ที่แท้….ฉันเป็นลูกเศรษฐี! - ตอนที่ 926
บทที่ 926 นักพรตทองหลิง
หลังจากกลับสู่ความเป็นจริง เฉินเกอก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันทีในใจ สมองของเขาเกิดการบรรลุเพิ่มขึ้น ที่แท้การบรรลุนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเขากลับไปแล้วเท่านั้น
จากนั้น เฉินเกอก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง
ทันทีที่ยกมือขึ้นพลังก็พลุ่งพล่านขึ้นทันที
“ฉึบ!”
มีดในมือฟันไม้ไผ่ญาณตรงหน้าลงสะบั้น
เห็นได้ว่าไผ่ญาณถูกฟันขาดออกโดยเฉินเกอทันที
ประสบความสำเร็จแล้วจริงๆ!
ในใจของเฉินเกอตื่นเต้นยิ่งกว่าอะไรดี
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าไผ่ญาณดวงแรกหมายถึงอะไร
ทุกอย่างควรทำไปทีละขั้นตอน ห้ามรีบร้อน นี่คือความหมายของไผ่ญาณนี้
และนี่คือสาเหตุที่เมื่อเฉินเกอแข่งขันหมากรุกกับชายชราผู้นั้นถึงได้มีความก้าวหน้าเร็วยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
“ขอแสดงความยินดีกับคุณ เฉินเกอ ที่สามารถทำลายไผ่ญาณดวงแรกได้! ”
ถ่าบันกำลังยืนอยู่ข้างหลังเขา และยิ้มน้อยๆ ให้เฉินเกออย่างยินดี
เฉินเกอเองก็ยิ้มกลับไปเช่นกัน จากนั้นก็เดินเข้าไปหาไผ่ญาณดวงถัดไป
เช่นเดิม เขายื่นมือออกไปวางลงบนไผ่ญาณดวงที่สอง
ทันใดนั้น จิตสำนึกของเฉินเกอก็เข้าสู่ช่องว่างอีกครั้ง
ครั้งนี้ช่องว่างมันแตกต่างออกไป มันเต็มไปด้วยฉากอันสวยงามมากมายนับไม่ถ้วน
ฉากนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา
ในเวลานั้นเอง มีชายชราอีกคนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเฉินเกอ
“เพื่อนตัวน้อย ดูออกไปไหมว่าฉากเหล่านี้แสดงออกถึงอะไร”?”
ชายชรามองเฉินเกอด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและท่าทางใจดี
หลังจากได้ฟัง เฉินเกอก็นิ่งไป
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีนามว่าอะไร?”
เฉินเกอไม่รีบตอบคำถาม แต่กลับถามชายชราขึ้นแทน
“ฮ่าฮ่า ฉันคือนักพรตทองหลิง”
ชายชราตอบด้วยรอยยิ้มจางๆ
“สวัสดีผู้อาวุโสทองหลิง ฉากนี้เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ผมเห็นแค่ว่ามันแสดงถึงฤดูทั้งสี่อันได้แก่ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว”
เฉินเกอกล่าวทักทายนักพรตทองหลิงก่อน จากนั้นจึงค่อยเอ่ยอธิบายให้เขาฟัง
นักพรตทองหลิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“คุณพูดถูก ฤดูทั้งสี่เป็นการแสดงออกของสิ่งนี้ แต่ในนั้นยังมีการแสดงออกอย่างอื่นอยู่ด้วย เด็กน้อยคุณต้องสงบสติอารมณ์ และรับรู้มันด้วยหัวใจ””
นักพรตทองหลิงเอ่ยเตือนและชี้แนวทางให้แก่เฉินเกอ
เฉินเกอพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นจึงสงบจิตใจของตนลง และใช้ใจในการรับรู้ถึงฉากแห่งการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ตรงหน้าเขา
หลังจากนั้นไม่นาน เฉินเกอก็ลืมตาขึ้น
“ผมเข้าใจแล้ว ผู้อาวุโสทองหลิง ฉากตรงหน้าไม่เพียงแต่หมายถึงฤดูทั้งสี่ แต่ยังรวมถึงฉากชีวิตที่แตกต่างกันด้วย”
“ฤดูใบไม้ผลิ หมายถึงบุคคลที่เพิ่งกำเนิด ราวกับว่าเป็นภาพแห่งการแตกหน่อใหม่”
“ฤดูร้อน หมายถึงสิ่งที่บุคคลพบเจอทั้งหมดในการเติบโต เฉกเช่นอากาศในฤดูร้อน ย่อมต้องมีปัญหาและความทุกข์ใจอยู่เสมอ”
“ฤดูใบไม้ร่วง หมายถึงบุคคลผู้หนึ่งได้มาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ราวกับการเก็บเกี่ยว”
“ฤดูหนาว หมายถึงบุคคลผู้นั้นได้มาถึงจุดสิ้นอายุขัย และมองย้อนกลับไปในอดีต”
เมื่อได้ยินเฉินเกอบอกถึงความเข้าใจทั้งหมดของตนออกมา
“แปะ แปะ แปะ!”
หลังจากฟังคำอธิบายของเฉินเกอ นักพรตทองหลิงก็ยื่นมือออกมาปรบมือ
“ไม่เลว ไม่เลว หนุ่มน้อย คุณไม่ธรรมดาจริงๆ จึงได้เข้าใจถึงจุดนี้ ไม่เหมือนคนอื่นๆ ทั่วไป ไม่เลว ฤดูทั้งสี่นั้นหมายถึงชั่วชีวิตของคนผู้หนึ่งจริงๆ ”
“เอาล่ะ หนุ่มน้อย คุณบรรลุแล้ว กลับไปได้แล้ว! ”
หลังจากนั้นก็ได้ยินแต่นักพรตทองหลิงเอ่ยสั่งให้เฉินเกอ
สิ้นเสียงลง จิตสำนึกของเฉินเกอก็ถูกส่งออกมากลับสู่ความเป็นจริง
เฉินเกอยกมือขึ้นและฟันไผ่ญาณดวงที่สองทันที
“ฟึบ! “”
ไผ่ญาณถูกสะบั้นลงไปในทันที
ไผ่ญาณดวงที่สอง เฉินเกอได้บรรลุถึงความหมายของชีวิต
เขารู้ดีว่าชีวิตของคนก็เหมือนกับฤดูทั้งสี่ เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล อย่างไรก็ตามทุกคนล้วนต้องเผชิญเกิดแก่เจ็บตาย สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือการดื่มด่ำไปกับประสบการณ์ในช่วงชีวิตเหล่านั้น ไม่ใช่ทำอะไรบางอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรม
เมื่อเห็นเฉินเกอทำลายไผ่ญาณดวงที่สองลง ถ่าบันก็ยิ้มอย่างชื่นชม
นั่นเพราะเฉินเกอไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ
จากนั้น เฉินเกอก็วางมือบนไผ่ญาณดวงที่สามทันที
ทันใดนั้นจิตสำนึกของเฉินเกอก็เข้าสู่พื้นที่ใหม่
ไผ่ญาณดวงที่สาม
หลังจากเข้ามาในจิตสำนึก เขาก็เห็นชายคนหนึ่งที่เหมือนกับตนอย่างไม่ผิดเพี้ยน
เฉินเกอประหลาดใจอย่างยิ่ง
“นายคือ?”
เฉินเกอถามอย่างสงสัย
“ฉันคือนายไง! ”
อีกฝ่ายเองก็ยิ้มออกมาน้อยๆ และมองดูเฉินเกอ
“นายเป็นฉัน? แล้วฉันเป็นใคร?”
เฉินเกอยังคงถามต่อไป
“นายคือฉัน ฉันคือนาย พวกเราคือคนคนเดียวกัน เพียงแต่เราสองมีความคิดที่แตกต่างกัน! ”
อีกฝ่ายตอบเฉินเกออย่างมีนัยยะบางอย่าง
“ความคิดที่แตกต่าง หมายความว่าอย่างไร”?”
เฉินเกอยังคงเอ่ยถามอย่างสับสนอยู่บ้าง
“ฮ่าฮ่า พูดตามตรงก็คือ ฉันเป็นตัวตนอีกคนของนาย หรือก็คือตัวตนในด้านมืดของตน หรือที่เรียกกันว่าจิตมาร! ”
อีกฝ่ายอธิบายให้เฉินเกอฟังพร้อมหัวเราะเบา
เฉินเกอถึงค่อยเข้าใจขึ้นมาว่า ที่แท้ชายตรงหน้าที่ดูเหมือนเขาก็คือจิตมารของตน
เฉินเกอรู้แล้วว่าไผ่ญาณดวงที่สามก็คือการทดสอบตนเองเมื่อเผชิญหน้ากับจิตมาร มีแค่การเอาชนะจิตมารได้เท่านั้นที่จะทำให้เขาบรรลุได้
“เฉินเกอ ทำไมก่อนหน้านี้นายถึงไม่ยอมเสียสละเล๋ยเล่ไปบูชายัญเพื่อแลกเปลี่ยนกับกุญแจเปิดประตูตระกูลเส่ส้า? นายโง่รึเปล่า โอกาสที่ดีขนาดนี้นายกลับทำมันสูญเปล่า”!”
ทันใดนั้นก็ได้ยินจิตมารเอ่ยขึ้นพร้อมมองไปที่เฉินเกอด้วยความโกรธ
เฉินเกอยังคงจ้องมองจิตมารอย่างแน่วแน่
“ฉันไม่มีทางเอาเพื่อนของตนเองไปบูชายัญแน่! ”
เฉินเกอรีบตอบโต้กับจิตมารของตนทันที
“โง่! ”
หลังจากได้ยินคำพูดของเฉินเกอ จิตมารก็พุ่งเข้าหาเฉินเกออีกครั้งและด่าเขาทันที
“นายรู้หรือเปล่าว่าตนเองกำลังทำอะไร? แต่เดิมโอกาสอันดีเยี่ยมถึงตรงหน้านายแล้วแท้ๆ แต่นายกลับไม่รู้จักคุณค่าของมัน นายนี่มันช่างโง่เง่าจริงๆ! ”
จิตมารจ้องมองเฉินเกอด้วยความโกรธและยังคงดูถูกเขาต่อ
“หุบปาก นายก็เป็นแต่จิตมารในใจฉันก็เท่านั้น นายไม่มีทางควบคุมและตัดสินความคิดของฉันได้! ”
เฉินเกออดไม่ได้ที่จะโต้กลับด้วยความโกรธ
“ฮ่าฮ่าฮ่า! “”
เมื่อได้ยินการโต้กลับของเฉินเกอ จิตมารก็หัวเราะออกมาดังลั่นในทันที
ทันใดนั้น ความมืดมิดก็เข้ามาเติมเต็มเสียงหัวเราะของจิตมาร เสียงหัวเราะนั้นแหลมคมและมืดมนอย่างยิ่ง
“งั้นหรือ? ถ้าหากฉันกลืนกินนายแล้ว นายก็จะต้องตกอยู่ภายใต้ฉันตลอดไป!”
รูปลักษณ์ของจิตมารแปรเปลี่ยนเป็นชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ขึ้นมา เขามองไปที่เฉินเกอแน่นิ่งและกล่าว
พูดจบ ในมือของจิตมารก็มีอาวุธปรากฏขึ้น
“กระบี่ซิงหยวน! ”
เฉินเกอเมื่อเห็นดังนั้น ในใจก็ตื่นตะลึง
ไม่ผิด ในมือของจิตมารไม่ใช่อะไรอื่น มันคือกระบี่ซิงหยวนของเฉินเกอเอง
เฉินเกอไม่คาดคิดว่าจิตมารของเขาจะสามารถควบคุมกระบี่ซิงหยวนได้
“เฉินเกอ นายช่างโง่มากจริงๆ อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจเลย ฉันจะล้มนายลงให้เป็นผุยผง ฉันต้องการครอบครองทั้งร่างกายและจิตใจของนาย”!”