ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1266 เอาชนะได้ภายในเจ็ดกระบวนท่า
ก่อนหน้านี้พวกเขามองอวี้ปิงชิงด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง
ทว่า ตอนนี้กลับมองเป็นศัตรูไปแล้ว
สถานะของอวี้ปิงชิงในตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ในฐานะที่เป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่มีสิทธิ์ได้เป็นประมุขน้อย
แต่ใครจะไปคิดล่ะ ว่าจู่ ๆ ท่านหัวหน้าตำหนักจะปลดนางออกจากตำแหน่งธิดาศักดิ์สิทธิ์ และนางทำให้นางได้รับสิทธิ์ในการคัดเลือกครั้งนี้
อวี้ปิงชิงกล่าว “ศิษย์พี่ทั้งหลาย ตำแหน่งประมุขน้อยชิงเอ๋อร์ปรารถนาจะเอามาให้ได้ ศิษย์พี่ทั้งหลายโปรดยั้งมือไว้ไมตรีด้วย”
นายน้อยรองยิ้มพลางกล่าวว่า “น้องชิงเอ๋อร์มั่นใจในตัวเองมากเกินไปหน่อยแล้วกระมัง ท่านพี่กับข้าก็ทะลวงพลังถึงขั้นมหาจักรพรรดิระดับหกแล้ว อาจจะเอาชนะเจ้าได้ก็ได้นะ”
“ระดับหกอย่างนั้นเหรอ?” อวี้ปิงชิงยิ้มมุมปากเล็กน้อย พลังที่แผ่ซ่านออกมาของนางนั้นกลับทำให้พวกเขาถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “พวกเราก็เปรียบเสมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน หากชิงเอ๋อร์ได้กลายเป็นประมุขน้อย ชิงเอ๋อร์จะไม่ทำให้ศิษย์พี่ทั้งหลายลำบากแน่นอน แต่หากปล่อยให้คนของท่านหัวหน้าตำหนักได้เป็นประมุขน้อยแล้วละก็ ศิษย์พี่ทั้งหลายคิดเหรอว่าจะอยู่เย็นเป็นสุข ได้โปรดศิษย์พี่ทั้งหลายคิดทบทวนดูให้ดี ๆ”
อวี้ปิงชิงกล่าวจบก็หันหลังเดินจากไปทันที
ทั้งสี่มองดูร่างอันเพรียวบางนั้นเดินจากไป สีหน้าของพวกเขาก็เขียวคล้ำขึ้นด้วยความไม่พอใจ
ก่อนที่การประลองจะเริ่มขึ้น มู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อีก็มาได้ทันเวลา
กู้ไป๋อีมาร่วมชมการประลองอีกครั้ง ทำให้สนามการประลองครึกครื้นขึ้นเป็นอย่างมาก
การที่ท่านหัวหน้าตำหนักมาร่วมชมการประลองก็นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากแล้ว นี่มาติดต่อกันถึงสองวัน ทุกคนต่างก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็นจริง ๆ
ผู้ที่ผ่านการประลองในเมื่อวานจำนวนสิบคน บวกกับนายน้อยตำหนักเป่ยหานอีกสี่คน อวี้ปิงชิง และมู่เฉียนซี รวมทั้งหมดเป็นสิบหกคน
จับฉลากเลือกคู่ต่อสู้ในการประลอง
และมู่เฉียนซีก็จับฉลากได้นายน้อยรอง
เมื่อได้รู้ข่าวนี้ ทุกคนต่างก็ตกตะลึงอื้ออึ้งไปตาม ๆ กัน “มู่หรงเฉียนเยี่ยช่างโชคร้ายเสียจริง! การประลองสนามแรกก็จับฉลากได้นายน้อยรองซะแล้ว”
“นอกจากนายน้อยห้าแล้ว นายน้อยรองเป็นนายน้อยที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดแล้ว”
หลังจากที่ทุกคนจับฉลากคู่ต่อสู้ การประลองยุทธ์ก็ได้เริ่มขึ้น!
คู่ต่อสู้ของอวี้ปิงชิงเป็นศิษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มุมปากนางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย และคู่ต่อสู้ของนางก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากขอยอมแพ้ขึ้นก่อน
“ข้ายอมแพ้!”
คู่ต่อสู้ของนายน้อยใหญ่ นายน้อยสาม และนายน้อยสี่ต่างก็ยอมพ่ายแพ้ไปเช่นกัน
ถึงแม้ว่าสามนายน้อยในนายน้อยทั้งเจ็ดของตำหนักเป่ยหานจะถูกมู่เฉียนซีกำจัดไปแล้ว แต่นายน้อยทั้งเจ็ดของตำหนักเป่ยหานในสายตาของศิษย์ธรรมดาคนอื่น ๆ นั้นยังคงเป็นผู้แข็งแกร่งยากที่คนอื่นจะเอาชนะได้
นายน้อยรองกล่าว “เจ้าหนุ่ม อย่าคิดว่าเจ้าเอาชนะเจ้าสามคนที่ไร้ประโยชน์นั่นได้แล้วเจ้าจะเจ๋งนะ วันนี้เจ้าจะต้องพ่ายแพ้ไปอย่างไม่ต้องสงสัย”
มู่เฉียนซีชักกระบี่ยาวเล่มหนึ่งออกมา นางยิ้มพลางกล่าวว่า “การประลองยังไม่ทันเริ่ม เจ้าก็กล่าววาจาโอ้อวดซะใหญ่โตแล้ว ไม่กลัวคนอื่นจะหัวเราะเยาะทีหลังหรอกเหรอ!”
“กระบี่! มู่หรงเฉียนเยี่ยใช้กระบี่แล้ว!”
“คราก่อนตอนที่ลงมือกับนายน้อยสี่และพวก เขาไม่ได้ใช้กระบี่นะ!”
“ท่านหัวหน้าตำหนักโปรดปรานเขาปานนั้น คาดว่าคงได้รับวิชามาจากท่านหัวหน้าตำหนักเป็นแน่ ต้องเก่งกาจมากแน่ ๆ”
กระบี่ยาวกวัดแกว่งเป็นเส้นโค้ง ตัดผ่านอากาศ มู่เฉียนซีตะโกนขึ้นอย่างเย็นชาว่า “เงาจันทราหนาวเหน็บ!”
ภายในชั่วพริบตาเดียว เงาจันทราเงาหนึ่งโจมตีลงมาอย่างเยือกเย็น ทั้งรวดเร็วและดุดันมาก
ศิษย์ธรรมดาทั่วไปอาจจะไม่รู้จักกระบวนท่านี้ แต่เหล่าบรรดาผู้อาวุโสทุกท่านล้วนแต่ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้นแล้ว
“นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าท่านหัวหน้าตำหนักจะสอนกระบวนท่าสุดยอดเช่นนี้ให้มู่หรงเฉียนเยี่ย”
“แต่สิ่งที่ทำให้ข้าไม่อยากเชื่อมากไปกว่านั้นก็คือเจ้ามู่หรงเฉียนเยี่ยฝึกฝนจนบรรลุกระบวนท่านี้แล้ว เขาฝึกฝนไปได้นานแค่ไหนกัน”
“……”
“เงาจันทราหนาวเหน็บ! นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะเป็นกระบวนท่าเงาจันทราหนาวเหน็บ!”
เมื่ออวี้ปิงชิงเห็นเงาจันทราหนาวเหน็บนั้นเข้า แววตาของนางก็ทวีความเย็นยะเยือกขึ้นยิ่งกว่าเงาจันทราหนาวเหน็บนั้นเสียอีก
ในใจเกิดความอิจฉาริษยาจนแทบจะบ้าคลั่งแล้ว แม้แต่กระบวนท่าสุดยอดนี้ ท่านหัวหน้าตำหนักก็ฝึกฝนให้เจ้านั่นแล้ว
นายน้อยรองรีบโคจรพลังวิญญาณหลบหลีกการโจมตีนี้ กลิ่นอายของกระบี่นั้นเปรียบเสมือนมีดหั่นเต้าหู้ก็มิปาน มันฟันลงบนลานประลองยุทธ์จนเกิดรอยแยกหนึ่งขึ้น
“มังกรวารีพิฆาต!” ดูเหมือนว่ามู่เฉียนซีจะไม่ให้โอกาสนายน้อยรองได้หลบหลีกเลย นางฉวยโอกาสโจมตีเอาชนะให้ได้!
“ทักษะโยวหลัว!”
ภายใต้การโจมตีมากมายจนมองไม่หวาดไม่ไหวของมู่เฉียนซี นายน้อยรองไม่มีโอกาสที่จะตอบโต้เลยแม้แต่น้อย!
นับตั้งแต่มู่เฉียนซีใช้กระบวนท่าเงาจันทราหนาวเหน็บนั้น นายน้อยรองก็ถูกกำหนดให้พ่ายแพ้แล้ว!
“เงาจันทราหนาวเหน็บ!”
“เอาอีกแล้ว! กระบวนท่านี้อีกแล้ว พวกเจ้าดูสิ!” ภายใต้การโจมตีที่พลังรวมตัวกันอย่างหนาแน่นเช่นนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าเขาผู้ที่มีพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหกจะไม่มีโอกาสได้ใช้วรยุทธ์ตอบโต้เลย
เหงื่อเย็นผุดพรายขึ้นทั่วหน้าผากของนายน้อยรอง แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาสามารถทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือการหลบหลีก!
มู่เฉียนซีถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไปในกระบี่เล่มนั้นอย่างบ้าคลั่ง และตะโกนอย่างเย็นชาอีกครั้งว่า “เงาจันทราคู่!”
“เงาจันทราคู่! แม้แต่กระบวนท่าเงาจันทราคู่เขาก็ทำได้แล้ว”
“พลังอำนาจของกระบี่นี้ อ่อนแอกว่าของท่านหัวหน้าตำหนักไม่เท่าไหร่”
“พลังอำนาจกระบี่นั่น…”
“มู่หรงเฉียนเยี่ยผู้นี้เป็นอัจฉริยะจริง ๆ! มิน่าล่ะว่าเหตุใดท่านหัวหน้าตำหนักถึงได้โปรดปรานถึงเพียงนี้!”
นายน้อยรองหลบหลีกเงาจันทราเงาหนึ่งได้ แต่ไม่สามารถหลบหลีกเงาจันทราอีกเงาที่อยู่ด้านหลังได้!
ฉึก! กระบี่ฟาดฟันลงมาถูกแผ่นหลังเขา และมู่เฉียนซีโจมตีด้านหน้าเขาอีกครั้ง
“มังกรวารีพิฆาต!”
มังกรวารีสีฟ้าขนาดใหญ่โจมตีจนร่างของนายน้อยรองกระเด็นลงไปจากลานประลองยุทธ์
ปัง! ร่างของนายน้อยรองกระแทกลงบนพื้น แววตาคู่นั้นแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
สีหน้าของผู้อาวุโสรองในตอนนี้เหยเกมาก ด้วยพลังความแข็งแกร่งของศิษย์ตนเอง ต่อให้มู่หรงเฉียนเยี่ยจะฝึกฝนวิชากระบี่ของท่านหัวหน้าตำหนักโดยเฉพาะ และต่อให้เอาชนะไม่ได้ แต่ก็ไม่มีทางพ่ายแพ้ได้เร็วเช่นนี้แน่นอน
ทว่า กลับพ่ายแพ้แล้ว! นับตั้งแรกเริ่มการประลอง จังหวะการต่อสู้ของเขาไม่อาจเทียบเจ้าเด็กนั่นได้เลย
เจ้าเด็กนั่นมันช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว พรสวรรค์แข็งแกร่งจนน่ากลัว ประสบการณ์การต่อสู้ของเจ้าเด็กนั่นเหนือชั้นไปไกลจนศิษย์ของเขาผู้นี้ไม่อาจเทียบได้
มู่เฉียนซีกล่าว “นายน้อยรองแห่งตำหนักเป่ยหาน ฝีมือก็งั้น ๆ! เพียงแค่เจ็ดกระบวนท่าก็รับไม่ไหวซะแล้ว”
ทุกคนต่างก็ตะลึงขึ้น “มู่หรงเฉียนเยี่ยชนะแล้ว!”
“ชนะแล้ว นึกไม่ถึงว่าเขาจะชนะแล้ว!”
“ไม่เพียงแค่ชนะเท่านั้น แต่เพียงแค่เจ็ดกระบวนท่าก็เอาชนะนายน้อยรองได้แล้ว”
“หากตาเจ้าไม่ได้ฝาดไป พลังวิญญาณของมู่หรงเฉียนเยี่ยเป็นแค่ขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับหกเท่านั้น จักรพรรดิแห่งภูตระดับหกสามารถเอาชนะนายน้อยรองที่มีพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหกได้ นี่เขายังเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือไม่!”
ตอนนี้นายน้อยรองแทบจะหาที่เข้าไปมุดหัวแล้ว กว่าจะทะลวงพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหกได้นั้นมันไม่ง่ายเลย และยังไม่ทันแสดงความสามารถอย่างเต็มที่ก็ต้องมาเจอกับผู้ประหลาดเช่นนี้แล้ว เขารู้สึกอับอายขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง
นายน้อยใหญ่ที่เดิมทีดูถูกมู่เฉียนซี ตอนนี้กลับจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยแววตาราวกับเหยี่ยว
มีมู่หรงเฉียนเยี่ยผู้นี้อีกคน นอกจากอวี้ปิงชิงที่เป็นศัตรูแล้ว เขายังมีมู่หรงเฉียนเยี่ยที่เป็นศัตรูเพิ่มมาอีกคน
หลังจากการประลองสิ้นสุดลง มู่เฉียนซีกล่าวกับกู้ไป๋อีว่า “เสี่ยวไป๋ ข้าไม่ได้ทำให้เจ้าขายหน้าหรอกกระมัง!”
“ซีเอ๋อร์ทำได้ยอดเยี่ยมมาก” กู้ไป๋อีกล่าว
ทุกครั้งที่อวี้ปิงชิงเห็นทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน นางมักจะมีความรู้สึกอย่างพรวดเข้าไปสับเนื้อมู่หรงเฉียนเยี่ยเป็นหมื่น ๆ ชิ้น
เพียงอีกไม่นาน! อีกไม่นานแล้ว เจ้ามู่หรงเฉียนเยี่ยผู้นี้ก็จะหายสาบสูญไปจากโลกใบนี้แล้ว จะไม่มีทางปรากฏตัวต่อหน้าท่านหัวหน้าตำหนักได้อีกต่อไปแล้ว
การประลองในรอบสิบหกคนสุดท้ายสิ้นสุดลง ต่อมาก็เป็นการประลองเข้ารอบสี่คนสุดท้าย
แต่ละครั้งที่จับฉลากมู่เฉียนซีโชคไม่ดีเอาซะเลย ครั้งนี้นางจับฉลากได้นายน้อยใหญ่!
ส่วนนายน้อยสี่ก็โชคไม่ดีเช่นกัน เพราะเขาจับฉลากได้คู่ต่อสู้เป็นอวี้ปิงชิง
เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่หรงเฉียนเยี่ย มีเพียงแค่อวี้ปิงชิงกับพี่ใหญ่เท่านั้นที่สามารถเอาชนะมู่หรงเฉียนเยี่ยได้ ตำแหน่งประมุขน้อยแห่งตำหนักเป่ยหานจะต้องเป็นหนึ่งในคนของพวกเขาแน่นอน
ในตอนนี้เขาต้องยอมรับความพ่ายแพ้เพราะความห่างชั้นของพลังวิญญาณระหว่างเขาและอวี้ปิงชิง
เขากล่าวขึ้นว่า “ข้ายอมแพ้!”
ส่วนคู่ต่อสู้ของนายน้อยสามก็เอ่ยปากยอมแพ้ไปเช่นกัน และตอนนี้ทุกคนต่างเพ่งเล็งความสนใจไปที่ลานประลองยุทธ์ของมู่เฉียนซีกับนายน้อยใหญ่ ดาวรุ่งพุ่งแรงผู้นี้ อัจฉริยะที่ท่านหัวหน้าตำหนักฝึกฝนได้มาประลองยุทธ์กับอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตำหนักเป่ยหานเช่นนี้ และนี่ต้องเป็นการประลองยุทธ์ที่ดุเดือดและน่าตื่นตาตื่นใจมากเป็นแน่