ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1070 ไร้ความสามารถ
มู่เฉียนซีพูดเสียงดังมากราวกับกลัวคนอื่นจะไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น
ปรมาจารย์จางเป็นคนที่ภาคภูมิใจในฝีมือการปรุงยากับตำแหน่งของตัวเองมาโดยตลอด เขาคิดว่าไม่มีพิษใดที่คนอย่างเขาไม่สามารถแก้ได้
ตอนนี้มู่เฉียนซีกลับเผยข้อบกพร่องของเขาต่อหน้าผู้คน ช่างทำให้เขาอยากจะฆ่าปิดปากยิ่งนัก
“ข้าไม่เคยคิดอยากจะศึกษาวิธีการที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมอยู่แล้ว หากเจ้าไม่ใช้พิษที่มาจากวิธีการที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมกับธิดาศักดิ์สิทธิ์ มีหรือที่หัวหน้านักปรุงยาอย่างข้าจะแก้พิษไม่ได้” ปรมาจารย์จางกล่าวเสียงขรึม
มู่เฉียนซีกล่าวเย้ยหยันว่า “ไร้ความสามารถก็คือไร้ความสามารถ อย่าได้หาข้ออ้างให้ตัวเองดูดีมากนักเลย”
ไร้ความสามารถ!
ปรมาจารย์จางเกลียดคนที่ว่าเขาไร้ความสามารถที่สุด เขาโกรธเกรี้ยวขึ้นจริง ๆ แล้ว พลังวิญญาณอันกดขี่ข่มเหงได้แผ่ซ่านออกมากระทบกับชุดคลุมยาวที่พลิ้วไสวของเขา
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าหนู ข้าลืมบอกกฎเกณฑ์กับเจ้าไปข้อหนึ่งแล้ว หัวหน้านักปรุงยาอย่างข้า มีสิทธิ์จัดการกับนักปรุงยาผู้ที่ไม่เชื่อฟังอย่างไรก็ได้!”
เขาง้างมือขึ้นจะตบมู่เฉียนซี
มู่เฉียนซียังไม่ทันจะหลบ เปลวไฟลูกหนึ่งก็พุ่งออกมา
น้ำเสียงอันหนักแน่นเสียงหนึ่งดังขึ้น “ตาเฒ่า เจ้าอายุแก่ปูนนี้แล้วยังคิดจะรังแกเด็กอีกอย่างนั้นเหรอ ข้าเพิ่งจะเคยเห็นจริง ๆ”
ในตอนนี้พลังธาตุอัคคีอันรุนแรงทำให้ปรมาจารย์จางสีหน้าซีดเผือด
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ท่านมาได้เช่นไร!”
ผู้ที่มากับท่านผู้อาวุโสสูงสุดนั้นก็คือเฟิงอวิ๋นซิว เฟิงอวิ๋นซิวเดินมายืนข้างกายมู่เฉียนซี และกล่าวว่า “เฉียนเยี่ย ยินดีด้วยที่เจ้าเข้าตำหนักโอสถได้”
มู่เฉียนซีกล่าว “ขอบใจเจ้ามาก!”
“หรือว่าข้ามาที่นี่ไม่ได้อย่างนั้นเหรอ!”
ผู้อาวุโสสูงสุดสวมชุดคลุมยาวสีแดงเข้ม ถึงแม้ว่าอายุจะมากแล้ว แต่หน้าตาของเขานั้นดูเหมือนคนอายุห้าสิบกว่าปีก็มิปาน
พลังการกดขี่ข่มเหงบนร่างกายของเขานั้นทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าดูหมิ่นได้
มหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้า อีกทั้งยังเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุอัคคีอีกด้วย!
ปรมาจารย์จางกล่าว “เด็กผู้นี้กล่าววาจาไม่สุภาพ ไม่รู้จักความเกรงอกเกรงใจ ไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโส ข้าก็แค่อยากจะสั่งสอนเขาก็เท่านั้น และนี่เป็นเรื่องภายในของตำหนักโอสถ หรือว่าท่านผู้อาวุโสสูงสุดต้องการเข้ามาสอดแทรกเรื่องภายในอย่างนั้นเหรอ?”
“เขาคือสหายของอวิ๋นซิว ข้าไม่มีทางปล่อยให้เขาเป็นอันใดไปได้เด็ดขาด แล้วถ้าหากว่าข้าจะเข้ามาสอดแทรก เจ้าจะมีปัญหาอย่างนั้นเหรอ?” ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง
ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสสูงสุดนั้นแข็งแกร่งมาก ต่อให้เป็นไป๋อู๋ห่ายก็ต้องยอมหลีกทางให้เขาด้วยไมตรีจิต
ถึงแม้ว่าปรมาจารย์จางจะเป็นหัวหน้านักปรุงยา แต่ผู้อาวุโสสูงสุดก็ไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตา
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “แต่ข้าว่า ที่เจ้าหนุ่มผู้นี้กล่าวมาก็ถูก เดิมทีเจ้าเองก็ไร้ความสามารถอยู่แล้วไม่ใช่รึ! ทำไมล่ะ! ยังไม่คิดจะยอมรับอีกเหรอ?”
สีหน้าของปรมาจารย์จางแทบจะเขียวคล้ำขึ้นแล้ว ในตำหนักตงจี๋ คนที่เขาเกรงกลัวที่สุดก็คือเจ้าผู้อาวุโสสูงสุดผู้ใช้อำนาจบาตรใหญ่ผู้นี้นั่นเอง
ภายในวันเดียว มีคนว่าเขาไร้ความสามารถถึงสองคน เขาในฐานะที่เป็นหัวหน้านักปรุงยาแห่งตำหนักตงจี๋ช่างรู้สึกอับอายขายหน้ายิ่งนัก!
“ผู้อาวุโสสูงสุด ระวังคำพูดของท่านด้วย!”
มู่เฉียนซีกล่าว “ท่านปรมาจารย์จาง บางครั้ง การยอมรับว่าตัวเองไร้ความสามารถ มันก็เป็นความกล้าหาญอย่างหนึ่งนะ”
“ท่านอายุปูนนี้แล้ว แต่กลับไร้ซึ่งความกล้าหาญเช่นนี้ ช่างน่าอายเสียจริงเลย” มู่เฉียนซีกล่าวพลางส่ายหน้าไปมาอย่างจนปัญญา
“ขะ ข้า…”
“พิษของไป๋เหยียนเอ๋อร์ เดิมทีท่านก็ไม่สามารถแก้ได้ใช่ไหมล่ะ! หากท่านขอคำชี้แนะจากข้า ข้าก็อาจจะบอกท่านก็ได้” มู่เฉียนซีหรี่ตายิ้มพลางกล่าว
“รีบแก้พิษให้ธิดาศักดิ์สิทธิ์ซะ ได้ยินหรือไม่ นี่คือคำสั่ง!” ปรมาจารย์จางกล่าว
มู่เฉียนซีไม่ได้สนใจคำสั่งนี้เลยแม้แต่น้อย “ข้าไม่อยากฟังท่าน”
“เช่นนั้น เจ้าก็ไสหัวออกไปจากตำหนักโอสถซะ!”
มู่เฉียนซีกล่าว “หากข้าไป ท่านแน่ใจหรือว่าท่านจะไม่เสียใจทีหลัง ท่านแก้พิษของไป๋เหยียนเอ๋อร์ไม่ได้ เกรงว่าท่านจะไม่สามารถชี้แจงกับท่านหัวหน้าตำหนักได้!”
และในขณะที่มู่เฉียนซีกำลังจะไป ปรมาจารย์จางก็กล่าวขึ้นว่า “เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“นี่เจ้าจะเอาเช่นไรกันแน่?” ปรมาจารย์จางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ นึกไม่ถึงว่าเขาจะถูกเด็กเมื่อวานซืนที่เพิ่งเข้ามาในตำหนักโอสถผู้นี้คุกคามเอาได้
มู่เฉียนซีกล่าว “ท่านปรมาจารย์จาง ในฐานะที่ท่านเป็นหัวหน้านักปรุงยาของตำหนักตงจี๋ ดังนั้นข้าอยากจะสั่งสอนท่านสักหน่อย ข้าต้องการจะท้าประลองกับท่าน”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้นอีกครา เจ้าหนูมู่หรงเฉียนเยี่ยผู้นี้ไร้มารยาทกับท่านปรมาจารย์จางยังไม่พอ นึกไม่ถึงว่ายังจะท้าประลองกับท่านปรมาจารย์จางอีก
ฝีมือการปรุงยาของนางจะเทียบเท่าท่านปรมาจารย์จางได้อย่างไรกันเล่า
“เจ้า นี่เจ้าไม่เย่อหยิ่งไปหน่อยหรือไง ข้าเป็นถึงยอดปรมาจารย์นักปรุงยา ส่วนเจ้า ถึงแม้ว่าเจ้าจะหลอมยาลูกกลอนขั้นปฐพีระดับสูงมากอย่างไร้ที่เทียบได้ แต่เจ้าก็เป็นแค่ปรมาจารย์นักปรุงยาคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางที่เจ้าจะกลายเป็นยอดปรมาจารย์นักปรุงยาไปได้”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “แน่นอนว่าข้าไม่ได้อยากประลองการหลอมยากับท่าน แต่สิ่งที่ข้าอยากประลองกับท่านก็คือ การช่วยชีวิตคน”
“ช่วยชีวิตคน?” ปรมาจารย์จางตกตะลึงขึ้น
“ไม่ว่าจะเป็นอาการป่วย โดนยาพิษ หรือโรคที่รักษาไม่หาย มาดูกันว่าใครจะมีความสามารถรักษาได้ เป็นเช่นไร?” มู่เฉียนซีกล่าว
“ข้าเป็นถึงหัวหน้านักปรุงยาของตำหนักตงจี๋ ไม่ว่าจะประลองหลอมยาลูกกลอน เจ้าก็แพ้ข้า หรือจะประลองการช่วยชีวิตรักษาคน เจ้าก็แพ้ข้าอยู่ดี เพียงแต่ว่า หากข้าชนะแล้วจะมีประโยชน์อันใดล่ะ?”
มู่เฉียนซีกล่าว “หากท่านชนะ ข้าจะช่วยแก้พิษให้ไป๋เหยียนเอ๋อร์ และยังรับปากตามคำขอของท่านหนึ่งข้อ”
“จริงเหรอ?” ดวงตาของปรมาจารย์จางเปล่งประกายขึ้น
เขาแทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะเอาสมุนไพรวิญญาณของเจ้าเด็กผู้นี้ อีกทั้งสูตรยาเหล่านั้นในหัวของเขา
เขาเป็นกังวลเกี่ยวกับเฟิงอวิ๋นซิว ไม่สามารถให้เขาเข้ามายุ่งได้! อย่างไรเสียเจ้าเด็กผู้นี้ก็ช่วยหาข้ออ้างที่ดีให้เขาแล้ว
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “จริงแท้แน่นอน ข้าจะกล้าโกหกท่านหัวหน้านักปรุงยาได้เช่นไร เพียงแต่ว่า…”
“แต่อันใด?”
“หากว่าข้าชนะล่ะ ท่านปรมาจารย์จางจะแสดงน้ำใจสักหน่อยหรือไม่?”
“เจ้าไม่มีทางชนะข้าแน่นอน” ปรมาจารย์จางกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ยังไม่ทันจะได้เริ่มประลองเลย ปรมาจารย์จางก็แน่ใจถึงเพียงนี้แล้ว หรือว่าท่านจะเป็นหมอดูด้วยอย่างนั้นเหรอ?”
ปรมาจารย์จาง “เจ้าหนู แล้วเจ้าจะเสนอเงื่อนไขใดล่ะ?”
มู่เฉียนซีกล่าว “หากว่าข้าชนะ ข้าอยากจะเก็บเอาสมุนไพรวิญญาณในตำหนักโอสถได้อย่างตามใจ ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรวิญญาณขั้นใดระดับใดก็ตาม เป็นเช่นไร?”
“นี่เจ้าถึงกับมีความคิดเช่นนี้!” ปรมาจารย์จางถลึงตากว้างจ้องมองมู่เฉียนซีพลางกล่าว
เขาเอาสมุนไพรวิญญาณของตำหนักโอสถทั้งหมดมาเป็นสมบัติของเขาในฐานะผู้เป็นหัวหน้านักปรุงยา นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะมีคนกล้ามาโลภมากในสมบัติของเขาเช่นนี้ ช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก!
มู่เฉียนซีกล่าว “สิ่งที่ข้าลงเป็นเดิมพันก็ไม่น้อยนะ! แถมข้ายังมีสมุนไพรวิญญาณขั้นสวรรค์อีกไม่น้อยเลย หากท่านปรมาจารย์จางไม่ยอมวางเดิมพันก็ไม่เป็นไร”
“นี่เจ้ายังมีสมุนไพรวิญญาณขั้นสวรรค์อยู่อีกเหรอ!”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ ปรมาจารย์จางจะยอมให้มู่เฉียนซีเอาเดิมพันนี้กลับไปได้อย่างไรกันเล่า
เขากล่าว “ข้ายอมรับการเดิมพันนี้แล้ว ยอมรับแล้ว!”
“จะพูดจาลอย ๆ ไร้หลักฐานได้อย่างไรเล่า รีบลงชื่อทำข้อตกลงเถอะ! ท่านผู้อาวุโสสูงสุดกับนายน้อยอวิ๋นซิวอยู่พอดีเลย สามารถเป็นพยานได้”
ปรมาจารย์จางกล่าว “นายน้อยอวิ๋นซิว เมื่อถึงเวลาที่เขาพ่ายแพ้ เจ้าอย่าได้เอาความเป็นสหายกับมู่หรงเฉียนเยี่ยมาปกป้องเขาเป็นอันขาด”
เฟิงอวิ๋นซิวมองดูใบหน้าที่ยิ้มแย้มของมู่เฉียนซีก็รู้แล้วว่าเขามีแผนการเอาไว้แล้ว
เป้าหมายของเฉียนเยี่ย เกรงว่าจะเป็นสมุนไพรวิญญาณของตำหนักโอสถ
คนอื่นอาจจะคิดว่าการที่เขาจะเอาชนะหัวหน้านักปรุงยาผู้อาวุโสผู้นี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่เขารู้ ว่าเฉียนเยี่ยนั้นทำได้แน่นอน
“เมื่อถึงตอนนั้น ข้า เฟิงอวิ๋นซิวจะไม่เข้าข้างผู้ใดอย่างแน่นอน”
การเดิมพันของพวกเขาก็ได้ตกลงกันไปเช่นนี้
ปรมาจารย์จางกล่าว “แล้วคนป่วยเหล่านั้นจะไปหามาจากที่ใด?”
มู่เฉียนซีกล่าว “คนป่วยของท่านปรมาจารย์จาง ข้าจะเป็นคนหามาให้ ส่วนคนป่วยของข้า ท่านปรมาจารย์จางเป็นคนหามาให้ เป็นเช่นไร?”
คนป่วยที่ข้ามาหาให้ เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าอย่าหวังเลยว่าจะรักษาได้แม้แต่คนเดียว ปรมาจารย์จางคิดในใจ
“ก็ดี เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “เฉียนเยี่ย ข้าเกรงว่าเจ้าจะอยู่ในตำหนักโอสถไม่ค่อยคุ้นเคย เช่นนั้นไปพักที่ตำหนักข้าดีหรือไม่ ตำหนักข้ามีห้องว่างอยู่ห้องหนึ่ง”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “ตกลง!”
เรื่องที่มู่หรงเฉียนเยี่ยกับท่านปรมาจารย์จางหัวหน้านักปรุงยาของตำหนักตงจี๋เดิมพันที่จะประลองกันก็ได้แพร่งพรายไปทั่วทั้งตำหนักตงจี๋ อีกทั้งข่าวนี้ยังแพร่งพรายออกไปข้างนอกอีกด้วย
“มู่หรงเฉียนเยี่ย มู่หรงเฉียนเยี่ย เขากลับมาอีกแล้ว” เมื่อไป๋อู๋ห่ายรู้ข่าวนี้เข้า ใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวโหดร้ายขึ้น