ท่านประธานที่รัก - บทที่ 481 ลงเรือลำเดียวกัน
เขาเดินหน้าไปหา ซังอี๋ก็มองชู่จี้อย่างระแวง ทำท่าทางเหมือน ‘ถ้านายยังเดินมาใกล้อีก งั้นไม่ฉันก็นายที่ต้องตาย’
ชู่จี้เลยต้องพูดเสียงอ่อนโยนกับเธอ “เธอใจเย็นๆก่อน ฉันไม่ใช่คนไม่ดี เธอไม่ต้องกลัว” ดูท่าทางแบบนั้น ซังอี๋น่าจะลืมเขาไปแล้ว
ซังอี๋หดตัวไว้ เธอไม่รู้ ทำไมต้องอยากหดตัวจนให้คนอื่นมองไม่เห็น สมองเธอว่างเปล่า ความทรงจำทุกอย่างของเธอหายไป
เธอมองไปที่พื้นด้วยแววตาเศร้าโศก จากนั้นน้ำตาก็ไหลลงมาทีละเม็ด
ชู่จี้กำลังจะเดินไปใกล้ แต่ซังอี๋เงยหน้าขึ้นก่อน “ถอยไป ถอยไป!” เธอตะคอกเสียงดัง
ชู่จี้ทำอะไรไม่ได้ จึงต้องถอยหลัง แล้วพยายามพูดว่า “เธอดูสิ ฉันไม่ได้จะทำร้ายเธอ ถ้าฉันจะทำร้ายเธอจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้เธอซะหน่อย”
ซังอี๋ค่อยวางใจระแวงน้อยลง
“เธออยากกินอะไรหรือเปล่า?” ชู่จี้เอ่ยถามอย่างโล่งใจ
เห็นผู้ชายตรงหน้าไม่มีทีท่าจะทำร้ายตัวเอง ซังอี๋ค่อยพยักหน้าตอบเสียงเบา
จากนั้นก็มีโจ๊กถ้วยร้อนๆยกมาให้ “ฉันวางไว้ที่โต๊ะนะ เธอมากินเอง” กลัวว่าซังอี๋จะแสดงปฏิกิริยาอะไรรุนแรง ชู่จี้เลยไม่ได้เข้าใกล้
ผ่านไปสักพัก ซังอี๋ค่อยขยับร่างกาย แล้วยกถ้วยโจ๊กกินมาค่อยๆกิน เธอดูปล่อยวางไม่น้อย
เธอยิ้มอย่างมีความสุข จากนั้นก็แกว่งเท้า เท้าเล็กๆขาวๆนั้นทำให้ท่อนล่างของผู้ชายเริ่มเกร็ง
รอซังอี๋กินเสร็จแล้ว สีหน้าที่ซีดขาวของเธอก็ดีขึ้น “นายเป็นคนดี”
พอได้รับคำชมจากเธอ ชู่จี้จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย “จำอะไรไม่ได้เลยเหรอ?”
เขาผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกโชคดีด้วย
ซังอี๋มองสำรวจผู้ชายตรงหน้า ผู้ชายคนนี้หล่อมาก เหมือนเป็นผลงานศิลปะจากสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นท่าทาง หน้าตา ก็เพอร์เฟคไร้ที่ติ
เธอส่ายหน้า “ฉันจำอะไรไม่ได้เลย ฉันแค่รู้สึกว่า……เหมือนมีคนอยากฆ่าฉัน แล้วอยู่รอบๆตัวฉันทุกที่”
เขาหยิบเก้าอี้ข้างๆมานั่ง ในแววตามีความเย็นชาที่อธิบายไม่ถูก “นอกจากนั้นล่ะ? พ่อแม่เธอล่ะ?”
น่าสงสัยเกินไปหรือเปล่า หรือว่าผู้หญิงคนนี้แกล้ง? แต่หมอน่าจะไม่ล้อเล่น ชู่จี้ทำเป็นต้องเก็บความสงสัยไว้
ซังอี๋ส่ายหน้า “จำไม่ได้ ฉันจำไม่ได้จริงๆ”
เรื่องรูปถ่ายยังไม่ได้คิดบัญชีกับเธอ แต่กลับเกิดเรื่องแบบนี้ บังเอิญ? ชู่จี้ไม่เชื่อ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้
เห็นว่าถามอะไรไม่ได้เลย ชู่จี้เลยต้องไปถามคุณหมอ แต่คำตอบที่คุณหมอให้กลับเป็นความจำเสื่อมชั่วคราว
ผ่านไปหายวันแล้ว แต่อาการของซังอี๋ไม่ดีขึ้นเลย แต่แค่สีหน้าดูดีขึ้น แล้วเริ่มวางใจชู่จี้
เขาก็อยากให้พวกเขากลับไปเป็นเหมือนตอนที่เพิ่งรู้จัก แต่ตอนนี้ เขาไม่ได้เกลียดซังอี๋ แล้วก็ไม่ได้ชอบด้วย
“นายมาแล้วเหรอ?” ตาซังอี๋เป็นประกาย เธอเริ่มตัวติดผู้ชายคนนี้ ทุกครั้งที่เขามา ตัวเองก็จะดีใจมาก
ชู่จี้ถอดเสื้อคลุมออก แล้วนั่งลงบนเตียง “ยังจำอะไรไม่ได้ใช่ไหม?” เขาลูบผมเธอด้วยแววตาอ่อนโยน
ซังอี๋ก้มลงไปหยิบเสื้อขึ้นมาพับ “ฉันรู้สึกว่าฉันออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว นายว่าไง?” เธอถามความเห็นเขา
“เธออยากออกจากโรงพยาบาล?”
เขาลังเลไปครู่หนึ่ง “ก็ได้ งั้นเธอไปอยู่กับฉันก่อน”
จากนั้นอวี้เฟิงก็เก็บสัมภาระของซังอี๋ แล้วย้ายเข้าบ้านชู่จี้
“ที่นี่สวยจัง” ซังอี๋มองผ่านหน้าต่างแล้วเห็นแอ่งน้ำ อารมณ์ก็ดีขึ้นไม่น้อย
“เธอชอบก็พอแล้ว” ชู่จี้นั่งลงบนโซฟา แล้วเริ่มอ่านเอกสารที่ยังอ่านไม่จบ
เธอเดินเท้าเปล่าอยู่บนพรม “นายอยากกินอะไร?”
ชู่จี้ขมวดคิ้วใส่ “ใส่รองเท้า พื้นเย็น”
เธออ้อน “ฉันอยากเหยียบบนพรมนุ่มๆนี้ ไม่เย็นหรอก” ความคาดหวังในสายตาทำให้คนอื่นปฏิเสธไม่ได้
ชู่จี้จึงลุกขึ้น อุ้มผู้หญิงคนนี้ไว้แล้วใส่รองเท้าให้เธอ “ความจริงเธอเป็นเหมือนตอนนี้ก็ดี” ซังอี๋ในตอนนี้ ไร้เดียงสามาก เหมือนกระต่ายน้อยที่อ่อนโยน
เธอแนบกับแขนเขา “เรา……แต่ก่อนเราเป็นอะไรกัน?”
เขาสบตากับดวงตาของเธอ จำกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว “เป็นแฟนกัน” เขาขยับมือไปมา “อยากจะรื้อฟื้นหรือเปล่า?”
ซังอี๋รีบซุกหน้าเข้าอ้อมกอดชู่จี้ ไม่อยากให้เขาเห็นเธอที่เขินอาย “เดี๋ยวฉันไปทำอาหารให้” เธอพูดแล้วผลักเขาออก
แต่ชู่จี้กลับห้ามไว้ “ซังอี๋” เขาเรียกชื่อเธอ “อย่าไป”
เห็นชู่จี้เหมือนมีอะไรจะพูด ซังอี๋เลยงงกว่าเดิม เธอรู้สึกได้ว่าชู่จี้ทำดีกับเธอมาก แต่จะพูดว่าเป็นความรัก ก็ไม่ใช่ แต่กลับแอบแฝงไปด้วยอะไรหลายๆอย่าง
ช่วงนี้เขาติดต่อคุณหมอต่างชาติ อยากจะให้ซังอี๋กลับมาจำได้ กับซังอี๋ในตอนนี้ เขาไม่อยากทำอะไรที่ใจร้าย แต่กับซังอี๋คนเก่า เขาไม่ปล่อยผู้หญิงแบบนั้นแน่ ความรู้สึกสองอย่างตีกัน จนเขาลังเลมาก
“พ่อบ้าน ว่ายังไงบ้าง?” ช่วงนี้รีสไม่ได้ข่าวของผู้หญิงคนนั้นเลย เขาอยากจะเข้าใกล้เธอ แต่บางครั้ง เขาก็ทำตามใจตัวเองไม่ได้
พ่อบ้านเอ่ย “ได้ข่าวว่าช่วงนี้คุณหนูซังพักอยู่ที่บ้านคุณชายชู่ เฝ้าระวังเข้มงวดมาก เราเลยไม่มีโอกาสลงมือครับ”
รีสโบกมือให้ “ไม่ต้อง นิสัยขี้สงสัยของชู่จี้ เรารอดูก็พอแล้ว”
แต่เขาก็กลัวว่าจะมีอะไรผิดพลาด
“ทำไมยังอยู่กับผู้หญิงคนนั้นอีก?” พอหลิงเยว่ได้ข่าวจึงโมโหมาก เธอวางสายแล้วอยากพุ่งไปถามชู่จี้ตรงๆเลย
ยังดีที่เธอยังมีสติ เธอไม่คิดเลยว่าเธออำอะไรไปเยอะแยะ แต่ก็แพ้ให้ผู้หญิงคนนั้น
เธอมีไอเดีย เลยโทรหาเกาเหมยเหวิน “แม่คะ……” เธอเรียกเสียงหวาน
“แม่ให้พ่อจัดตำแหน่งในบริษัทให้หนูหน่อยได้ไหมคะ?” ตอนนั้นเธอกับเกาเหมยเหวินร่วมมือกันทำอะไรมาไม่น้อย ตอนนี้ถือว่าทั้งสองลงเรือลำเดียวกันแล้ว