัก เขาถึงรู้สึกว่าเสียใจ
ตอนแรก ยังอยู่ดี ๆ มีพร้อมทุกอย่าง และตัวเองก็เป็นถึงคุณชายใหญ่
แต่ว่าตัวเอง ทำไมต้องมาหาเรื่องคนคนนี้ด้วย
ทำไม
เขาร้องออกมาด้วยความทรมาน แต่เสียงที่ร้องและร่างของเขานั้น ก็ค่อย ๆ กลายเป็นควันหมอกเลือดสีแดง หายไปในอากาศอย่างช้า ๆ
และควันหมอกเลือดนี้ ก็ล่องลอยไปในนภา
ราวกับว่าเป็นตัวอักษรที่ลอยอยู่ในอากาศยังไงยังงั้น
ในความคิดของหยิงหยางและผู้จัดการหวางนั้น คิดว่า “ใครที่ลบหลู่ ต้องตาย”
“คุณชายเฉิน ไว้ชีวิตผมเถอะ”
ผู้จัดการหวางก้มคำนับไม่หยุด
ส่วนหยิงหยางในใจก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัว
จากนั้น เฉินเกอก็มองไปที่หยิงหยางแล้วพูดขึ้นว่า “ยังจำที่เมื่อครู่ ฉันได้ถามนายไหม”
“จำได้ จำได้”
หยิงหยางพยักหน้ารับไม่หยุด
“ดีมาก อีกรอบนะ จากนั้น ก็ตอบฉันมา”
“ เอื๊อก”
หยิงหยางกลืนน้ำลายลงไป แล้วได้พูดขึ้นว่า “นายถามฉันว่า สมญานามนี้ได้มาอย่างไร แล้วยังถามฉันว่า ทำไมต้องมาติดตามคนอย่างต้วนเฟิงด้วย”
หยิงหยางเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาบนหน้าผาก แล้วได้พูดต่อไปว่า
“ที่จริงแล้ว หลังจากที่ฉันได้กลายเป็นผู้ฝึกตนแล้วครึ่งปี ก็ค่อย ๆ ที่จะเข้าใจ คุณชายเฉิน คุณรู้ไหมว่า โลกของเรานี้มันมหัศจรรย์เกินกว่าตอนนี้ที่เราจะจินตนาการได้ บนโลกนี้ มันจะมีดินแดนของผู้ฝึกตนอยู่ ไม่ใช่สิ ต้องพูดว่า โลกของผู้ฝึกตน พวกเขามีและใช้ชีวิตท่ามกลางการดำรงชีวิตของคนปกติ และนี่จึงเรียกว่าเข้าโลก”
“ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่ผู้ฝึกตนจะคอยควบคุมการหมุนเวียนต่าง ๆ ของโลกใบนี้ เพราะพลังของพวกเขานั้นมีมาก แต่ว่า พวกที่คอยกำจัดกับคนที่คิดไม่ซื่อนั้น ก็มีอยู่เป็นกลุ่มเหมือนกัน และเรียกพวกเขาเหล่านั้นว่า ตำหนักจ้งโล๋ ส่วนเรื่องของระดับขั้นของนักพรต หรือสมญานามนั้น ก็จะเป็น ตำหนักจ้งโล๋นี่แหละที่คอยเป็นผู้กำหนด ผู้ฝึกตนต้องสามารถใช้หินเทพการวัดแรงให้เป็น เพื่อที่จะได้ผ่านขั้นของ เจินชี่ และได้รับลำดับขั้น”
“ส่วนฉันในตอนนี้ เป็นผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นของการเข้าโลก ซึ่งก็ยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง”
หยิงหยางหยุด แล้วมองสีหน้าอาการของเฉินเกอ แล้วได้พูดต่อไปอีกว่า
“หลายวันมานี้ จี้โจวจะจัดเทศกาลใต้ดิน ได้ยินมาว่า มนุษย์ได้ค้นพบซากเทพ และซากเทพนี้ ก็มีอันตรายเป็นอย่างมาก แต่ก็ดึงดูดความสนใจของคนจำนวนไม่น้อย ดังนั้น ฉันเลยล่วงหน้ามาก่อนสามเดือน เพื่อที่จะมาทำความเข้าใจดู จึงได้รู้ว่า ซากเทพนั้น เป็นดั่งอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงจนสามารถทำให้โลกนี้ดับสลายลงได้”
หยิงหยางได้พูดออกมาหมด โดยที่ไม่มีอะไรปิดบังแม้แต่น้อย
ซึ่งเฉินเกอเองก็ตั้งใจฟังอย่างมาก และก็พอจะเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ มากด้วยเหมือนกัน
เมื่อก่อนที่ลุงสองได้เล่าให้ตัวเองฟังนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะละเอียดขนาดนี้
เหมือนกับแค่เล่าถึงโลกของผู้ฝึกตนในมุมเล็ก ๆ มุมหนึ่ง
และพี่จื่อเยียนเองก็ไม่ได้ถามด้วย
แต่ตอนนี้ เหมือนกับว่า ได้ปลดผ้าคลุมผ้าที่ตัวเองเคยมีนั้น ออกหมดแล้ว
ลุงสองบอกว่า คุณปู่มีปัญหาใหญ่
ไม่แน่ว่า คุณปู่ได้กลายเป็นผู้ฝึกตนไปนานแล้วก็อาจจะใช่
หากเป็นอย่างนี้จริง ๆ แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนนั้น งั้น ก็คงเป็นเพราะว่าได้ถูกกำหนดไว้แล้ว
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ เฉินเกอก็มีอาการเจ็บแปลบ ๆ ในใจ
“หยิงหยาง ฉันจำได้ว่า นายมีชื่อว่า หลินจิ่ว ใช่ไหม”
เฉินเกอถามด้วยอาการนิ่ง ๆ
“ใช่แล้วครับ คุณชายเฉิน”
เขาพูดขึ้นด้วยอาการหวาดกลัว
“ในเมื่อนายอยากจะมีชีวิตต่อไป และฉันเห็นว่า นายบำเพ็ญเพียรมาก็ไม่ง่ายเท่าไร ก็เลยอยากจะให้โอกาสนายได้มีชีวิตต่อไป แต่อยากจะให้นาย ใช้สักประโยคสองประโยคพูดให้ฉันใจอ่อนหน่อย”
เฉินเกอได้พูดขึ้น
“ครับ คุณชายเฉิน หากคุณชายเฉินไม่ฆ่าผม หลินจิ่วยอมติดตามรับใช้ข้าง ๆ คุณครับ จะคอยปรนนิบัติรับใช้ไม่ให้บกพร่องเลยครับ เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ไม่ฆ่าผม ผมยอมแล้วครับ ยอมจากใจจริง”
หลินจิ่วก้มหัวคำนับไม่หยุด
ตอนนี้ เขาหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เลยไม่กล้าที่จะปิดบังอะไร จึงยอมที่จะพูดออกมาหมด เพราะหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้านี้ น่ากลัวกว่าเมื่อก่อนมาก
หากเป็นปรปักษ์กับเขา ต้องมีจุดจบที่ไม่สวยแน่
“ได้”
เฉินเกอเลยได้พูดออกมาแค่คำเดียว อย่างนิ่ง ๆ
หลินจิ่วเลยสบายใจขึ้นมาหน่อย
“คุณชายเฉิน ผมเองก็ยอมที่จะคอยปรนิบัติรับใช้คุณครับ”
ผู้จัดการหวางเองก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน เลยได้พูดขึ้นพร้อมกับก้มคำนับหัวไม่หยุด
ปึก!
เฉินเกอเหยียบไปที่หัวของผู้จัดการหวางเบา ๆ จากนั้น ก็ได้พูดขึ้นว่า “แกจะมีประโยชน์อะไร ควรค่าจะมารับใช้ฉันเหรอ”
“ใช่ ๆ ๆ”
ผู้จัดการหวางพูดขึ้น ด้วยอาการกลัวพร้อมกับร้องไห้
“ฉันถามหน่อย แส้ขนหางจามรีอันนี้ มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่”
เฉินเกอถาม
ผู้จัดการหวางไหนเลยจะกล้าปิดบัง จึงได้บอกความจริงออกมาจนหมด
“นี่คือของที่นักเรียนคนหนึ่งให้กับผมครับ ของสิ่งนี้ ผมให้คนดูแล้วว่า ราคาสูงไม่เบา แต่เขาต้องการแค่ สองล้านเท่านั้น หากว่าผมรู้ว่าเจ้านี่คืออะไร ต่อให้ยี่สิบล้าน ผมก็คงไม่ให้เขาหรอก”
ผู้จัดการหวางพูด
“นักเรียนคนหนึ่งเหรอ รู้ไหมว่าเขาเป็นใคร”
เฉินเกอขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แล้วก็ได้ถามขึ้น
ผู้จัดการหวางหยุดนิ่งอยู่พักหนึ่ง จากนั้น ก็ได้รีบพูดขึ้นว่า
“กระผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า เด็กนั่น ได้อาวุธนี้มาอย่างไร และเคยส่งคนออกไปสืบดู เขามีชื่อว่า เซียวเหยียน เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สี่ มหาวิทยาลัยจี้โจว เรียนสาขาการจัดการ ห้องสอง สถานะทางครอบครัวไม่ค่อยดีเท่าไร อีกอย่างเขาเป็นเด็กดี”
“เซียวเหยียน……”
เฉินเกอพึมพำอยู่สักพัก และในใจก็ได้คิดแผนการไว้แล้ว……