ท่านประธานที่รัก - บทที่ 332 วิสัยทัศน์แย่ลงเรื่อยๆ
ถึงแม้ทั้งสองคนจะพูดคุยติดต่อกันไม่ถึงหนึ่งปี
แต่เฉินเฉียวก็รู้สึกว่าเธอถือว่ารู้จักนิสัยโย่วอีดี
ถึงแม้ภายนอกจะเป็นผู้ใหญ่ แต่จริงๆ แล้วจิตใจยังเป็นเด็กน้อย เขาไม่ชอบเล่นกับเด็กผู้หญิง รู้สึกว่าเด็กผู้หญิงเหล่านั้นเป็นเรื่องลำบาก
เหมือนเพื่อนนักเรียนผู้ชายตอนเธออยู่โรงเรียนเลย
เด็กผู้หญิงเข้าใจยาก เกมสิคือความรักที่แท้จริง
เด็กหนุ่มเจ็ดในเก้าคนคิดแบบนี้
ที่เหลือคือรู้ทุกอย่างก่อนวัยอันควร รู้ว่าเด็กสาวควรจะทะนุถนอมเธอเป็นอย่างดี
ตามหลักการ โย่วอีควรเป็นอย่างหลัง
ยังไงแล้วครอบครัวก็มีเงินมีอำนาจ เขาก็มีความสามารถและหล่อ เป็นผู้ชนะในชีวิตจริง
เขาดันเป็นประเภทแรก ไม่เข้าไปยุ่งกับความฟุ้งเฟ้อ สำมะเลเทเมาพวกนั้น รถหรูและสาวสวยก็ไม่ใช่ความชื่นชอบของเขา
เฉินเฉียวลูบศีรษะโย่วอีอย่างหมดหนทาง จากนั้นก็ยิ้มให้เด็กผู้หญิงที่กะพริบตาปริบๆ มองเธออย่างสงสัยขณะที่พูดขึ้น “เด็กนักเรียน ขอโทษจริงๆ นะจ๊ะ โย่วอีมักจะทำแบบนี้กับเด็กผู้หญิง”
“หนูบาดเจ็บมากไหม?” เห็นข้อมือช้ำของเด็กผู้หญิง เฉินเฉียวก็ถามอย่างกังวลเล็กน้อย เห็นอวี๋ฉยงเย่ว์ส่ายหน้าแล้ว เฉินเฉียวก็ไม่ค่อยวางใจ หยิบทิชชูเปียกที่พกติดกระเป๋าออกมา กลิ่นมิ้นท์ติดข้อมือของเธอทันที
“ใช้ทิชชูเปียกอันนี้วางทับไปสักพัก มันจะช่วยบรรเทารอยได้บ้าง เด็กนักเรียน ให้ป้าพาหนูไปโรงพยาบาลไหมจ๊ะ”
“ไม่ ไม่ต้องค่ะ” อวี๋ฉยงเย่ว์รีบโบกมือปฏิเสธหลายที
พูดตะกุกตะกักจบ อวี๋ฉยงเย่ว์ก็ยื่นศีรษะออกไปมองแม่โย่วอีที่มองเธอด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แค่รู้สึกว่าแม่ของโย่วอีสวยมาก และอ่อนโยนมากจริงๆ
ใช้คำที่เธอเพิ่งเรียนมาเร็วๆ นี้มาบรรยาย นั่นก็คือสวยงามร่ำลือกันทั่วทั้งเมือง
เดิมทีอวี๋ฉยงเย่ว์ที่สนใจซังโย่วอี ตอนนี้ตกอยู่ภายใต้เสน่ห์ของเฉินเฉียวแล้ว
หลังจากเฉินเฉียวดึงมือโย่วอีเดินออกไป ก็มองแผ่นหลังที่ค่อยๆ เดินไปอย่างว่างเปล่าบนใบหน้าอวี๋ฉยงเย่ว์ก็ยิ้มโง่ๆ อย่างเห็นได้ชัด
ระหว่างทางกลับบ้าน เฉินเฉียวนั่งเบาะหลัง หยิบหนังสือมาอ่านเล่นๆ
โย่วอีที่เดิมทีคิดว่าจะถูกแม่สั่งสอนสักที ไม่คิดเลยว่าจะเผชิญกับเหตุการณ์แบบนี้ ก็ไม่เข้าใจ แต่ก็รู้สึกโชคดี
หลังจากเข้าไปในบ้านแล้ว โย่วอีก็รู้สึกเขาสุขใจเร็วเกินไปจริงๆ
“โย่วอี แม่เห็นลูกผลักเด็กคนอื่นชำนาญมากเลยนะ ไม่ใช่ครั้งแรกใช่ไหม” เฉินเฉียวที่นั่งโซฟาดื่มชาอย่างไม่แยแสคิ้วกระตุก เอ่ยถามขึ้น
โย่วอีหัวใจเต้นตึกตัก
ลังเลว่าจะเล่าออกไปดีไหม
สุดท้ายโย่วอีก็เลือกที่จะตรงไปตรงมา
ก้มหน้า พูดขึ้นอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “แม่ ผมรู้ว่าวันนี้สิ่งที่ผมทำมันไม่ถูกต้อง แต่แม่ไม่รู้ วันนี้เด็กผู้หญิงคนนั้นที่แม่เจอยุ่งกับผมยังไงบ้าง เจอกันครั้งแรกก็ผลักผมใส่ต้นไม้ บอกว่าจะเป็นแฟนผม”
“แม่ แม่ก็รู้ว่าผมอยากตั้งใจเรียน อนาคตจะได้ก้าวหน้า จะให้พวกเด็กผู้หญิงที่วันๆ มีแต่เรื่องความรักมาจีบได้ยังไง ผมเลยตำหนิเธอเสียงดังไปหนึ่งที บังเอิญ”
เพราะประโยคสุดท้ายค่อนข้างละอายใจ โย่วอีนึกขึ้นมาก็รู้สึกผิดเล็กน้อย
เฉินเฉียวกลับตอบเขาว่า “บังเอิญอะไร?”
เห็นว่าหนีไม่ได้ โย่วอีก็พึมพำเสียงทุ้ม “แค่สะบัดเธอล้มลงกับพื้น”
ได้ยินประโยคนี้ ในแววตาเฉินเฉียวก็อดมีรอยยิ้มไม่ได้ เธอแทบอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังๆ
ทำไมมีลูกชายน่ารักขนาดนี้กันนะ เพราะเขาสารภาพว่าผลักคนล้มลงกับพื้น
ฮ่าๆๆ ไม่ได้การ เธอต้องกลั้นไว้ ห้ามเผยออกไปว่าเธอกำลังขำ
แม้ว่าเฉินเฉียวจะไม่ได้เผยรอยยิ้มออกไป แต่ไอความสุขทั้งร่างกาย มันปกปิดไว้ไม่มิด
เฉินเฉียวจงใจกระแอมไอหนึ่งที ยืนขึ้นเดินมาหาโย่วอี ตบบ่าเขา พูดขึ้นอย่างจริงใจและจริงจัง “โย่วอี เด็กผู้หญิงจะปฏิบัติด้วยแบบนี้ไม่ได้นะ ปฏิบัติกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งต้องอ่อนโยนเป็นสุภาพบุรุษและมีมารยาท ไม่อย่างนั้นในอนาคตลูกจะหาแฟนไม่ได้”
“แม่ ผมยังเด็กอยู่นะ” โย่วอีโดนว่าจนหน้าแดงด้วยความโกรธ หน้าตาไร้เดียงสา แล้วก็คัดค้านเสียงดัง
“เอาล่ะๆๆ แม่ไม่พูดแล้ว ลูกน่ะคิดดูให้ดีแล้วกัน” เฉินเฉียวนั่งขึ้นมาจากโซฟา ปิดหนังสือแล้วเดินไปที่ชั้นสอง
หลังจากขึ้นชั้นสองแล้ว เฉินเฉียวก็ตรงไปที่ห้องตัวเองทันที หัวเราะเสียงดังขึ้นมา
โชคดีที่ห้องเก็บเสียงดีมาก คนด้านนอกฟังไม่ชัดว่าคนด้านในกำลังทำอะไร
เฉินเฉียวเมื่อเดินเข้าไปในห้อง ก็ไม่ได้มองไปที่เตียงเธอ พิงประตูกำลังหัวเราะ
จนกระทั่งมีเสียงผู้หญิงที่งัวเงียขี้เกียจไม่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้นที่หัวเตียงใต้ผ้านวม หลังจากหาวแล้วก็พูดขึ้น “มีอะไรตลกเหรอ เล่าให้ฉันฟังบ้างสิ”
ผมหยิกสีทอง คิ้วหวานมีเสน่ห์ เปลือกตาแคบลงเพราะง่วงจนหรี่ครึ่งหนึ่ง สวมชุดนอนไหมสีทอง
หลังจากเฉินเฉียวมองสำรวจหลายที ก็พบว่าชุดนอนผ้าไหมนั้นเป็นชุดที่เธอเคยซื้อ แค่ยังไม่ทันใส่
ผู้หญิงคนอื่นใส่เสื้อผ้าของตัวเองไปแล้ว สำหรับเฉินเฉียวแล้ว แทบเป็นเรื่องที่ทนไม่ได้ เธอขมวดคิ้ว เดิมทีใบหน้าที่มีรอยยิ้มก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เธอเป็นใคร ทำไมใส่เสื้อผ้าฉัน อีกอย่างทำไมเธอมาอยู่ที่เตียงฉัน”
“อะไรนะ เตียงเธอเหรอ?” หญิงสาวขมวดคิ้ว หลังจากที่มองดูสักพัก ก็ส่ายหน้า พูดขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “วิสัยทัศน์พี่ชายฉันแย่ลงเรื่อยๆ แล้วสินะ ก่อนหน้านี้ก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานสองครั้ง ตอนนี้ จึ๊ๆ หน้าเธอนี่เหมือนโดนมีดมากกว่าหนึ่งครั้งใช่ไหมนะ”
“พี่ชาย? เธอคือ” ถึงแม้คำพูดผู้หญิงคนนี้ตรงหน้าพูดแล้วทำให้เฉินเฉียวอึดอัดใจ แต่หลังจากได้ยินเธอพูดว่าพี่ชาย เฉินเฉียวก็คิดอย่างรอบคอบ ก็รีบวิเคราะห์คนตรงหน้ากับคนที่หลินจวินเคยบอกเธอ
“ฉันคือซังเวย เป็นลูกพี่ลูกน้องหลินจวิน” ในน้ำเสียงซ่อนความมั่นใจไว้ สีหน้าเปลี่ยนเป็นสบายๆ เหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว
“มองไม่ออก มีตาไหม” ซังเวยยกเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย หลังจากมองเฉินเฉียวอย่างตั้งใจ พูดขึ้น “วันนี้ฉันเพิ่งกลับมาจากอเมริกา พี่ฉันบอกว่าเปิดประตูทิ้งไว้ให้ ฉันเห็นประตูนี้ของพวกเธอเปิดอยู่ คิดว่าเป็นประตูที่เปิดไว้ให้ฉัน”
ในใจซังเวยมองทุกอย่างเข้าใจหมด ถึงแม้เธอจะหยิ่งและเอาแต่ใจ ตอนนี้คนที่สำคัญที่สุดในตระกูลซังคือใครเธอก็รู้ดี
ในเมื่อพี่บอกเรื่องในบ้านทั้งหมดกับผู้หญิงตรงหน้า ก็ต้องอยากคบกับเธออย่างจริงจัง ถึงแม้จนถึงตอนนี้ ก็ยังมองไม่เห็นว่าผู้หญิงตรงหน้ามีดีตรงไหน แต่ซังเวยรู้ดี การตัดสินใจของพี่ไม่มีใครคัดค้านได้ และไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงเธอแน่นอน
ในเมื่อไม่ได้ตั้งใจหลับไปบนเตียงเธอ แน่นอนว่าต้องพูดดีๆ กับเธอสักหน่อย ไม่งั้นถ้าเธอไปแอบฟ้องพี่ เธอคงจบเห่แน่