ที่แท้….ฉันเป็นลูกเศรษฐี! - ตอนที่ 816
บทที่ 816 ครอบครัวพร้อมหน้า
ในตอนกลางคืน
ณ คฤหาสน์ลับแห่งหนึ่งในประเทศหนานเยว่
ครอบครัวของเฉินเกอต่างกันนั่งร่วมโต๊ะอาหารอย่างมีความสุข ทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน หัวเราะพลันกินอาหารไปด้วย
หวงหยงหาวอิงอยู่ในอ้อมกอดของจางซู่หงแม่ของเฉินเกอ ด้วยท่าทางขี้อ้อน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่เคยจางหายไป
เพราะตอนนี้คือเวลาแห่งการรวมตัวของครอบครัว
แต่สำหรับเฉินเกอ เขากลับไม่ได้มีความสุขอย่างแท้จริง เมื่อมองดูน้องชายของตัวเองที่สูญเสียดวงตาทั้งสองและลิ้นไป พ่อแม่ที่สูญเสียขาทั้งสองข้าง และพี่สาวที่ต้องทนทุกข์ทรมาน จึงทำให้เฉินเกออดรู้สึกผิดไม่ได้ จนไม่มีความสุข
เขาไม่ได้ปกป้องครอบครัวของตัวเองอย่างสุดกำลัง จึงทำให้พวกเขาต้องทุกข์ทรมานขนาดนี้
และน้องชายของเขาควรจะได้ใช้ชีวิตมีความสุขเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่เพื่อไปทวงความยุติธรรมให้กับตระกูลเฉินแทนเฉินเกอ เขาถึงได้กลายเป็นแบบนี้ เฉินเกอจึงรู้สึกละอายใจต่อเขาไม่น้อย
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ตอนนี้เฉินเกอจะต้องจัดการทำลายตระกูลฉินแห่งเมืองส้งให้สิ้นซากซักก่อน นั่นถือจะเป็นการแก้แค้นให้กับครอบครัวของเขาอย่างแท้จริง
“เสี่ยวเกอ ทำไมถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”
จางซู่หงผู้เป็นแม่ถามเฉินเกอด้วยรอยยิ้ม
“จริงด้วย เสี่ยวเกอ เป็นเรื่องยากมากเลยกว่าเราจะได้มารวมตัวกันครบหน้าครบตาอีกครั้ง มันควรจะเป็นการเฉลิมฉลองที่ดีถึงจะถูก ทำตัวให้มีความสุขหน่อย!”
ส่วนผู้เป็นพ่ออย่างเฉินจิ้นตงก็พูดต่อคำพูดของจางซู่หงพร้อมกับพูดชักชวน
เฉินเกอจึงรีบตอบกลับด้วยการทำเหมือนไม่เป็นอะไร แล้วยิ้มออกมาให้กับคนในครอบครัว
“พ่อแม่ น้องชายและพี่ นับตั้งแต่วันนี้ไป ผมจะไม่ให้ทุกคนต้องได้รับบาดเจ็บอีก ผมสัญญาว่าจะปกป้องทุกคนอย่างดีที่สุด!”
เฉินเกอมองไปที่ครอบครัวของเขา แล้วพูดด้วยสายตาที่แน่วแน่
“อืม เสี่ยวเกอ พวกเราเชื่อมั่นในตัวนาย!”
เฉินจิ้นตงยิ้มให้กับเฉินเกอพร้อมพยักหน้ารับ
และในที่สุด ทุกคนก็ลงเอยด้วยเสียงหัวเราะหลังจากที่พลัดพรากกันมานาน
พ่อแม่ของเฉินเกอพาหวงหยงหาวไปพักผ่อน ส่วนเฉินเสี่ยวก็นั่งอยู่ในสวนด้านพูดคุยกับเฉินเกอ
“เสี่ยวเกอ เธอยังจำได้ตอนแรกที่เธอรู้ว่าตัวเองเป็นทายาทเศรษฐีได้หรือเปล่า?”
เฉินเสี่ยวนั่งอยู่ข้างๆเฉินเกอ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามองดูดวงดาวที่ส่องแสงและถามเฉินเกอด้วยรอยยิ้ม
เฉินเกอยิ้มจาง ๆ และตอบว่า
“จำได้อยู่แล้ว พวกพี่นี่เก็บความลับได้ดีจริงๆ ปิดบังผมอยู่ตั้งนาน พวกพี่รู้หรือเปล่าว่าตอนที่ผมอยู่ในโรงเรียนต้องเจอกับอะไรมาบ้าง!”
“ฮ่าๆๆ เสี่ยวเกอ แต่เธอก็ได้รับอะไรมามากมาย ได้เรียนรู้อะไรตั้งเยอะแยะ ไม่ใช่หรือไง?สิ่งเหล่านั้นคือประสบการณ์ที่สั่งสมในชีวิตของเธอ พวกเราในตอนนั้นเพียงอยากให้เธอเติบโตอย่างเข้มแข็ง เพราะแบบนี้ในอนาคตเธอถึงจะสามารถแบกรับความหวังของทุกคนในครอบครัวได้!”
“เธอก็ดูตอนนี้สิมันเป็นอย่างที่พวกเราหวังแล้วไม่ใช่หรอ?พ่อที่เคยเป็นเสาหลักของบ้านเรา ตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นเธอแล้ว เธอก็คือทุกสิ่งทุกอย่างของครอบครัวเรา ที่จริงพี่ไม่ได้หวังให้เธอจะต้องเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้หรอกนะ พี่แค่หวังว่าพวกเราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขก็พอ!”
เฉินเสี่ยวจ้องเฉินเกอพลางพูดถึงสิ่งที่อยู่ในใจออกมาอย่างจริงใจ
นานมากแล้วที่พวกเขาสองพี่น้องไม่ได้มานั่งพูดคุยกันเหมือนวันนี้
“พี่ ตอนที่อยู่ในตระกูลฉินพี่คงจะได้เจอกับเรื่องลำบากมากมาย ต้องขอโทษด้วย ล้วนเป็นเพราะผมมันไม่ได้เรื่อง ที่ไม่ได้ปกป้องพ่อแม่ พี่แล้วก็น้องชายให้ดี เลยทำให้ทุกคนต้องเป็นแบบนี้!”
เฉินเกอก้มหน้าลงและกล่าวอย่างรู้สึกผิด
เฉินเสี่ยวยื่นมือออกไปลูบศีรษะของเฉินเกอและปลอบโยนเขาด้วยการสัมผัสเบา ๆ
“เสี่ยวเกอ พวกเราไม่โทษเธอหรอกนะ เพราะทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องที่เธออยากให้มันเกิดขึ้น เมื่อก่อนพวกเราคอยปกป้องเธอ ตอนนี้เธอโตแล้ว แน่นอนว่าถึงเวลาที่เธอสามารถปกป้องพวกเราแล้ว ดูสิ ตอนนี้ครอบครัวของเราก็ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว นี่ถึงจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุด เรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะนะ!”
“อืมๆ!”
เฉินเกอเองก็พยักหน้าตอบรับ
ในขณะนั้นเอง ก็มีเงาดำแวบผ่านป่าที่อยู่นอกคฤหาสน์ไปอย่างรวดเร็ว
ความเร็วนั้นว่องไวมาก มันแวบผ่านไปเพียงพริบตา แต่มันก็ถูกเฉินเกอสังเกตเห็นอยู่ดี
เฉินเกอสะดุ้ง เขารู้สึกถึงลมหายใจที่ไร้ความปรานีจากผู้มาเยือน
“พี่ ตอนนี้ก็ดึกแล้ว พี่รีบไปพักผ่อนเถอะ!”
จากนั้นเฉินเกอจึงรีบพูดกับเฉินเสี่ยว เขาไม่อยากให้เฉินเสี่ยวและพ่อแม่ของตัวเองรู้เรื่องนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงให้พวกเขาไม่ต้องรู้กลัวและกังวล
“อืม ได้ งั้นเสี่ยวเกอเองก็รีบไปพักผ่อนเหมือนกันนะ!”
เฉินเสี่ยวยิ้มจางๆ ก่อนหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน
หลังจากที่มองดูพี่สาวเดินหายเข้าไปในตัวบ้าน เฉินเกอก็กระโดดบินออกไปจากคฤหาสน์ด้วยความรวดเร็ว ไล่ตามไปยังทิศทางที่เงานั้นหายไปและปลดปล่อยความรู้สึกทางจิตของเขาในการค้นหา
“ออกมาเถอะ ผมรู้ว่าคุณอยู่แถวนี้!”
เฉินเกอหยุดลง แล้วยืนนิ่งอยู่กับที่ แล้วพูดกับต้นไม้อย่างเฉยชา。
“ซ่าๆๆ!”ทันทีที่ได้ยินเสียงใบไม้ขยับ ก็มีเงาดำพุ่งออกมา พร้อมกับพลังกระบี่ที่ตรงมายังทางของเฉินเกอ
เฉินเกอที่ไหวตัวทัน จึงหลบไปยังอีกทาง พร้อมกับปล่อยพลังฝ่ามือออกไป
ทั้งสองถึงจะปล่อยพลังออกมาแบบนี้ แต่ก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บสักคน
“คุณเป็นใคร?”
เฉินเกอถามไปอย่างเย็นชา
“ดูแล้วที่ตระกูลฉินถูกแกทำลายก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะแกได้บรรลุเข้าสู่ขอบเขตเจินเหรินอย่างเต็มตัวแล้ว พลังก็ไม่ได้น้อย อายุเพียงแค่นี้ทั้งยังมีโอกาสที่จะเพิ่มพลังได้อย่างไม่จำกัดอีก!”
อีกฝ่ายพูดด้วยถ้อยคำที่ค่อนข้างกำกวมลึกลับ ถึงมีพลังของเขาจะทำให้เฉินเกอรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาตกตะลึงได้ เฉินเกอจึงหรี่ตาลง จ้องมองไปยังชายชุดคลุมสีดำ
“คุณเป็นใครกันแน่?ไม่ต้องมาหลบซ่อน มีเรื่องอะไรก็แสดงตัวออกมาอย่างโจ่งแจ้งเลยจะดีกว่า!”
“หึๆ!”
“ในตอนนี้นายยังไม่มีความสามารถพอที่จะรู้ตัวตนของฉัน!ฉันจะบอกได้แค่ว่าท่านราชเทพเป็นคนส่งฉันมาเท่านั้น!”
ชายในชุดคลุมสีดำหัวเราะเบา ๆ และให้คำตอบกับเฉินเกอ
พอพูดจบ ไม่รอให้เฉินเกอได้ตั้งตัว ชายชุดคลุมสีดำก็หายวับออกไปล่องลอยหายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน
“นายท่าน คนผู้นี้พลังของเขาไม่ได้อ่อนหัด อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนที่มีการบำเพ็ญจิตชั้นสองของขอบเขตเจินเหรินขึ้นไป!”
ในเวลานั้นเองญาณกระบี่ที่อยู่ในตัวของเฉินเกอก็เอ่ยปากเตือนเฉินเกอ
“ญาณกระบี่ นายรู้จักท่านราชเทพที่เขาพูดถึงหรือเปล่า?แล้วเขาคนนั้นคือใคร?”
เฉินเกอถามญาณกระบี่ด้วยความสงสัย
“ก็ไม่แน่ใจ แต่ผมสามารถรับรู้ถึงลมปราณบนตัวของเขาซึ่งมันมาจากโลกยู่แน่นอน!”
ญาณกระบี่รีบตอบกลับเฉินเกอทันที
เป็นคนจากโลกยู่อีกแล้ว ดูเหมือนว่าทั้งหมดนี้จะเป็นไปตามที่เฉินเกอคาดไว้ที่ว่าการตายของตระกูลฉินนั้นทำให้โลกยู่เกิดความปั่นป่วน ซึ่งมันจะทำให้เขาต้องเดือดร้อน
“แต่นายท่าน คนคนนี้ไม่ได้จะมาก่อกวนท่าน คาดเดาได้ว่าเขามาที่นี่เพียงเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของท่านเท่านั้น!”
ญาณกระบี่อธิบายสาเหตุให้กับเฉินเกออีกครั้ง
จุดนี้เฉินเกอก็พอจะมองออก ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ลงมือจะฆ่าตัวเอง แต่ทำการทดสอบแต่ยังโชคดีที่เฉินเกอเองก็ไม่ได้แสดงพลังที่แท้จริงของตัวเองออกไปมากมาย ซึ่งมันทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถมองพลังของเขาออก
“ดูแล้วฉันต้องหาคนให้ไปสืบหาว่าราชเทพคนนี้คือใครกันแน่ซะแล้วล่ะ!”
เฉินเกอมองไปยังทิศทางที่ชายในชุดคลุมสีดำหายตัวไปอย่างจดจ่อ ก่อนจะพูดออกมา