ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1195 มาบอกลา
ในที่สุดในตอนนี้ก็สามารถเข้าไปใกล้สถานที่ที่ภูเขาไฟนั้นระเบิดขึ้นได้แล้ว กองกำลังหลายกองกำลังต่างก็เคลื่อนกำลังพลออกไป
ไป๋อู๋ห่ายหัวหน้าตำหนักตงจี๋แห่งแดนตะวันออกได้ออกคำสั่งรวบรวมยอดฝีมือของตำหนักตงจี๋และเดินทางมา ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “อวิ๋นซิว ครั้งนี้คนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนแต่ฟังคำสั่งของเจ้า รวมถึงตัวข้าด้วย”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวด้วยความเฉยเมยว่า “ข้าก็คิดว่าหัวหน้าตำหนักจะกระทำการใดโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียอีก”
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “คำสั่งของพระนาง ข้าจะขัดได้อย่างไร ครั้งนี้ข้าจะร่วมมือกับเจ้าอย่างเต็มกำลังความสามารถ”
เขาจำต้องกระทำเช่นนี้แล้ว หมิงจีถูกเจ้าสาวน้อยบ้านั่นวางยาพิษ ตอนนี้ยังไม่หายดี
หากเขากล้าขัดคำสั่งของพระนางผู้นั้นเข้า คาดว่าคงต้องตายอย่างอนาถเป็นแน่
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวเตือนว่า “ทางที่ดีก็ทำให้ได้อย่างที่พูดก็แล้วกัน”
ไป๋อู๋ห่ายยิ้มพลางกล่าว “หัวหน้าตำหนักไป่อู๋ห่ายอย่างข้าเป็นคนที่รักษาคำพูดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว แต่อวิ๋นซิว เจ้าก็อย่าได้ยั้งมือไว้ไมตรีกับหอหมอปีศาจล่ะ!”
เขากล่าวเสี้ยมต่อว่า “หอหมอปีศาจในตอนนี้นับวันก็ยิ่งมีความทะเยอทะยานอันแรงกล้าขึ้นเรื่อย ๆ ต้องการเข้ามาแทนที่ตำหนักตงจี๋ของข้า พวกมันมีความมุ่งมาดปรารถนาที่จะเอากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไปให้ได้ เมื่อถึงตอนนั้น อวิ๋นซิวอย่าได้เห็นแก่ไมตรีส่วนตัวจนทำให้พวกเราสูญเสียกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไปล่ะ”
“เอ๊ะ! อวิ๋นซิว เจ้าเป็นคนสนิทและเป็นคนที่พระนางไว้ใจที่สุด เจ้าคงจะไม่เห็นแก่ตัวเช่นนั้นหรอก เป็นข้าเองที่คิดมากไป”
ไป๋อู๋ห่ายยืนพูดเสี้ยมกล่าวเองเออเองอยู่เช่นนั้น ทำให้ดวงตาของเฟิงอวิ๋นซิวในตอนนี้ลึกล้ำลงเรื่อย ๆ แล้ว
เขากล่าวอย่างเฉยเมยว่า “กู้ไป๋อีกับอินรั่วเฉินมาถึงแดนตะวันออกแล้ว ซ่อนตัวอยู่บริเวณรอบรอโอกาสที่จะลงมือ หัวหน้าตำหนักยังมีจิตใจดีแต่พูดอยู่อีก ข้าว่าเอาเวลาไปคิดหาวิธีรับมือกับคนเหล่านั้นจะดีกว่านะ!”
ในแดนตะวันออก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเจ้าถิ่น แต่สองคนนี้ก็รับมือได้ยากจริง ๆ!
ไป๋อู๋ห่ายกล่าวอย่างจริงจังว่า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว!”
ในขณะเดียวกันมู่อีก็กล่าว “ท่านผู้นำตระกูลได้โปรดออกคำสั่งเถอะขอรับ!”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก! มู่เฉียนซีเอานิ้วเคาะโต๊ะเบา ๆ นางกำลังครุ่นคิดอยู่
เกิดความเคลื่อนไหวได้อย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ มีโอกาสเป็นไปได้มากว่าต้องเป็นเจ้าดาวมฤตยูนั่นแน่!
มู่เฉียนซีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จวินโม่ซีเดินเข้ามาและกล่าวว่า “ข้าว่านะ สาวน้อย หากเจ้าไม่อยากไปก็อย่าไปเลย! อยู่ปรุงยากินอาหารอันโอชะด้วยกันอยู่ที่หอหมอปีศาจนี่แหละ สบายใจกว่าเยอะ!”
กองกำลังหลายกองกำลังในดินแดนสี่ทิศต่างก็เคลื่อนไหวกันหมดแล้ว ผู้ที่เก็บซ่อนตัวเป็นสิบปีร้อยปีในตอนนี้ก็เคลื่อนไหวออกมาแล้วเพราะการเกิดเหตุภูเขาไฟนั้นระเบิดขึ้น
ถึงแม้ว่าในตอนนี้หอหมอปีศาจกับตระกูลมู่จะสะสมกองกำลังและอำนาจมาได้ไม่น้อยแล้ว แต่หากรับมือกับกองกำลังที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้นเข้า ยอดฝีมือขั้นสูงสุดอันน้อยนิดนั้นก็คงจะเป็นอันตรายมากแน่นอน!
แต่อย่างไรเสียพวกเขาเหล่านั้นก็ยังไม่น่ากลัวที่สุด ผู้ที่น่ากลัวมากที่สุดเกรงว่าจะเป็นตัวของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์นั่น
มู่เฉียนซีรู้ดีว่านี่เป็นการเดิมพันครั้งใหญ่!
นางเอ่ยปากกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าตอนนี้จะอยู่ใกล้ แต่สถานการณ์กลับยังไม่แน่นอน พวกเรารอดูความเคลื่อนไหวก่อนเถอะ”
มู่อีพยักหน้าพลางตอบรับ “ขอรับ!”
จวินโม่ซียิ้มพลางกล่าวว่า “สาวน้อย เจ้าก็หิวแล้วเหมือนกันใช่หรือไม่ เราไปกินมื้อกลางวันกันเถอะ!”
เขาคิดว่ามู่เฉียนซีจะปฏิเสธเขาเสียอีก นึกไม่ถึงเลยว่านางจะตอบกลับมาว่า “ไป ไปกินกันเถอะ!”
จวินโม่ซีกล่าว “อาหารกลางวันวันนี้ข้าลงมือทำด้วยตัวเองเลยนะ เจ้าต้องชอบแน่ ๆ”
มู่เฉียนซีได้ยินเช่นนี้ก็หยุดชะงักก้าวเท้าลง ดวงตาจ้องมองไปที่จวินโม่ซีด้วยความตกใจ “เจ้าทำเองเหรอ ท่านหัวหน้านักปรุงยาจวินกลายเป็นพ่อครัวไปตั้งแต่เมื่อใดกันแล้ว?”
จวินโม่ซีตอบ “ก็ใครใช้ให้เจ้าของหอหมอปีศาจอย่างเจ้ายุ่งพัลวันทุกวี่ทุกวันกันล่ะ เพื่อตอบสนองความต้องการของกระเพาะข้า ข้าก็ต้องเรียนรู้และลงมือทำเองนี่แหละ”
ดูเหมือนว่ามู่เฉียนซีจะคิดเรื่องที่ไม่ดีอะไรบางอย่างได้ “เจ้าทำอาหาร นึกไม่ถึงเลยนะว่าหอหมอปีศาจของข้าจะไม่ไหม้ไปทั้งหลัง”
“หอหมอปีศาจแพงหูฉี่ถึงเพียงนี้ข้าจะกล้าเผาได้อย่างไรกันล่ะ! เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกนา มีคนมาจุดไฟให้ข้าตอนที่ข้าทำ เอาล่ะ ๆ รีบไปชิมฝีมือข้าเร็วเข้า…”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีเรื่องต้องทำ ข้าว่าข้าขอตัวก่อนดีกว่า”
เมื่อนึกถึงอาหารดำไหม้เกรียมเหล่านั้นที่จิ่วเยี่ยและท่านปู่ตงหวงทำขึ้นมาแล้ว มู่เฉียนซีก็ไม่ได้คาดหวังอันใดกับอาหารที่จวินโม่ซีทำเลย
ไม่ได้ทำให้หอหมอปีศาจของนางไฟไหม้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว
จวินโม่ซีกล่าว “สาวน้อย เจ้าอย่าเพิ่งไปสิ! ข้าทำเพียงแค่จานเดียวเท่านั้นเอง หากเจ้าไม่ชอบเจ้าก็กินอย่างอื่นได้”
“จริงเหรอ?”
“ก็จริงน่ะสิ เจ้าคิดว่าคนอย่างข้าจะมีฝีมือทำอาหารเต็มโต๊ะได้อย่างนั้นเหรอ!”
ครั้นแล้ว มู่เฉียนซีก็ไปกินอาหารมื้อกลางวันกับจวินโม่ซี ในบรรดาอาหารจานอร่อยเหล่านี้มีผัดผักอยู่จานหนึ่ง ผัดผักนั้นไหม้ดำไปเล็กน้อย แต่ดูแล้วก็น่าจะกินได้อยู่
จวินโม่ซีกล่าวถามว่า “สาวน้อย เจ้าทายมาว่าจานไหนเป็นฝีมือข้า”
มู่เฉียนซีกรอกตามองบนพลางกล่าวว่า “ยังต้องให้ข้าทายอีกเหรอ เห็น ๆ กันอยู่”
จวินโม่ซีคีบผัดผักขึ้นมาใส่ในถ้วยมู่เฉียนซี “งั้นเจ้าก็ชิมดูสิว่าฝีมือข้าอร่อยหรือไม่”
นับตั้งแต่ได้เจออาหารดำไหม้ของจิ่วเยี่ยกับของท่านปู่ตงหวง ผัดผักที่อยู่ตรงหน้านี้ก็นับว่าไม่ได้เลวร้ายอะไร
มู่เฉียนซีชิมไปคำหนึ่ง ถึงแม้ว่าฝีมือจะห่างชั้นกับฝีมือพ่อครัวไปมาก แต่ในใจของมู่เฉียนซีกลับรู้สึกตื่นเต้นมาก
มู่เฉียนซีมองจวินโม่ซีด้วยท่าทางให้กำลังใจ และกล่าวว่า “จวินโม่ซี อันที่จริงเจ้าก็มีพรสวรรค์ในการทำอาหารเหมือนกันนะ เจ้าพยายามต่อไปนะ ต่อไปจะได้ทำกินเองได้!”
ถึงฝีมือการทำอาหารของจวินโม่ซีจะแย่ไปสักหน่อย แต่ตั้งแต่นางได้พบกับฝีมือที่สิ้นหวังของสองคนนั้นแล้ว นางก็รู้สึกว่าจวินโม่ซีเป็นอัจฉริยะที่คาดหวังได้
ยากมากที่มู่เฉียนซีจะชื่นชมเขา สิ่งนี้ทำให้จวินโม่ซีไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“จริงเหรอ?”
และในขณะที่พวกเขากำลังจะกินต่อก็มีคนคนหนึ่งเข้ามารายงานว่า “ท่านผู้นำตระกูลขอรับ นายน้อยอวิ๋นซิวมาขอพบขอรับ”
มู่เฉียนซีกล่าว “เชิญเขาเข้ามา!”
หากเขายังไม่ได้กินอะไรมาก็มากินพร้อมกันเสียเลย
มีคนมาแย่งกินอาหารเช่นนี้จวินโม่ซีก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“เจ้าหมอนี่ก็มาได้ถูกเวลาเกินไปแล้วกระมัง นึกไม่ถึงเลยว่าอาหารเต็มโต๊ะนี้ของข้าจะต้องแบ่งให้กับเจ้านั่น!”
เฟิงอวิ๋นซิวเดินเข้ามา บัดนี้การระเบิดของภูเขาไฟได้ดึงดูดผู้แข็งแกร่งของกองกำลังต่าง ๆ มาไม่น้อย และต้นตอของการระเบิดนี้ก็มีโอกาสสูงว่าจะเป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ แต่กองกำลังของเฉียนซีกลับยังเพลิดเพลินอยู่กับอาหารกลางวันอยู่ที่นี่ไม่เคลื่อนไหวใดใดเลย
มู่เฉียนซีกล่าว “อวิ๋นซิว กินอะไรมารึยังล่ะ! ถ้ายังก็มากินด้วยกันสิ”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “เฉียนซี ข้าไม่มีเวลากินแล้ว! ข้ามาบอกลาเจ้า”
มู่เฉียนซีได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจสะดุ้งขึ้น “เจ้าตัดสินใจจะไปที่นั่นแล้วอย่างนั้นเหรอ”
“ที่นั่นมีโอกาสเป็นไปได้มากว่าจะเป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องเอามาให้ได้”
แสงสลัววาบผ่านดวงตาของมู่เฉียนซี “อวิ๋นซิว อาจตายได้”
หากเป็นเจ้าพิฆาตวิญญาณนั่นจริง ๆ เกรงว่าหลาย ๆ คนที่ไปจะไปไม่กลับ
เมื่อคราครั้งนั้นกระบี่มังกรเพลิงให้นางได้เห็นสนามรบแห่งการเข่นฆ่าอันนองเลือดนั้นแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ก็ยากที่จะลืมภาพเหล่านั้นได้ พิฆาตวิญญาณเป็นเทพแห่งการเข่นฆ่าที่กระหายเลือดผู้หนึ่งก็มิปาน
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ตายเพื่อความปรารถนาของนาง ข้าก็ยินยอม ดังนั้นเฉียนซีเจ้าอย่าได้โน้มน้าวข้าอีกเลย”
มู่เฉียนซีกล่าวเสียงขรึมว่า “ได้ ข้าจะไม่โน้มน้าว! ทางเลือกของเจ้า ข้าไม่อาจก้าวก่ายได้!”
“แล้วเจ้าล่ะตัดสินใจเช่นไร?” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวถาม
เขาไม่กลัวตาย แต่สิ่งที่เขากลัวก็คือตอนสุดท้ายต่างหาก กลัวว่าจะกลายเป็นศัตรูกับนางไปโดยสมบูรณ์ แย่งชิงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
มู่เฉียนซีลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า “เฟิงอวิ๋นซิว พวกเราได้ร่วมมือกันมา เช่นนั้นข้าจะบอกเรื่องหนึ่งกับเจ้า! การระเบิดของภูเขาไฟนั่น เป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์แน่นอน พวกเจ้าไปที่นั่นคาดว่าจะสามารถเจอกับกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์”
“เจ้าตามหามันมานานถึงเพียงนี้แล้ว เจ้าก็คงจะรู้ดีกระมังว่ามันไม่เพียงแต่จะเป็นจ้าวแห่งพลังธาตุอัคคี แต่ยังเป็น…”