ท่านประธานที่รัก - บทที่ 406 ไม่รักษาคำพูด
“ลูกพี่หมายความว่าจะให้ผมไปร่วมงานกับหยวนเซิ่ง?” ดวงตาที่มืดมนของปู้อี้เฉินดูไม่ออกว่าในใจเขากำลังคิดอะไรอยู่
แต่เซิ่งยวี่รู้ว่าเขาทนได้ เพราะเขาสามารถทิ้งศักดิ์ศรีในอดีตได้ เลือกที่จะมาเกาะน้องสาวเขา แต่เขาก็แค่ให้เขาไปร่วมงานกับศัตรู เมื่อเทียบกันแล้ว เซิ่งยวี่รู้สึกว่าอย่างแรกสำคัญกว่า
ปู้อี้เฉินไม่ได้แสดงปฏิกิริยามากนัก เขาแค่ก้มหน้า จากนั้นค่อยเงยหน้าขึ้นยิ้มเอ่ยว่า “ลูกพี่ให้โอกาสผม ผมรู้สึกขอบคุณมากเลยครับ ลูกพี่ไว้ใจเถอะครับ ผมจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน”
ความจริงปู้อี้เฉินรู้อยู่แล้วว่าเซิ่งยวี่ไม่ช่วยเขาง่ายๆหรอก เขาเลยเตรียมใจไว้แล้ว
ตอนนี้รับภารกิจนี้ ก็เพื่อแสดงความมุ่งมั่นของเขากับเซิ่งยวี่
เขาจะพยายามพัฒนาบริษัท ไม่สนว่าใครจะขวางทางอยู่ข้างหน้า
เซิ่งยวี่ยิ้มเอ่ย “งั้นรอดูแล้วกัน”
ให้เขารอดูว่าซังหลินจวินมีความสามารถมากแค่ไหนในเป่ยเฉิง มากพอให้เขาปล่อยธุรกิจที่อิตาลีแล้วร่วมงานกับเขาหรือเปล่า
หลังจากที่ซังหลินจวินกลับจากบริษัท เพิ่งเดินเข้าประตูก็ได้ยินเสียงคนกำลังคุยกัน
เขาคิดว่าเฉียวเฉียวกับลูกๆ เลยหยุดเดิน แต่พอฟังดีๆกลับได้ยินเสียงคุณแม่
เขาสงสัย เลยยื่นหน้าไปฟัง
ตอนนั้นเฉินเฉินกับคุณหญิงซังกำลังพาเด็กๆดูทีวีอยู่ที่โซฟา
แต่เฉินเฉินไม่เหมือนคุณหญิงที่ตั้งใจพาเหมิงเหมิงดูทีวี
ในมือเธอถือสมุดของโยว่อีอยู่ กำลังตรวจดูว่าเขาทำการบ้านเสร็จหรือยัง
ยังไม่ได้เดินเข้าไปก็ได้ยินเฉินเฉินพูดว่า “โยว่อี การบ้านวิทยาศาสตร์ของหนูยังว่างอยู่ ช่วงนี้คุณครูไม่สั่งการบ้านเหรอคะ?”
โยว่อีที่นั่งอยู่อย่างเรียบร้อย พอได้ยินคุณแม่ถามก็เริ่มนั่งไม่ติด
ก่อนที่เขาพาเหมิงเหมิงออกนอกประเทศ เขาทำการบ้านเสร็จเกือบหมดแล้ว ถึงเขาจะระวังมากแค่ไหน แต่กลับลืมบางวิชา ตอนนี้เลยต้องนั่งฟังคุณแม่ว่า
เฉินเฉินที่ยื่นสมุดว่างๆไปให้โยว่อี
เธอถอนหายใจแล้วเอ่ย “โยว่อี หนูยังเด็ก ตอนนี้ต้องตั้งใจเรียน เรื่องของผู้ใหญ่หนูอย่าไปยุ่งด้วย แม่ไม่อยากให้หนูเอาแต่คิดอะไรที่ไม่เกี่ยวกับการเรียน”
การเป็นแม่คนหนึ่ง ยังไงก็อยากเห็นลูกประสบความสำเร็จอยู่แล้ว
กับลูกของตัวเอง ก็อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเขา
โดยเฉพาะโยว่อีที่อยู่ในตระกูลร่ำรวยแบบนี้ เรื่องฐานะ เขาดีกว่าคนอื่นเยอะมาก
เขามีสภาพแวดล้อมที่ดีกับครูที่เก่งที่สุดสอนเขา
แล้วเขาก็มีพรสวรรค์ด้วย
พูดได้เลยว่า แค่เห็นผ่านตาเขาก็จะไม่ลืม
ถึงจะมีพรสวรรค์มากแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาสามารถทำตามใจตัวเองได้
ตอนอยู่ต่างประเทศเฉินเฉินเคยเห็นคนที่เก่งที่มีพรสวรรค์มากมาย แต่ถ้าไม่ขยันก็จะกลายเป็นคนทั่วไป
เพราะฉะนั้นเธอเลยเข้มงวดเรื่องการเรียนกับโยว่อี
แต่กลับเป็นคุณหญิงซังที่เห็นเด็กทำให้เศร้าแล้วเป็นห่วง เลยรีบพูดเสริมว่า “เด็กก็เป็นห่วงพวกเธอเกินไปเลยไม่ได้ทำการบ้าน เฉียวเฉิน หนูดูสิ วิชาอื่นเขาก็ทำเสร็จหมดแล้วไม่ใช่เหรอ”
เพื่อให้เฉินเฉินสนใจว่าโยว่อีตั้งใจทำการบ้านจริงๆ คุณหญิงซังเลยหยิบสมุดวิชาอื่นของเขามา แล้วเอาเล่มที่ได้คะแนนเต็มยื่นให้เธอ
เฉินเฉินก็ทำอะไรไม่ได้ เธอรู้ว่าคุณหญิงรักหลานของตัวเอง แต่บางเรื่องก็ตามใจไม่ได้
แต่เธอเป็นลูกสะใภ้ เลยจะว่าอะไรคุณหญิงไม่ได้
ทันใดนั้น ซังหลินจวินที่เดินเข้ามาปลดกระดุมเสื้อสูทสีดำออก เดินไปข้างเฉินเฉียวแล้วยื่นเสื้อให้เธอ
เฉินเฉียวรีบเสื้อมาแล้วพูดว่า “ฉันกำลังตรวจการบ้านโยว่อีอยู่”
“เหรอ?” ซังหลินจวินเหลือบมองลูกชายที่ก้มหน้าอยู่
เขาก้มลงไปหยิบสมุดที่ว่างเปล่าขึ้นมา ดูไปสักพักแล้วรีบขมวดคิ้ว จากนั้นก็เอ่ยเสียงเข้ม “ซังโยว่อี ทำไมเราไม่เขียนอะไรเลย พรุ่งนี้ไปโรงเรียนแล้วอยากโดนเรียกผู้ปกครองเหรอ? ยังไม่รับกลับไปเขียนที่ห้องอีก”
พอโยว่อีโดนว่าไปแล้ว เขาจึงรีบเอาสมุดกลับไปที่ห้อง
ปกติโยว่อีอยู่บ้านเป็นเด็กที่มีชีวิตชีวามาก เฉินเฉียวไม่เคยเห็นเขาเศร้าขนาดนี้มาก่อน ในใจเลยเป็นห่วง
โดยเฉพาะตอนที่เห็นโยว่อีเดินไปไกลกว่าเดิม อยู่ๆในหัวเฉินเฉียวกลับมีภาพเหตุการณ์ที่คุ้นเคยลอยเข้ามา
มีรถพุ่งมาหาเธอ แต่โยว่อีที่ยังเด็กใช้ตัวเขาบังเธอไว้
ในดวงตาเลยมีม่านน้ำตา ตอนที่น้ำตากำลังจะไหล กลับรู้สึกว่ามีคนมาตบไหล่เธอเบาๆ
“เฉียวเฉิน เธอเป็นอะไรหรือเปล่า” ซังหลินจวินใช้สายตาที่เป็นห่วงมองคนที่เหม่อ
เฉินเฉินแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรแล้วปาดน้ำตา “ไม่เป็นไร แค่แสบตานิดหน่อย”
แต่ตอนที่เธอเห็นโยว่อีกำลังจะขึ้นไป เธอเลยใช้ศอกสะกิดซังหลินจวินที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วพูดเสียงดุ “นายจะดุโยว่อีทำไม นายไม่รู้เหรอว่าเขายังเป็นเด็ก โดนดุแบบนี้ต้องเสียใจแน่ๆ”
ในใจซังหลินจวินแอบคิดว่าเมื่อกี้เธอดุกว่าเขาอีก
แต่กลับทำหน้าเห็นด้วย “เมื่อกี้ฉันดุเกินไปจริงๆ โยว่อีอาจจะคิดมาก งั้นฉันไปดูเขาก่อน”
เฉินเฉียวรีบพยักหน้าทันที จากนั้นก็ใช้มือดันเขา
ที่เฉียวเฉินรีบดันเขาไป ถึงซังหลินจวินจะรู้สึกน้อยใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
เขาตามโยว่อีขึ้นไปชั้นบน พอไปถึงหน้าประตูห้อง ก็ยกมือขึ้นเคาะประตูก่อน
โยว่อีที่กำลังก้มหน้าเขียนการบ้านตอบว่า “เข้ามาได้ครับ”
เขากำลังตั้งใจทำการบ้าน รอคนข้างนอกเข้ามาแล้วก็ไม่ได้ทำให้เขาไม่ตั้งใจ
เห็นโยว่อีกำลังเขียนการบ้าน ซังหลินจวินเลยเดินไปจับไหล่โยว่อีไว้แล้วเอ่ย “ทำไมอยู่ๆถึงตั้งใจล่ะ ปกติพ่อเรียกเราทำการบ้าน เราก็จะเล่นก่อนไม่ใช่เหรอ?”
พอคุณพ่อเดินเข้ามา โยว่อีเลยใช้ดินสอจิ้มคางเบาๆ “คุณแม่ไม่ชอบให้ผมเล่น ผมเลยเชื่อฟังคุณแม่มาทำการบ้าน จะว่าไป พ่อครับ เมื่อกี้พ่อบอกเองไม่ใช่เหรอครับ?”
ซังหลินจวินขยี้หัวโยว่อีแล้วเอ่ย “ก็แค่พูดไปงั้นแหละ ไม่คิดว่าเขาจะเชื่อฟังจริงๆ”
โยว่อีคิดไม่ถึงเลยว่า ที่แท้ในสายตาคุณพ่อ เขาเป็นคนที่ไม่รักษาคำพูดเลย