ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1214 ลับหลังไม่เชื่อฟัง
“เรื่องของข้า ไม่ใช่อะไรที่เจ้าจะสามารถมายุ่งได้!” คำพูดของกู้ไป๋อีไม่มีความอ่อนโยนเลยแม้แต่น้อย
ผู้อาวุโสสูงสุดก้มหัวลงต่ำแล้วกล่าวด้วยความเคารพ “รับทราบ!”
หลังจากที่หลิงได้ยินข่าวนี้แล้วก็ตะลึงงัน เขายังหาตัวซีเอ๋อร์ไม่พบ แล้วจะต้องมาจากไปเช่นนี้หรือ?
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวกับหลิง “จะไม่ฟังคำสั่งไม่ได้ ออกจากเมืองในทันใด!”
หลิงไม่สามารถที่จะขัดขืนต่อคำสั่งของผู้อาวุโสสูงสุดได้ แต่หลังจากที่ออกจากเมืองไปได้ไม่นาน ผู้อาวุโสสูงสุดก็ได้ส่งผู้อื่นออกไปทางอื่นเสียสิ้น เหลือเอาไว้เพียงแต่ผู้ที่ตนเองเชื่อถือก็เท่านั้น
หลิงผู้เป็นเครื่องจักรสังหารพร้อมทั้งเป็นผู้หนึ่งที่จะไม่ทรยศอย่างแน่นอน แล้วก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เขาเชื่อใจและใกล้ชิด
“เขาได้ไล่ให้ข้าออกไปไกล เกรงว่าคงเป็นเพราะกลัวข้าจะไปแย่งชิงกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์กับเขา ข้าจะไม่เลิกราอย่างแน่นอน ทุกคนจงแปลงโฉมเข้าไปในเมืองอีกครั้งหนึ่ง”
“ขอรับ!” ทุกคนล้วนตอบรับกันอย่างพร้อมเพียง
สามารถเข้าไปในเมืองได้อีกครั้ง แน่นอนว่ายิ่งดี หลิงก็จะมีโอกาสหาตัวซีเอ๋อร์
กู้ไป๋อีเองก็นึกไม่ถึงว่าผู้อาวุโสสูงสุดนั้นต่อหน้าจะรับคำสั่งแต่ลับหลังกลับไม่เชื่อฟัง
หลังจากที่ผู้อาวุโสสูงสุดได้นำเหล่าผู้ที่เขาใกล้ชิดเชื่อใจแปลงโฉมเรียบร้อยแล้วก็ได้เข้าไปในเมืองเหยียนอีกครั้ง ไม่นานนักก็พลันมีเสียงกึกก้องเสียงหนึ่งดังขึ้น ประตูเมืองได้ถูกปิดลง
เมืองทั้งเมืองได้ถูกปิดตายขึ้นมา บนท้องนภาได้ถูกปิดผนึกเอาไว้ไม่สามารถที่จะบินออกไปได้เลย
ทุกคนล้วนแต่ตกตะลึง “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? รึว่าดึงให้พวกเราเข้ามาในนี้เพื่อที่จะส่งตัวพวกเราเข้ามาในเมืองแห่งนี้หรือ?”
“ท่านเจ้าสำนัก ดูเหมือนจะมีลำแสงหนึ่งที่ใจกลางจัตุรัส”
“นั่นดูเหมือนจะเป็นทางเส้นทางหนึ่ง!”
คนจำนวนไม่น้อยรีบไปยังจัตุรัสใจกลางแห่งนั้น แม้ว่าลำแสงนั้นจะเป็นเพียงลำแสงสีแดงที่เสียดสายตา แต่มันก็ถูกมู่เฉียนซีมองเป็นความอันตรายอย่างที่สุดชนิดหนึ่ง
พวกเขาล้วนแต่มิใช่คนที่ประมาทสะเพร่า จึงได้เริ่มพูดคุยถกเถียงกันขึ้นมา
“จากการที่ข้าเฝ้าสังเกตดูแล้ว นี่มันเป็นเส้นทางแห่งมิติอย่างหนึ่งแน่นอน”
“แต่ว่า ถ้าหากมันเป็นกับดักเล่าจะทำเช่นไร?”
“คนที่มายังที่แห่งนี้มีผู้ใดเล่ามิได้มาเพื่อเสี่ยงอันตราย ในตอนนี้เมืองได้ถูกปิดผนึกเอาไว้ เทียบกับการที่จะถูกขังอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตแล้ว ยังไม่สู้พนันกันสักหน!”
ฟึ่บ! เงาร่างเงาหนึ่งได้ถูกส่งตัวเข้ามา ภาพเงาสีแดงดั่งเพลิงราง ๆ เงาหนึ่งได้พุ่งออกมาแล้วปรากฏตัวอยู่ที่บนแขนของมู่เฉียนซี
นางสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกบนหลังมืออันคุ้นเคย มู่เฉียนซีตะลึงค้าง นางมองไปยังเจ้าตัวน้อยแล้วกล่าวขึ้น “ทำไมเจ้าถึงได้กลับมาอีก?”
เจ้าตัวน้อยดึงแขนเสื้อของมู่เฉียนซี มันอยากที่จะลากมู่เฉียนซีไปด้วย ดูเหมือนว่ามันจะได้ใช้พละกำลังที่มีทั้งหมดของร่างกายน้อย ๆ นั้นแล้ว
ทันใดนั้นมู่เฉียนซีก็รู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งได้จับจ้องมาที่ตน
“……”
เป็นดั่งที่คาดเอาไว้ มีเงาร่างสีเหลืองเงาหนึ่งอยู่ไม่ห่างไกลนัก
มู่เฉียนซีตะลึงงัน “หลังจากที่เจ้าจากไปแล้ว คงมิใช่ถูกอินรั่วเฉินเพ่งเล็งเอาหรอกกระมัง! เจ้าไร้ซึ่งหนทางจึงทำได้แต่เพียงหนีมาหาข้า”
“ซู่ ซู่ ซู่…” เจ้าตัวน้อยอยากให้มู่เฉียนซีเดินหน้าไปเป็นอย่างมาก
ถ้าหากว่าไปแล้ว!
“ซิงเฉิน จัดการ!”
ยังไม่ทันรอให้ซิงเฉินที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดลอบโจมตีเพื่อหยุดยั้ง เท้าข้างหนึ่งของเฟิงอวิ๋นซิวก็ได้เหยียบย่างเข้าไปในลำแสงนั้นแล้ว
เขาเป็นคนแรกที่เดินเข้าไป ราวกับว่าเขามิได้หวั่นกลัวต่ออันตรายที่อยู่ด้านในเลยสักนิด
“เป็นนายน้อยอวิ๋นซิว ช่างมีความกล้านัก!”
“ไม่เสียทีที่นายน้อยอวิ๋นซิวเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในโลกทั้งสี่ทิศ ความกล้าที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัวนี้ มิใช่ว่าใคร ๆ ก็สามารถที่จะมีได้”
“……”
ลำแสงสีแดงนั้นได้นำตัวของเฟิงอวิ๋นซิวไป
สีหน้าของมู่เฉียนซีเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก “เฟิงอวิ๋นซิว เจ้ากลัวว่าอายุเจ้าจะยาวไปรึยังไง?”
น่าเสียดายที่เฟิงอวิ๋นซิวนั้นไม่ได้ยินเสียงของมู่เฉียนซีเสียแล้ว จากนั้นไป๋อู๋ห่ายที่ตามเข้าไปกลับหันมามองมู่เฉียนซีอยู่คราหนึ่ง
เด็กสาวผู้นี้มาอีกแล้ว หมิงจีและบุตรสาวถูกนางทำร้ายเสียจนเป็นเช่นนั้น เขาแทบอดไม่ได้ที่จะเอามีดมากรีดแทงนางนับหมื่นพันแผล
แต่ตอนนี้มิใช่เวลาที่จะลงมือ กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์นั้นสำคัญนัก
ไป๋อู๋ห่ายนำคนของตำหนักตงจี๋พุ่งเข้าไปในลำแสงนั้น
ไป๋อู๋ห่ายได้เคลื่อนไหวแล้ว แน่นอนว่าผู้อาวุโสสูงสุดผู้นั้นของตำหนักเป่ยหานเองก็จะไม่ยอมล้าหลัง เขากล่าวขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ไป!”
ในตอนที่หลิงพุ่งเข้าไปในลำแสงนั้นนี่เอง เขาได้มองไปยังมู่เฉียนซี ดวงตาของมู่เฉียนซีพลันหรี่เล็กลง
เมื่อได้ข่าวว่าตำหนักเป่ยหานได้ออกจากเมือง นางก็ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง แต่นึกไม่ถึงเลยว่านั่นจะเป็นเพียงแค่การเล่นกลตบตาของผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้น พวกเขาได้แปลงโฉมแล้วกลับเข้ามาอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าอารองจะแปลงโฉมไปแล้ว แต่สายตานั้น นางสามารถที่จะมั่นใจได้ว่าจะต้องเป็นอารองอย่างแน่นอน
มู่เฉียนซีต้องการที่จะลงมือหยุดยั้ง เสียดายที่ไม่ทันเสียแล้ว จึงทำได้เพียงแต่มองหลิงหายเข้าไปในนั้น
“บ้าจริง เจ้าเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น”
เมื่อมีคนนำแล้วคนอื่น ๆ ก็มิได้หวั่นกลัวเช่นนั้นแล้ว และทยอยพุ่งเข้าไปในลำแสงนั้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนมู่เฉียนซีเองก็จำเป็นที่จะต้องเข้าไป แม้ว่าที่ด้านล่างจะมีไอ้ดาวร้ายนั่นอยู่ก็ตาม
“ซู่ ซู่ ซู่…” ราวกับเจ้าตัวน้อยนั้นมองความคิดของมู่เฉียนซีออก เจ้าตัวน้อยเองก็ร้อนรนใจเข้าแล้ว
อย่าไป ไปไม่ได้!
“ซู่ ซู่ ซู่!” มันพูดไม่ออกจึงทำได้แต่เพียงร้อนรนใจอยู่ตรงนี้
มู่เฉียนซีลูบไปที่หัวน้อย ๆ ของมันแล้วกล่าว “ถ้าหากว่าเจ้าไม่อยากไปละก็สามารถที่จะไม่ไปได้”
มันไม่อยากไป แต่เมื่อหันไปมองยังบุรุษผู้สะอาดไร้ฝุ่นกับรอยยิ้มอันสงบเป็นมิตรที่มองมายังมัน ร่างกายของมันก็สั่นขึ้นทันที!
ตายก็ตาย!
มันเลื้อยไปยังแขนเสื้อของมู่เฉียนซีและตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะไป
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าแน่ใจนะว่าจะอยู่ในนี้”
เจ้าตัวน้อยไม่ขยับแม้แต่น้อย ราวกับว่ามันแกล้งตายไปแล้ว
“เช่นนั้นข้าไปแล้วนะ”
“ซู่!” เจ้าตัวน้อยยังคงตึงเครียดอยู่เล็กน้อยแต่มันก็ไม่ได้จากไป
มู่เฉียนซีมองไปยังเสี่ยวไป๋แล้วกล่าว “เสี่ยวไป๋ ข้าจะเข้าไปในนั้น! แล้วเจ้าเล่า?”
“ไปเป็นเพื่อนเจ้า!”
“ไปกันเถอะ!” กู้ไป๋อีดึงตัวมู่เฉียนซีมาไว้ใกล้ตน ยังไม่รู้ว่าข้างในนี้นั้นมีอะไร เขาจะไม่ปล่อยมือไปอย่างแน่นอน
ในตอนที่ถูกลำแสงสีแดงนั้นปกคลุมเอาไว้ มู่เฉียนซีสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันที่เคยพบมาก่อน สีหน้าของนางพลันซีดเผือดลง
“ซีเอ๋อร์…” กู้ไป๋อีตะโกนเรียกที่ข้างหูของนาง ในตอนนี้พวกเขาได้มาปรากฏตัวขึ้นที่สถานที่อีกแห่งหนึ่ง
มู่เฉียนซีดึงกู้ไปอีไว้แน่นแล้วกล่าว “เสี่ยวไป๋ เกรงว่าที่ข้าเดาเอาไว้คงจะไม่ผิด ที่แห่งนี้เป็นที่ที่วิญญาณกระบี่พิฆาตปรากฏตัวขึ้น มันจะต้องอยู่ที่นี่เป็นแน่”
กู้ไป๋อีกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าจะไม่ให้สิ่งนั้นทำร้ายเจ้าแน่!”
ยังไม่ทันรอให้พวกเขาได้ตรวจดูสถานการณ์ที่รอบด้าน กลิ่นอายอันเย็นยะเยือกและดำมืดก็ได้ล้อมพวกเขาเข้ามา
พลังวิญญาณของมู่เฉียนซีได้พุ่งกวาดออกไป สิ่งเหล่านั้นเป็นรูปทรงมนุษย์แต่กลับไม่มีร่างกาย มันเหมือนดั่งวิญญาณก็มิปาน
พวกมันแยกเขี้ยวและกางกรงเล็บพุ่งไปทางมู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อี มู่เฉียนซีตอบโต้ไปอย่างรีบร้อน
“มังกรวารีพิฆาต!”
มังกรวารีพุ่งออกไป และอยู่พัวพันกับพวกมัน
กู้ไป๋อีเองก็ออกกระบี่อย่างดุดัน “เงาเหมันต์จันทรา!”
ปัก ปัก ปัก!
เหมือนว่าการโจมตีของพวกเขาจะพุ่งทะลุผ่านอากาศอย่างไรอย่างนั้น มันมิได้สร้างความเสียหายให้แก่พวกมันสักเท่าไร
กู้ไป๋อีกล่าว “ปรมาจารย์เหยียนเป็นนักหลอมอาวุธที่ตรงไปตรงมา คงจะไม่ทำอะไรที่แล้วร้ายเช่นนี้”
“สิ่งที่พิฆาตวิญญาณถนัดที่สุดก็คือกลืนกินวิญญาณ คาดว่ามันก็สามารถที่จะใช้วิญญาณที่ถูกกลืนกินไปนั้นให้ทำอะไรให้มันได้ นี่คงจะเป็นสิ่งที่มันทำ”
“ทักษะโยวหลัว!” ทักษะหัตถ์ระเบิดพุ่งไปทางพวกวิญญาณเหล่านั้น แต่มันก็ยังคงไม่ได้ผลอยู่เช่นเดิม
“เงาจันทราคู่!”
ดูเหมือนว่าการโจมตีทั้งหมดจะไม่เกิดประโยชน์ อีกทั้งพวกเขายังได้ถูกพวกมันตามพัวพันเข้าอีกด้วย
เมื่อเผชิญหน้ากับเหล่าวิญญาณที่ยากจะหนีได้พ้น มู่เฉียนซีก็นึกถึงอะไรบางอย่างที่สามารถจัดการกับพวกมันอย่างง่ายดายได้ขึ้นมา นั่นก็คือกระบี่มังกรเพลิง!
แต่ถ้าหากนำกระบี่มังกรเพลิงออกมาในตอนนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางจะกลายเป็นเป้าเคลื่อนไหวไปในทันที จากนั้นก็ต้องเผชิญหน้ากับการฆ่าล้างจากพิฆาตวิญญาณที่ซ่อนตัวอยู่ในที่แห่งนี้