ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1209 หัวใจพระพุทธเจ้า
แม้ว่าจะเดินถูกทางแต่มู่เฉียนซีก็ยังไม่เห็นเงาใครอยู่เช่นเดิม
หลังจากที่มู่เฉียนซีได้เดินทางมากับเจ้าตัวเล็กนี้สักระยะเวลาหนึ่งแล้ว ที่เบื้องหน้าก็ปรากฏเงาของคนขึ้นมาเงาหนึ่ง
มู่เฉียนซีรู้สึกได้ว่ามีคนอยู่ แน่นอนว่าได้บังเกิดความสงสัยใคร่รู้ เพราะกลับมีผู้ที่สามารถมาถึงที่แห่งนี้ได้ก่อนนางโดยที่ไร้ซึ่งแผ่นที่
และนางก็สัมผัสได้ว่าเจ้าตัวน้อยนี้แทบที่จะเป็นลมหมดสติไปอยู่แล้ว
มันขี้กลัวเป็นอย่างมาก ในตอนที่พบกับนางครั้งแรกก็ตกใจกลัวเสียจนวิ่งหนีไป มาตอนนี้ที่เป็นเช่นนี้มันก็เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจกันได้
ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว มันเป็นแค่เพียงฉากหลังเท่านั้น คนผู้นี้ให้ความรู้ที่สะอาดเป็นอย่างมากแก่นาง และไร้ซึ่งความรู้สึกอันตรายใด ๆ
การที่เคยเป็นหมอปีศาจเดินทางอยู่บนคมกระบี่และโลกแห่งความมืดมิดทำให้ความรู้สึกของนางแม่นยำเป็นอย่างมากมาโดยตลอด
ผู้ที่ให้ความรู้สึกเช่นนี้แก่นางได้ คาดว่าคงจะเป็นผู้ที่มือไม่เคยเปื้อนเลือดมาก่อน
ถึงเป็นเช่นนั้นก็ตาม แต่มู่เฉียนซีก็ไม่กล้าที่จะไม่ระแวดระวัง ผู้ที่สามารถเดินทางเข้ามาถึงที่นี่จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน
เมื่อมู่เฉียนซีเข้าไปใกล้ ผู้ที่อยู่ด้านหน้านั้นก็สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของนาง
เขาหันหน้ากลับมา ความเยาว์วัยในชั่วขณะนั้นดูเหมือนว่าจะทำให้บรรยากาศรอบด้านล้วนแต่เงียบสงบลงมา
ดู ๆ แล้วเขาเหมือนจะมีอายุเพิ่งจะยี่สิบปี รูปลักษณ์ละเอียดงดงามสมบูรณ์ แม้ว่าจะไม่ถึงขนาดที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงได้ดั่งเช่นจิ่วเยี่ยและอาถิง
แต่ร่างกายอันเป็นอิสระของเขานั้นก็ไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป มันกลับทำให้จิตวิญญาณของผู้คนสั่นสะเทือนได้
ดวงตาคู่นั้นดูใสสะอาดไร้ซึ่งมลทินใด ๆ ราวกับว่ามันสามารถที่จะชะล้างฝุ่นผงมลทินทั้งหมดบนโลกนี้ไปได้ และช่วยเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากความทุกข์ยาก
บุรุษผู้ที่ไม่เหมือนผู้ใดเช่นนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้บอกกล่าวถึงตัวตนและความเป็นมาของตัวเขาเอง แต่มู่เฉียนซีก็มั่นใจได้แล้วว่าเขาเป็นใคร
พระผู้เป็นกระดูกแห่งพุทธศาสนาของแคว้นเทพฟ้านอินแห่งแดนตะวันตก อินรั่วเฉิน
โลกทั้งสี่ทิศล้วนแต่ได้ยกคนผู้นี้เป็นประหนึ่งดั่งเทพเจ้า แต่มู่เฉียนซีเคยรู้สึกว่ามันมากเกินไปนัก
ตอนนี้คนผู้นี้ได้มายืนอยู่ตรงหน้าของนาง นางถึงเพิ่งได้รู้ว่าสิ่งที่กล่าวลือกันมานั้นมันเป็นคำพูดที่มิได้เกินจริงไปเลย
จิตใจ แก่นกระดูก สายตา แม้กระทั่งจิตวิญญาณล้วนแต่ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนถูกชะล้างแบบหนึ่ง
ความเมตตาอันปริสุทธิสะอาดเช่นนี้ มันไม่อาจเทียบกับดอกบัวขาวเช่นไป๋เหยียนเอ๋อร์ได้เลย
ผู้นี้สามารถทำให้ผู้คนวางความระแวดระวังทั้งหมดลงได้ และทำให้ผู้คนเชื่อใจเขา แต่ทว่าความระแวดระวังป้องกันของมู่เฉียนซีกลับลุกตื่นขึ้นมา เมื่อต้องเปรียบเทียบกันกับพระแปลกหน้าผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว นางเชื่อถือในเสี่ยวไป๋มากกว่า
เสี่ยวไป๋เคยกล่าวเอาไว้ว่าคนผู้นี้อันตรายเป็นที่สุด
นางเองก็สงสัยเป็นอย่างมาก บนโลกแห่งนี้จะมีผู้ที่สะอาดผุดผ่องเช่นนี้จริง ๆ หรือ ผู้ที่มีจิตใจเพื่อทั้งใต้หล้าและคิดแต่เพียงที่จะปกป้องคนธรรมดาทั่วไป?
ดูเหมือนเจ้าตัวน้อยเองก็จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเขา แต่ก็มิได้หวั่นกลัวเช่นนั้น
คนผู้นี้ดูเหมือนจะมิใช่คนเลว!
ถึงแม้จะคิดเช่นนี้แต่ก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวอยู่เช่นเดิม
อินรั่วเฉินมองดูสาวน้อยที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เขาอย่างพิจารณา ในดวงตาอันบริสุทธิ์คู่นั้นไร้ซึ่งคลื่น ๆใด ๆ ก็เหมือนดั่งเช่นพบเจอกับคนผู้อื่น
สิ่งมีชีวิตทั้งมวลล้วนเท่าเทียม ในสายตาของเขาไม่ว่าสวยงามหรือน่าเกลียดล้วนแต่ไม่มีความแตกต่าง
มู่เฉียนซีไม่คิดที่จะติดต่อรู้จักกับเขาไม่ว่าทางใด ดังนั้นนางจึงได้เดินจากไปในทันที
อินรั่วเฉินเอ่ยขึ้น “แม่นาง!”
เสียงภาษาสันสกฤตอันไพเราะนั้นแฝงไปด้วยความหอมอันเบาบาง
มู่เฉียนซีหยุดฝีเท้าลง “มีธุระอันใดหรือ?”
แคว้นเทพฟ้านอินนั้นนับถือพุทธศาสนา แต่ทว่าอินรั่วเฉินที่เป็นพระบุตรแห่งศาสนานั้นไม่เหมือนกับผู้อื่นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องปลงผม
เส้นผมสีดำขลับเหมือนดั่งน้ำหมึกลื่นไหลไปตามจีวรจนถึงข้อเท้า สะอาดหมดจดดั่งพระพุทธเจ้ามาเยือน
การถูกดวงตาคู่หนึ่งเช่นนั้นจ้องมอง ราวกับว่าจะสามารถละวางบาปทั้งปวงและการฆ่าฟันทั้งสิ้นไปได้
มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้นอย่างราบเรียบ “เจ้ามีธรุระอะไรหรือ?”
“แม่นางเดินทางเช่นนี้จะต้องมีอันตรายเป็นอย่างมาก ขอให้แม่นางจงไปจากที่นี่เถิด ข้าอันเป็นพระสงฆ์ผู้ยากไร้จะไปส่งเจ้าออกไป”
ความเมตตาบนใบหน้าของเขานั้นไม่มีวี่แววว่าจะเป็นของปลอม
แม้ว่านางจะอ่านคนมาแล้วจำนวนนับไม่ถ้วน แต่นางกลับไม่สามารถอ่านอะไรจากคนผู้นี้ออกได้เลยแม้แต่น้อย ถ้าหากมิใช่เพราะเสี่ยวไป๋เคยกล่าวถึงคนผู้นี้ไว้ก่อนหน้านี้ นางคงจะเชื่อไปแล้วจริง ๆ
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นเบา ๆ “ผู้ที่มาที่แห่งนี้ล้วนแต่มาเพื่อของล้ำค่า เจ้าเองก็เช่นกัน ในตอนนี้ของล้ำค่านั้นยังมิถูกหาจนพบแต่เจ้าจะให้ข้ากลับไป?”
“ถึงแม้จะเป็นบุรุษรูปงามเช่นเจ้าคอยอารักขาไปส่ง ข้าจะไม่หลงกลชายงามหรอก!”
เมื่อเท้าเริ่มเคลื่อนที่ มู่เฉียนซีก็ได้เข้าไปใกล้อินรั่วเฉิน
ผิวของเขาเหมือนดั่งเครื่องปั้นสีขาวครามก็มิผิด ละเอียดอ่อนและสมบูรณ์แบบ
อินรั่วเฉินสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันไม่คุ้นเคย เมื่อนางเข้ามาใกล้ก็มีไอร้อนไอหนึ่งพ่นขึ้นมาที่บนใบหน้าของเขา
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ใบหน้าของเขายังคงไว้ซึ่งท่าทางที่อ่อนโยนและสะอาดเอี่ยม
มู่เฉียนซียื่นมือออกมาและยกเส้นผมสีดำของเขาขึ้น ผมสีดำนั้นเหมือนดั่งผ้าไหมก็มิปาน มันมีกลิ่นหอมของไม้จันทร์อยู่บาง ๆ
นางอยากจะเห็นจริง ๆ ว่าพระผู้นี้จะทำการแสดงไปได้นานเท่าไร?
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “ถ้าหากว่าเจ้ายอมที่จะจ่ายด้วยราคาสักเล็กน้อย บางทีข้าอาจจะฟังคำเจ้าแล้วออกจากที่นี่ไปแต่โดยดี!”
ในตอนนั้นเสี่ยวไป๋ยังโดนปั่นหัวเสียจนพังทลาย นางอยากจะดูจริง ๆ ว่าอินรั่วเฉินนั้นจะมีความอดทนสักเท่าไร
หญิงสาวตรงหน้ายิ้มเหมือนดั่งดอกบุปผา ทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดในโลกาก็เพียงแค่เท่านั้น
บุรุษผู้บริสุทธิ์เหมือนดั่งวารีกับสตรีผู้ที่เลวร้ายเหมือนดั่งโจรป่า บัดนี้ทั้งสองมาอยู่ใกล้กันเป็นอย่างมาก
อินรั่วเฉินกล่าวอย่างสงบ “แม่นางอย่าได้ล้อเล่นกับเราผู้เป็นพระเลย”
“พระ!” มู่เฉียนซีดึงเส้นผมอันละเอียดประณีตของนั้นเบาๆ “หากว่าเจ้าเป็นพระ แล้วนี่คืออะไรเล่า! นี่มันไม่ใช่ผมปลอมเลยนี่!”
แม้ว่ามู่เฉียนซีจะมิได้ออกแรงมาก แต่ผู้ที่ถูกดึงผมนั้นก็มีความเจ็บอยู่บ้าง
อินรั่วเฉินใจกว้างเป็นอย่างมาก เขามิได้โกรธกริ้วเลย ซ้ำยังกล่าวตอบด้วยความอ่อนโยนเป็นอย่างมาก “อาตมานั้นไว้ผมเพื่อบำเพ็ญตบะ”
“ข้าพบว่าเจ้านั้นหน้าตาดีจริง ๆ”
อินรั่วเฉินมิใช่ผู้ที่มีรูปลักษณ์สะดุดตาที่เพียงแค่มองเพียงครั้งแรกก็ทำให้จิตวิญญาณของคนล้มตึง แต่เขาเป็นคนที่ยิ่งมองแล้วยิ่งไม่อาจจะละสายตาออกจากไปได้
อินรั่วเฉินดูเหมือนว่าจะมิได้ว่ากล่าวอะไรที่มันธรรมดา “แม่นาง ในครั้งนี้มีอันตรายมากมายนัก เหตุใดจึงไม่ฟังคำโน้มน้าวข้า”
“ข้ากับเจ้าไม่ได้รู้จักกัน เหตุใดเจ้าต้องมายุ่งย่ามด้วย”
“ข้าเพียงไม่อยากให้บนโลกนี้มีการฆ่าฟันมากขึ้นไปอีกหนึ่งชีวิต” อินรั่วเฉินกล่าวพร้อมถอนหายใจเบาๆ
งดงามไม่เสียทีที่เป็นบุรุษผู้งดงาม แม้ถอนหายใจก็ยังงดงามเช่นนั้น
อินรั่วเฉินเองก็ไม่เสียทีที่ถูกยกให้เป็นกระดูกแห่งศาสนาและจิตใจที่ศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ถอนหายใจก็ยังมีความเมตตาในสรรพชีวิตที่เกิดมา
มู่เฉียนซีรู้สึกว่าพระสงฆ์องค์นี้น่าเบื่อมากนัก แม้แต่เสี่ยวไป๋ที่ไม่ได้มีความคาดหวังหรือต้องการสิ่งใดยังมีความเคลื่อนไหวทางอารมณ์อยู่บ้าง แต่นี่ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น
นางรู้สึกว่าการกระทำของนางไม่สามารถที่จะสืบหาอะไรออกมาได้เลย เช่นนั้นก็จะไม่ไปเสียเวลาไปกับเขาแล้ว
นางโคจรพลังวิญญาณขึ้นมา เมื่อเงาร่างสีม่วงเริ่มขยับตัว ไม่นานนักมู่เฉียนซีก็ได้เคลื่อนที่ไปเป็นระยะหลายสิบมี่
นางยิ้มแล้วกล่าว “อินรั่วเฉิน ข้านั้นดวงแข็งนัก ข้าจะไม่ตายง่าย ๆในที่แห่งนี้ เจ้าจงอย่าได้กังวลใจมั่วซั่วอยู่ร่ำไป หากพระที่เป็นกระดูกแห่งศาสนาของแคว้นเทพฟ้านอินมาตายอยู่ที่นี่แล้ว เกรงว่าโลกนี้ก็คงจะมีภารกิจขั้นสุดยอดหายไปหนึ่งอย่างเสียแล้ว”
“อื้ม! แล้วก็ยังจะขาดบุรุษผู้งดงามอย่างยากหาผู้ใดเทียบไปอีกผู้หนึ่งด้วย”
หลังจากที่ได้ทำการทดสอบพระผู้นี้ไปแล้ว มู่เฉียนซีก็ได้วิ่งไปด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุด
เมื่อได้ยินมู่เฉียนซีตะโกนชื่อของตน ใบหน้าอันสงบนิ่งของอินรั่วเฉินนั้นก็ได้เผยแววของความประหลาดใจออกมา
ผู้ที่รู้ตัวตนของเขาแต่กลับยังกล้ามาหยอกล้อกับเขานั้น มีเพียงแค่นางผู้นี้ผู้เดียวเท่านั้น
เจ้าตัวน้อยได้ออกมาจากแขนเสื้อของมู่เฉียนซีแล้ว พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองนางตาแป๋ว
ดูเหมือนว่านางจะชอบบุรุษรูปงามเป็นอย่างมาก ถ้าหากว่ามันสามารถที่จะกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ นางจะต้องชอบมันอย่างแน่นอน
แต่ทว่าในวันนี้เอาชีวิตให้รอดเสียก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ! นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเพ้อฟันกลายร่างเป็นมนุษย์
เดิมทีอินรั่วเฉินมิได้คิดที่จะตามโน้มน้าวมู่เฉียนซีต่อไปอีก ถึงแม้มู่เฉียนซีจะเป็นสตรีผู้ที่มายั่วยุปั่นหัวเขาเป็นครั้งแรก สำหรับเขาแล้วมันก็มิได้ต่างอะไรกับผู้อื่นนัก
แต่เมื่อตอนที่เจ้าตัวเล็กปีนออกมานั้น ดวงตาอันสะอาดบริสุทธิ์คู่นั้นของเขาก็ได้ฉายแววออกมาเบาๆ จากนั้นเขาก็ได้ไล่ตามไป