ท่านประธานที่รัก - บทที่ 487 เธอที่ตระการตา
เขาเดินไปอย่างเป็นจังหวะ พอก้าวเข้าไปในห้องวีไอพี จึงเห็นผู้ชายที่คนอื่นสรรเสริญว่าเป็นอัจฉริยะทางธุรกิจ
ทั้งสองแนะนำตัวกันคร่าวๆ จากนั้นก็เข้าสู่ประเด็นหลัก
ทั้งสองคุยกันอย่างราบรื่น “ขอให้งานผ่านไปอย่างราบรื่นนะพ่อหนุ่ม” สายตาซังหลินจวินดีอยู่แล้ว ตอนเขาหนุ่มๆ ก็กล้าลองกล้าเสี่ยงเหมือนชู่จี้
ตอนที่เขาเห็นชู่จี้ ก็เหมือนเห็นตัวเองตอนหนุ่ม
ชู่จี้ก็ยังคงใจเย็นแล้วยิ้มอ่อน “ขอบคุณนะครับ ขอให้ผ่านไปอย่างราบรื่นครับ”
พอเซ็นสัญญาแล้ว ชู่จี้ก็เริ่มดำเนินการขั้นต่อไป
“ไม่ได้กลับบ้านกี่วันแล้ว?” ชู่จินซันที่อยู่อีกฝั่งของโทรศัพท์พูดเสียงเข้ม ถ้าไม่ใช่เขามีลูกชายแค่คนเดียว เขาไม่ให้เขาสืบทอดสมบัติต่อหรอก
ถึงทั้งสองจะเกี่ยวข้องทางสายเลือด แต่ก็มีความขัดแย้งแอบแฝงตลอด แล้วรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เขาก็พึ่งพาตัวเอง ไม่ใช้เงินในบ้านสักบาท แล้วสร้างฮวาเจิงมาด้วยตัวเอง ตอนนี้กลายเป็นบริษัทบันเทิงที่ใหญ่โต เขาก็เป็นนักธุรกิจ ยังไงก็ต้องหาผลประโยชน์ให้ตัวเองอยู่แล้ว
น้ำเสียงชู่จี้เย็นชา “กลับบ้าน บ้านไหนครับ?”
เกาเหมยเหวินกำลังปลอบชู่จินซัน “อย่าอารมณ์เสียเลย พ่อลูกสองคนนี้ ทะเลาะกันทุกครั้ง คุยกันดีๆสิคะ มีพ่อลูกที่ไหนที่ทะเลาะกันแบบนี้?”
เหอะ แสดงละครเก่งจริงๆ เกาเหมยเหวินแสร้งเป็นคนดี แต่ชู่จี้ไม่แคร์หรอก
“คุณบอกให้ผมอย่าอารมณ์เสีย ผมจะไม่อารมณ์เสียได้ยังไง?” ชู่จินซันดื่มน้ำที่เกาเหมยเหวินยกมาให้ อารมณ์ค่อยดีขึ้น
“ฉันบอกแกไว้เลย งานสัมมนาครั้งนี้แกต้องไปเข้าร่วม” ชู่จินซันพูดแค่นี้แล้วตัดสายทันที
งานสัมมนา? การ์ดเชิญที่รีสเชิญเขาไม่ใช่เหรอ?
ไม่น่าล่ะเขาถึงมั่นใจขนาดนั้น แต่เขาไม่ใช่ชู่จี้คนเดิมแล้ว สิ่งที่ชู่จินซันไม่ใช่คำสั่ง เขาจะเชื่อฟังทำไม?
งานสัมมนาทางธุรกิจ พูดง่ายๆก็คือ งานที่คนในวงการธุรกิจไปสถานที่ท่องเที่ยว แล้วใช้โอกาสนั้นเพื่อร่วมธุรกิจกัน
เขาไม่ได้ไปทุกปี หนึ่งเพราะไม่จำเป็น สองเพราะเขาไม่ชอบบรรยากาศแบบนั้น
ชู่จี้คนกาแฟในแก้ว แล้วยกขึ้นจิบ ความขมสัมผัสกับลิ้น อยู่ๆเขาก็นึกถึงเด็กผู้หญิงคนนั้น มองเห็นรอยยิ้มบนหน้าจอ มุมปากชู่จี้ก็เลิกขึ้นอย่างอาลัยอาวรณ์
ชู่จี้ไปดูงานเกือบครึ่งเดือนค่อยกลับเจียงเฉิง
พอลงจากเครื่อง ชู่จี้ก็โดนแฟนคลับล้อม “ชู่จี้ ชู่จี้! ฉันรักคุณ!” ผู้หญิงทุกคนบ้าระห่ำมาก แล้วมองผู้ชายที่เป็นเหมือนเทพบุตร
ทำไมถึงมีผู้ชายที่หล่อขนาดนี้! เพอร์เฟคไม่มีที่ติ หล่อจนอยากกระอักเลือด
ชู่จี้ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ ครั้งนี้เขาลืมปิดข่าว เลยทำให้ตัวตนอีกคนสร้างปัญหาให้ตัวเอง
ตอนที่อวี้เฟิงมาถึง พยายามเคลียร์ช่องทาง นี่เลยทำให้ชู่จี้ไม่เสียเวลามากนัก
เห็นบอสตัวเองขมวดคิ้ว อวี้เฟิงก็เริ่มลนลาน เปิดประตูไปด้วยแล้วถามอย่างระมัดระวังว่า “บอสครับ งานฝั่งนู้นไม่ราบรื่นเหรอครับ?”
“หุบปาก!” คำสองคำนี้ทำให้อวี้เฟิงหุบปากเงียบ
ชู่จี้นวดขมับ แล้วงีบหลับ
ความเหนื่อยล้าหลายวันทำให้เขาอยากนอนกอดผู้หญิงคนนั้น ถึงจะแค่ชั่วครู่ก็ตาม
“กลับบ้าน วันนี้ไม่ไปบริษัท” ชู่จี้สั่ง
ซังอี๋รู้ว่าชู่จี้กลับมาวันนี้ เลยเตรียมอาหารไว้เต็มโต๊ะ ทีแรกเธออยากไปรับที่สนามบิน แต่คิดว่าเขาต้องเหนื่อยแน่ๆ เลยเตรียมอาหารรอเขาที่บ้านดีกว่า
พอเปิดประตู กลิ่นอาหารหอมๆก็ลอยเข้าจมูก
ทั้งสองเหมือนใจตรงกัน พอเห็นอีกฝ่ายแล้ว ซังอี๋รีบพุ่งไปในอ้อมกอดเขา สูบดมกลิ่นตัวเขา กลิ่นนี้ทำให้เธอสบายใจ เหมือนเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดคุณแม่
เขาตบหลังเธอเบาๆ “ฉันกลับมาแล้ว”
ถึงจะเป็นคำพูดที่เรียบง่าย แต่แค่นี้ก็เพียงพอที่ทำให้ซังอี๋แสบจมูก “อื้อ ฉันเตรียมอาหารที่นายชอบไว้” เธอสูดจมูก แล้วยิ้มอย่างสดใส
ตอนที่ทั้งสองกำลังกินข้าว บนโต๊ะมีแต่อาหารที่น่ากินทั้งนั้น ชู่จี้นั่งลงแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “เธอเป็นภรรยาที่ผ่านเกณฑ์จริงๆ”
เธอเอาแต่ตักอาหารให้เขา “กินเยอะๆ ช่วงนี้นายผอมลง”
“เพราะคิดถึงเธอไง” เขายิ้มอ่อน รอยยิ้มนั้นบาดใจมาก
มื้อเที่ยงที่อบอุ่นผ่านไปแล้ว ซังอี๋กำลังจะไปล้างจาน แต่ชู่จี้กอดเธอจากข้างหลัง “อย่าเพิ่ง นอนเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหม?”
เขาสูดดมกลิ่นตัวหอมๆของเธอ แล้วพ่นลมหายใจไปที่คอเธอ ขนซังอี๋ขนลุก
“ได้สิ……”
เพิ่งพูดจบ ซังอี๋ก็โดนชู่จี้อุ้มเดินขึ้นไปชั้นบน แล้วโยนลงบนเตียงนุ่มๆ
ผู้ชายตรงหน้าเหมือนเป็นนักล่า เอาแต่บีบเข้ามาใกล้ แต่กลับอ่อนโยนมาก สายตาของเขาเร่าร้อน มีประกาย
เขาทับตัวเธอไว้ ฝ่ามือก็ออกแรงฉีกเสื้อผ้าเธอ เหมือนเป็นนักล่าที่ไม่ได้กินเนื้อมานาน ดุเดือดหิวโหยมาก
เขาจะประทับรอยบนตัวของผู้หญิงของเขา ชู่จี้เห็นรอยแดงบนผิวขาวๆของซังอี๋ จากนั้นก็ดึงเธอเข้ามาใกล้ “นอนเถอะ”
ทั้งสองนอนกอดกัน
ชู่จี้ที่ทีแรกไม่ได้อยากไปงานสัมมนา แต่ได้ข่าวว่างานครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง เขาจึงจะไปร่วมด้วย
“ผู้บริหารชู่ คู่ออกงานของคุณสวยจังเลยนะคะ”
ชายหญิงสองคนที่หน้าตาดีดึงดูดสายตาของคนในงาน แล้วฐานะของตระกูลชู่ คนในงานคุ้นเคยกับชู่จี้อยู่แล้ว แต่กับผู้หญิงที่เขาพามา ทุกคนไม่คุ้นหน้าเลย เลยสงสัยกัน
ถึงซังอี๋จะต้องเผชิญกับสายตาผู้คนเยอะขนาดนี้ แต่ก็ยังดูดีใจเย็น บนตัวเธอให้ความรู้สึกสงบนิ่งอย่างผู้ดี จึงดึงดูดสายตาคุณชายไม่น้อย
หน้าตาซังอี๋ดีอยู่แล้ว แค่แต่งหน้าแต่งตัวหน่อย ก็สวยดั่งนางฟ้าบนสวรรค์แล้ว