ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1204 กระบวนท่าสังหารสุดเจ๋ง
เมื่อคนเหล่านั้นมา นกอัคคีสามปีกก็ได้หนีหายไปแล้ว
พวกเขาก็ได้เห็นมู่เฉียนซีกับหลิงพอดี
“กลิ่นอายของผู้อาวุโสหลินหายไปจากตรงนี้จริงแท้”
“ในมือพวกเขาที่ถืออยู่นั่น มันเป็นผลึกอัคคีหมื่นปี”
“เพื่อแย่งชิงผลึกอัคคีหมื่นปีนี้ ต้องเป็นพวกมันแน่ ๆ ที่ฆ่าท่านผู้อาวุโสหลินและพวก”
ทันทีที่คนกลุ่มนี้เดินเข้ามาก็ได้กล่าวเรื่องราวเป็นตุเป็นตะ
มู่เฉียนซีหันไปเหลือบมองพวกเขา พวกเขาสวมเสื้อผ้าเหมือนกับกลุ่มพวกที่อายุสั้นที่ถูกนกอัคคีสามปีกฆ่าตายไปเมื่อครู่ เห็นได้ชัดมากว่ามาจากสำนักเดียวกัน
มู่เฉียนซีเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม กล่าวกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าตาบอดกันหรือยังไง ตรงนี้ยังมีกลิ่นอายของพลังธาตุอัคคีอันบ้าคลั่งหลงเหลืออยู่ด้วยนะ ส่วนคนที่พวกเจ้าเรียกว่าผู้อาวุโสนั่นก็ถูกฆ่าตายไปแล้ว ก็มีแต่คนที่ตาไม่บอดเท่านั้นแหละที่รู้ พวกเขาถูกสัตว์วิญญาณพลังธาตุอัคคีฆ่าตาย แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่ใช่พวกข้าอยู่ดี”
ถูกมู่เฉียนซีกล่าววาจาเช่นนี้ใส่เข้า คนเหล่านี้ต่างก็พูดไม่ออก สีหน้าก็ซีดเผือดไป
“อีกอย่าง เมื่อครู่พวกข้ายังต่อสู้กับสัตว์วิญญาณนั่นจนมันได้รับบาดเจ็บเพื่อแก้แค้นให้ผู้อาวุโสของพวกเจ้าอยู่เลย! พวกเจ้าไม่ขอบคุณพวกข้าก็ไม่เป็นไร แต่นึกไม่ถึงเลยว่ายังจะมาใส่ร้ายป้ายสีพวกข้าเช่นนี้อีก คิดว่าจะรังแกพวกข้าได้ง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ?”
กระบี่เล่มนั้นของหลิงยังมีเลือดหยดอยู่ เลือดเช่นนี้ไม่ใช่เลือดของมนุษย์แน่นอน พลันนั้นคนเหล่านี้ก็เริ่มมีสีหน้าที่ไม่ค่อยจะดีนักลงเรื่อย ๆ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวเดินออกมาและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจเจ้าสองคนผิดไปแล้ว ต้องขอโทษจริง ๆ แต่ผลึกอัคคีหมื่นปีนี้เป็นสิ่งที่สหายพี่น้องของข้าสละชีวิตแย่งชิงมา ไม่รู้ว่าพวกเจ้าสองคนจะยอมมอบผลึกอัคคีหมื่นปีนี้ให้พวกข้าได้หรือไม่”
การใส่ร้ายป้ายสีไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงเพ่งเล็งความสนใจไปที่ผลึกอัคคีหมื่นปี
มู่เฉียนซีกล่าว “ของสิ่งนี้พวกข้าก็เสี่ยงชีวิตแย่งชิงมาจากสัตว์วิญญาณนั้น เหตุใดข้าต้องมอบให้พวกเจ้าด้วย”
ชายวัยกลางคนผู้นี้กล่าวว่า “ทั้งสอง ข้าเป็นถึงผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักจื่อเหลย (สำนักอัสนีสีม่วง) กองกำลังระดับสองครึ่ง พวกเจ้าจะขายให้พวกข้าได้หรือไม่?”
ขอร้องไม่ได้ผล เช่นนั้นก็เผยสถานะตัวตนออกไปเลยก็แล้วกัน
สำนักจื่อเหลย (สำนักอัสนีสีม่วง) อยู่ในแดนตะวันออก นับว่าเป็นสำนักระดับสองครึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดก็ว่าได้
หลิงเหลือบมองพวกเขาอย่างเย็นชา “กองกำลังระดับสองครึ่ง กล้าคิดจะแย่งชิงของในมือข้า”
“ไสหัวไปให้พ้น!”
คำพูดขับไสไล่ส่งนี้เต็มไปด้วยการบีบบังคับอันน่าสะพรึงกลัว ทำให้คนไม่น้อยต่างก็หวาดกลัวจนตัวสั่น
รูม่านตาของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักจื่อเหลย (สำนักอัสนีสีม่วง)ท่านนี้หดตัวลง นึกไม่ถึงเลยว่าหนุ่มสาวคู่นี้จะไม่เห็นสำนักจื่อเหลยอยู่ในสายตาเลย
เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงแค่ประการเดียวเท่านั้นแล้ว นั่นก็คือเขาเป็นคนของกองกำลังระดับสาม
หนุ่มสาวเช่นนี้ของกองกำลังระดับสาม มีพลังความแข็งแกร่งเช่นนี้ อีกทั้งยังมีอาวุธเช่นนั้นอีก ดูเหมือนว่าเขาจะรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร
เขากล่าวเย้ยหยันว่า “ข้านึกไม่ถึงเลย ที่แท้ข้าก็ได้พบกับองครักษ์ฝ่ายซ้ายหลิงแห่งตำหนักเป่ยหานนี่เอง สองปีก่อนเจ้าได้ฆ่าน้องรองของข้า ความแค้นนี้ก็ถึงเวลาที่จะชำระแล้วล่ะ”
ใบหน้าของหลิงยังคงเรียบนิ่งอยู่เฉกเช่นเดิม ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาฟังแต่คำสั่งของผู้อาวุโสสูงสุดของตำหนักเป่ยหานเท่านั้น ฆ่าคนมานับไม่ถ้วน เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าได้ฆ่าคนไปมากเท่าใดแล้ว เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคนของสำนักจื่อเหลยเขาได้ฆ่าใครไปบ้าง
“วันนี้ สำนักจื่อเหลยของข้าจะชำระทั้งแค้นเก่าแค้นใหม่ในคราเดียวกัน ลงมือ!” ผู้อาวุโสสูงสุดท่านนั้นของสำนักจื่อเหลยเริ่มโจมตีแล้ว
มู่เฉียนซีรู้ดีว่าต่อให้อารองจะฆ่าคนของสำนักจื่อเหลยหรือไม่นั้น เพื่อผลึกอัคคีหมื่นปีแล้ว พวกเขาเหล่านี้ก็ต้องลงมือกับอารองอยู่ดี
ตอนนี้บอกว่าทำไปเพื่อแก้แค้น แต่อันที่จริงแล้วก็เพียงแค่ปกปิดความละโมบโลภมากของตัวเองก็เท่านั้น
ความเลือดเย็นขององครักษ์ฝ่ายซ้ายหลิงทำให้พวกเขาหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง แต่คนของสำนักจื่อเหลยเหล่านี้คิดว่าตนเองมีพวกเยอะกว่า ไม่จำเป็นต้องกลัวสองคนนี้
ทันทีที่กระบี่ของหลิงกวัดแกว่ง ก็กวาดไปที่คนเหล่านี้ทันที
สถานการณ์ในตอนนี้อันที่จริงแล้วไม่ค่อยจะดีนัก มู่เฉียนซีขมวดคิ้วขึ้นอย่างเป็นกังวล
เมื่อครู่อารองได้ต่อสู้กับสัตว์วิญญาณตัวนั้นก็ได้สูญเสียพลังไปมาก อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บอีก ตอนนี้ต้องมาต่อสู้กับคนเหล่านี้อีก!
หลิงกล่าวกับมู่เฉียนซีว่า “ซีเอ๋อร์ รีบหนีไป!”
ถูกคนของสำนักจื่อเหลยล้อมโจมตีเช่นนี้ ด้วยพลังของเขาเองนั้น เขายังมีวิธีที่จะล่าถอยได้ แต่เขากลัวว่าจะปกป้องซีเอ๋อร์ไม่ได้
ผู้อาวุโสสูงสุดผู้นั้นก็สังเกตเห็นมู่เฉียนซีแล้ว “ไปจับตัวแม่นางน้อยนั่นมาให้ข้าเร็วเข้า!”
เขารู้ดีว่าหลิงคงไม่พ่ายแพ้ให้กับพวกเขาง่าย ๆ มิเช่นนั้นเขาคงไม่นั่งอยู่ในตำแหน่งองครักษ์ฝ่ายซ้ายของตำหนักเป่ยหานได้อย่างมั่นคงเช่นนี้แน่
ทว่า ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่แข็งแกร่งกว่านี้ หากถูกจับจุดอ่อนได้ เช่นนั้นก็คงจะรับมือได้ง่าย
ศิษย์ของสำนักจื่อเหลยได้ยินคำสั่งของผู้อาวุโสสูงสุดแล้วก็พุ่งไปที่มู่เฉียนซีทันที
“เสี่ยวหง อู๋ตี้ รับมือเอาไว้!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา
ส่วนแววตาของหลิงในตอนนี้ยิ่งเย็นยะเยือกลงเรื่อย ๆ แล้ว “พวกเจ้ามันช่างกล้าบังอาจจริง ๆ”
คนเหล่านี้กล้าที่จะลงมือกับมู่เฉียนซี นั่นหมายความว่าพวกเขาได้แตะต้องเกล็ดใต้คอมังกรและทำให้หลิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นแล้ว
หลิงลงมือด้วยความโหดเหี้ยม ทุก ๆ กระบวนท่าล้วนแต่เป็นกระบวนท่าสังหารทั้งสิ้น
การต่อสู้อันดุเดือดนั้นทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักจื่อเหลยรู้สึกหวาดกลัวจนตัวเริ่มสั่นขึ้นมาแล้ว
ตูม ปัง ปัง! อู๋ตี้กับเสี่ยวหงก็ไม่สามารถขวางทุกคนเอาไว้ได้
คนเหล่านั้นของสำนักจื่อเหลยได้ลงมือแล้ว และจู่ ๆ มู่เฉียนซีก็พุ่งไปอยู่ตรงหน้าพวกเขา
“ทักษะโยวหลัว!”
คิดว่านางเป็นคนอ่อนแอแล้วจะรังแกกันได้ง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ ก็แค่มหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับกลาง คิดว่าจะจับตัวนางได้ง่ายอย่างนั้นเหรอ
ปัง! การโจมตีด้วยทักษะวิญญาณของมู่เฉียนซีกระแทกลงบนร่างของคนเหล่านั้นจนพวกเขากระอักเลือดคำโตออกมาพลางกระเด็นลอยออกไป
แกร่ก! เสียงกระดูกแตกหักดังขึ้นได้ยินอย่างชัดเจน คนของสำนักจื่อเหลยเหล่านั้นต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น
“เห็น ๆ กันอยู่ว่านางเป็นเพียงแค่จักรพรรดิแห่งภูตคนนึงเท่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่าทักษะวิญญาณนั่นจะสามารถทำให้มหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับกลางบาดเจ็บเช่นนี้ได้! ทุกคนระวังตัวด้วย อย่าให้นางได้ใช้ทักษะวิญญาณนั่นได้อีก”
“ความเร็วในการต่อสู้รวดเร็วมาก ต้องจับตัวนางเอาไว้ให้ได้!”
เมื่อครู่มู่เฉียนซีทำสำเร็จเนื่องจากพวกเขาประเมินศัตรูต่ำเกินไป หลังจากนั้นพวกเขาจึงระมัดระวังมากในการรับมือกับมู่เฉียนซี
สำนักจื่อเหลยในฐานะที่เป็นกองกำลังระดับสองครึ่ง คุณสมบัติของศิษย์ที่รับเข้าสำนักนั้นจึงไม่เลวเลย ศิษย์เหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุทั้งสิ้น และส่วนมากก็เป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุสายฟ้า
สายฟ้าสีม่วงพุ่งโจมตีไปที่มู่เฉียนซี มู่เฉียนซีหลบหลีกสายฟ้าเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็ว
“แม่นางน้อยผู้นี้ช่วงรวดเร็วยิ่งนัก!”
ครืน เปรี้ยง เปรี้ยง!
เสียงสายฟ้าฟาดดังกึกก้องขึ้น ถึงแม้ว่าเสียงสายฟ้าเหล่านั้นจะฟาดลงพื้นดิน แต่ก็ทำให้หลิงโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่ง
เยี่ยม เยี่ยมจริง ๆ! ไอ้พวกคนเหล่านี้มันช่างกล้าหาญยิ่งนักที่โจมตีซีเอ๋อร์เช่นนี้!
กระบี่ในมือเขาพุ่งขึ้นสู่กลางอากาศ ชั่วพริบตาเดียวกระบี่ขนาดใหญ่เล่มนั้นก็พลันเปลี่ยนเป็นกระบี่ยาวเล่มเล็กเล่มใหญ่นับไม่ถ้วน
หลิงที่อยู่ในอารมณ์โกรธราวกับจะแผดเผาใต้หล้าให้เหลือเพียงเถ้าธุลีในตอนนี้นั้นเปรียบเสมือนเทพแห่งสงครามที่ต่อสู้อย่างกระหายเลือดอยู่ในสนามรบ เขามองดูคนของสำนักจื่อเหลยเหล่านั้นด้วยความเฉยเมย
“ตระกูลมู่ของข้า ไม่ใช่ตระกูลที่สวะไร้ประโยชน์อย่างพวกเจ้าจะรังแกได้!”
“มันผู้ใดกล้าบังอาจ มันผู้นั้นก็ต้องตาย!”
กระบี่อันแหลมคมนับไม่ถ้วนเต็มไปด้วยจิตวิญญาณในการต่อสู้ หลิงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เงาหมื่นกระบี่สังหาร!”
สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักจื่อเหลยพลันเปลี่ยนไปทันที “รีบหลบเร็วเข้า!”
“ไม่สิ……ไม่ทันแล้ว รับป้องกันเอาไว้ เร็ว!”
ตูม เปรี้ยง เปรี้ยง!
พรวด พรวด พรวด!
กระบี่อันแหลมคมกลางอากาศเหล่านั้นรวดเร็วกว่าที่พวกเขาได้จินตนาการเอาไว้มากนัก มันได้พุ่งแทงทะลุหัวใจของพวกเขาในฉับพลัน
การป้องกันของสายฟ้าก็ไร้ประโยชน์
คนของสำนักจื่อเหลยบาดเจ็บล้มตายไปเกินครึ่ง และต่อให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่สามารถพยุงตัวเองให้ยืนขึ้นได้
มีเพียงแค่ผู้อาวุโสสูงสุดคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงมีเรี่ยวแรงหนีอยู่ แต่ในขณะที่เขาฉวยโอกาสนี้หนี ร่างในชุดม่วงร่างหนึ่งก็เคลื่อนไหวพุ่งไปอย่างรวดเร็ว ในมือถือเข็มยาเข็มหนึ่งปักตรงคอของเขา ตอนนี้เขาไม่สามารถคุกคามได้อีกต่อไปแล้ว มู่เฉียนซีมองไปที่หลิงและยิ้มพลางกล่าวว่า “อารอง กระบวนท่านี้ช่างเจ๋งสุด ๆ ไปเลย!”