ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1036 ช่วยชีวิตเขาไว้
มู่เฉียนซีกล่าว “พลังความแข็งแกร่งของข้าไม่พอ หัวหน้าตำหนักเซียวจะยอมบอกข้าได้อย่างไรเล่า หรือเจ้าจะให้ข้าเอากระบี่จี้คอเขาแล้วถามอย่างนั้นเหรอ?”
“กว่าจะได้เบาะแสมามันไม่ง่ายเลย นายท่านคิดจะวางมือหรือขอรับ?”
“รอให้พลังของข้าเพิ่มขึ้นกว่านี้อีกสักเล็กน้อย และค่อยไปขอคำชี้แนะใหม่”
เย่เฉินกล่าวถาม “นายท่านไม่ได้จะไปฝึกฝนประสบการณ์จริง ๆ ใช่ไหมขอรับ!”
“นี่เจ้าคิดว่าข้าพูดเล่นอย่างนั้นเหรอ?”
“แต่ว่า…” ธิดาศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักตงจี๋ช่างน่ากลัวยิ่งกว่ากระไร
“ข้ามีวิธีของข้า”
นายท่านตัดสินใจดีแล้วว่าจะไปฝึกฝนประสบการณ์ เย่เฉินเกิดความรู้สึกขึ้นมากมาย นี่นางกำลังจะเป็นเจ้านายที่ทิ้งภาระหน้าที่อย่างสมบูรณ์อย่างนั้นเหรอ
ไม่ว่าเย่เฉินจะโศกเศร้าเสียใจมากเพียงใด มู่เฉียนซีก็ตัดสินใจที่จะจากไปอยู่ดี
มู่เฉียนซีโคจรพลังวิญญาณขึ้นและถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไปในสร้อยข้อมือวารีลวงตา ในหัวของนางก็ปรากฏรูปลักษณ์ของชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งขึ้น
มู่เฉียนซีส่องกระจกมองดูตัวเอง ภายในกระจกปรากฏรูปร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมาจริง ๆ
ดงตาของนางเปล่งประกายในทันที ทำสำเร็จแล้ว
สร้อยข้อมือวารีลวงตาที่จิ่วเยี่ยให้มานั้นมันมีประโยชน์ไม่น้อยเลย
เย่เฉินมองดูชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้องตำราก็ตกใจผงะไปครู่หนึ่ง “เจ้าเป็นใคร?”
มู่เฉียนซียิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พลางกล่าวว่า “เย่เฉิน นี่แม้แต่เจ้านายของตัวเองเจ้าก็ไม่รู้จัก เสียแรงเปล่าที่ก่อนไปข้าจะช่วยเจ้า ตอนนี้ดูท่าคงไม่จำเป็นแล้ว”
นางเตรียมจะเดินจากไป แต่สุดท้ายเย่เฉินก็พรวดเข้ามา
“นายท่าน ช้าก่อน…”
“มีเรื่องมากมายหลายอย่างที่ท่านต้องตัดสินใจจริง ๆ ท่านเข้าไปเลย!”
เรื่องราวของทุ่งรกร้างแห่งนี้เย่เฉินเรียนรู้ที่จะจัดการได้แล้ว
ทว่า เรื่องราวที่เกี่ยวกับหอหมอปีศาจเหล่านั้น มันยังใหม่มากสำหรับเขา
มู่เฉียนซีก็ไม่ได้จะจากไปอย่างไร้เมตตาเช่นนั้นจริง ๆ ครั้นแล้วนางจึงโคจรพลังวิญญาณถ่ายทอดข่าวสารที่อยู่ในหัวของเย่เฉินมา
และนางก็ได้เห็นข่าวข่าวหนึ่ง นั่นก็คือเมืองโอสถกำลังจะจัดการประมูลครั้งใหญ่ขึ้น และหอหมอปีศาจก็จะส่งคนไปประมูลที่เมืองโอสถ
หอหมอปีศาจได้เปิดทั่วทั้งดินแดนสี่ทิศ มีความเหนือกว่าในด้านของคุณภาพสินค้า ขายดิบขายดีมาโดยตลอด สมุนไพรวิญญาณไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ต้องไปหาซื้อมาจากข้างนอก
มู่เฉียนซีกล่าว “เดิมทีข้ายังไม่แน่ใจว่าจะไปที่แห่งใด แต่ตอนนี้ข้าแน่ใจแล้ว ข้าจะไปเมืองโอสถ!”
การประมูลนั้นนางจะพลาดไม่ได้แน่นอน ไม่แน่บางทีอาจจะได้สมุนไพรวิญญาณที่นางต้องการมาก็ได้
หลังจากที่แน่ใจสถานที่ที่จะไปแล้ว มู่เฉียนซีก็ทิ้งคำพูดหนึ่งเอาไว้ว่า “ต่อไปเจ้าก็จัดการเอาแล้วกัน ข้าจะไปแล้ว”
กล่าวจบ มู่เฉียนซีก็ได้อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาเย่เฉินทันที
เมืองโอสถเป็นเมืองการค้าขายสมุนไพรวิญญาณอันดับหนึ่งแห่งแดนตะวันออก ที่แห่งนี้นับเป็นสวรรค์ของนักปรุงยาอย่างแท้จริง
ยังมีเวลาอีกหลายวันกว่าที่งานประมูลจะเริ่ม มู่เฉียนซีหยุดพักลงกลางเทือกเขาที่ยาวเหยียดที่ตั้งอยู่นอกเมืองโอสถ และเริ่มฝึกฝนด้วยตนเอง
ปัง ปัง ปัง!
เทือกเขาแห่งนี้ก็ไม่ทำให้นางผิดหวังจริง ๆ ที่แห่งนี้มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่และสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าไม่น้อยเลย
หลังจากที่ได้ตามหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อต่อสู้ประลองฝีมือมาหลายวัน จู่ ๆ มู่เฉียนซีก็รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังใกล้เข้ามา
นางเก็บกระบี่มังกรเพลิงเอาไว้ และชักกระบี่ระดับต่ำธรรมดาทั่วไปเล่มหนึ่งออกมา
นอกจากนางจะได้ยินเสียงฝีเท้าแล้ว นางยังได้กลิ่นคาวเลือดอันรุนแรงอีกด้วย ร่างหลายร่างพุ่งเข้ามา มู่เฉียนซีรู้สึกคุ้นเคยอย่างผิดปกติ
ฟึ่บ! คมธนูอันแหลมคมหลายดอกลอบโจมตีมา บุรุษผู้หนึ่งก็ยิงธนูตอบโต้กลับไป
ฉึก ฉึก ฉึก!
จากนั้นทักษะกระบี่อันสูงสุดก็ทำให้ผู้ที่แอบลอบโจมตีนั้นถึงแก่ความตาย
ร่างในชุดสีขาวหลายร่างตกลงมาและได้สู้รบประมือกัน เหลือเอาไว้เพียงแค่ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ผู้เดียว
ชุดคลุมยาวสีแดงดำในตอนนี้ถูกย้อมไปด้วยเลือด ใบหน้านั้นซีดเผือดไร้ซึ่งรอยเลือด
ใบหน้าดุจดั่งประติมากรรมผลึกหินที่แกะสลัก เปราะบางราวกับจะแหลกออกเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อถูกบีบ
คราก่อนครั้งแรกที่นางได้เจอเขา นางได้รับบาดเจ็บเจียนตาย
นึกไม่ถึงเลยว่ามาเจอกันครั้งนี้ กลับเป็นเขาที่อาการร่อแร่
ร่างในชุดขาวพุ่งออกมา พลังของคนผู้นี้ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก เป็นแค่มหาจักรพรรดิยอดยุทธ์ระดับสี่เท่านั้น
ทว่า พลังในตอนนี้กลับเพียงพอที่จะเอาชีวิตคนผู้นั้นได้
“นายน้อยอวิ๋นซิว ชีวิตของท่านได้มาถึงจุดจบแล้วหล่ะ”
สายตาของบุรุษผู้นั้นนิ่งสงบไร้ซึ่งคลื่นใดใด ดูเหมือนว่าผู้ที่สมควรตายนั้นจะไม่ใช่เขาก็มิปาน
หลังจากที่กระบี่ของนักฆ่าผู้นั้นได้ตกลงมา กระบี่ของมู่เฉียนซีก็ตกลงมาอย่างรุนแรงเช่นกัน
“เงาจันทราหนาวเหน็บ!”
อยู่ในแดนตะวันออกนางไม่ปลอดภัย ยิ่งต้องเผชิญหน้ากับคนของตำหนักตงจี๋ด้วยเช่นนี้ ยิ่งไม่สมควรใช้ทักษะกระบวนท่าของตนเอง จึงทำได้เพียงแค่ใช้ทักษะกระบี่ของเสี่ยวไป๋แทน
ปลายกระบี่สีเงินนั้นตกลงมา และสามารถทำให้ถึงตายได้ภายในกระบวนท่าเดียว!
เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นกระทบร่างของเฟิงอวิ๋นซิว เมื่อเฟิงอวิ๋นซิวได้เห็นร่องรอยของกระบี่เล่มนั้นก็ตกใจผงะไปเล็กน้อย
“ใคร?”
นักฆ่าเหล่านั้นก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีคนแอบปกป้องนายน้อยอวิ๋นซิวอยู่ในที่ลับเช่นนี้
กระบี่ที่โจมตีออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเล่มนั้นแฝงไปด้วยเจตนาที่ผิดแปลกไม่ปกติ พวกเขากล่าว “อย่างไรเสีย นายน้อยอวิ๋นซิวก็โดนพิษหมิงเทียนแล้ว คงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน ภารกิจของพวกเราสำเร็จแล้ว พวกเรา! ถอย!”
นักฆ่าเหล่านั้นจากไปได้อย่างรวดเร็วมาก เนื่องจากซวนอีและพวกเป็นกังวลในอาการบาดเจ็บของเจ้านายตนเองมาก ดังนั้นจึงไม่ได้ไล่ตามคนเหล่านั้นไป
“นายน้อย!”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไร!”
“จะตายอยู่แล้ว ยังจะบอกว่าไม่เป็นอะไรอีก!” น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งดังขึ้น
พวกเขาเห็นชายหนุ่มสวมชุดสีขาวผู้หนึ่งเดินออกมา ชายหนุ่มผู้นี้อายุยังน้อย ดูเหมือนจะอายุน้อยกว่านายน้อยของพวกเขาหลายปีอีกด้วย
ถึงแม้ว่ารูปร่างหน้าตาจะไม่ได้รูปงามเทียบเท่านายน้อยของพวกเขา แต่กลับดูไม่มีเบื่อเลยสักนิด
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ขอบคุณคุณชายมากที่เมื่อครู่ได้ช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้”
ถึงแม้ว่ามู่เฉียนซีจะช่วยชีวิตผู้มีพระคุณเอาไว้ แต่ซวนอีและพวกก็ยังคงตั้งท่าเตรียมป้องกันมู่เฉียนซีอยู่ดี
มู่เฉียนซีกำกระบี่ในมือแน่นพลางกล่าว “ก็แค่ผ่านมาเจอก็เท่านั้น รู้สึกคันไม้คันมือก็เลยลงมือไป ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยพวกเจ้าหรอกนะ”
ซวนอีกล่าว “นายน้อย จะมัวเสียเวลาอยู่ไม่ได้แล้วขอรับ พวกเราต้องรีบเดินทางไปเมืองโอสถ หานักปรุงยามาแก้พิษให้นายน้อยให้เร็วที่สุด”
ภายใต้สายตาของการเตรียมป้องกันของซวนอี มู่เฉียนซีก็เดินเข้ามาใกล้เฟิงอวิ๋นซิวและกล่าวว่า “แต่พิษที่เจ้าโดนอยู่ในตอนนี้ เกรงว่าจะไปไม่ทันถึงเมืองโอสถน่ะสิ คงจะตายก่อนระหว่างทาง”
“นี่เจ้า หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!”
เผชิญหน้ากับเจ้าหนุ่มผู้ที่กล้าสาปแช่งนายน้อยของตนเองเช่นนี้ ถึงแม้ว่าเมื่อครู่เขาจะลงมือช่วยชีวิตนายน้อยเอาไว้ แต่ซวนอีก็อดโมโหไม่ได้จริง ๆ
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้ามียาลูกกลอน(เม็ดยาวิญญาณ)อยู่ ช่วยแก้พิษให้นายน้อยของเจ้าได้ แต่ข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ”
ซวนอีกล่าว “เด็กหนุ่มเช่นเจ้า คงจะไม่ฉวยโอกาสฉกฉวยประโยชน์จากผู้อื่นหรอกกระมัง เอาเถอะ ต่อให้เจ้าคิดจะฉวยโอกาสเอาประโยชน์ พวกข้าก็จำต้องยอมแล้ว”
ดวงตาสีอำพันที่น่ามองคู่นั้นของเฟิงอวิ๋นซิวจ้องไปที่มู่เฉียนซี และกล่าวว่า “เงื่อนไขอันใด?”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “เมืองโอสถกำลังจะเปิดการประมูล แต่ทั้งเนื้อทั้งตัวข้าไม่มีเงินทองเพียงพอ ฉะนั้น เริ่มตั้งแต่ย่างเท้าก้าวเข้าสู่เมืองโอสถ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของข้า ต้องเป็นหน้าที่ของพวกเจ้าที่จะรับผิดชอบ เป็นเช่นไร?”
มู่เฉียนซีมองเฟิงอวิ๋นซิวอย่างพิจารณา และกล่าวว่า “ดูจากเสื้อผ้าอาภรณ์ที่พวกเจ้าสวมใส่กับพลังความแข็งแกร่งของพวกเจ้าแล้ว ก็คงไม่ใช่คนที่ไร้เงินทองแต่อย่างใดใช่ไหมล่ะ?”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางก็ไม่มีทางยอมให้เฟิงอวิ๋นซิวโดนพิษจนตายแน่
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นนายน้อยแห่งตำหนักตงจี๋ แต่เขาก็ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายนาง อีกทั้งยังเคยช่วยชีวิตนางเอาไว้ด้วย
ช่วยชีวิตเพื่อตอบแทนที่เขาได้เคยช่วยชีวิตเอาไว้ ฉวยโอกาสเอาประโยชน์สักเล็กน้อยก็ไม่เลว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาสงสัยในการช่วยคนอื่นอย่างไร้เหตุผล
พวกเขาตกใจนิ่งอึ่งชั่วขณะ เงื่อนไขนี้มันง่ายมากสำหรับพวกเขา เขากล่าว “เรื่องนี้ไม่มีปัญหา แต่เจ้าอย่าได้คุยโวโอ้อวดไปเรื่อยก็แล้วกัน หากว่าเจ้ารักษานายน้อยของข้าไม่ได้และยังถ่วงเวลาอีกละก็ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครข้าก็จะฆ่าเจ้า”