ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1335 หลอกจนหมดตัวให้โกรธตาย
“ซีเอ๋อร์” กู้ไป๋อีตะลึงค้าง
“มีคนที่ต้องการฝ่าผ่านที่ตรงนี้ไป ที่ตรงนี้อันตรายเป็นอย่างมาก เจ้าออกไปก่อน” กู้ไป๋อีกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้ารู้จักกับท่านลุงผู้นั้น ถ้าหากว่าเขาล้มเหลวพ่ายแพ้ข้ายังสามารถช่วยเหลือเบื้องต้นได้”
“เช่นนั้นก็ดี อย่าได้ห่างจากข้าเป็นอันขาด” กู้ไป๋อีกล่าว
เมฆลมเคลื่อนไหวรวดเร็ว ฟ้าฝนโหนพัดกระหน่ำ เม็ดทรายที่ปลิดปลิวจำนวนมากได้รบกวนการมองเห็นของมู่เฉียนซี
มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวไป๋ ข้าจำได้ว่าครั้งแรกที่พบเจ้านั้นก็เกิดภาพเช่นนี้ขึ้น”
กู้ไป๋อีตะลึงงันเล็กน้อย เมื่อนึกถึงมันในตอนนี้ มันช่างโชคดีเหลือเกินที่เกิดความพ่ายแพ้และจนตรอกในครั้งนั้น มิเช่นนั้นก็คงจะมิได้พบกับนาง
“รึว่าหากต้องการขึ้นไปยังตำแหน่งด้านบนนั้นมันจะต้องอันตรายเช่นนี้เลยรึ?”
มู่เฉียนซีเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟากฟ้า นางมักจะรู้สึกเสมอว่านี่เป็นช่วงเวลาแห่งสายฟ้ามหันตภัยของโลกทั้งสี่ทิศ และมีพลังกดดันที่แปลกประหลาดพลังหนึ่ง
กู้ไป๋อีกล่าว “หลายพันปีมานี้ ขอแค่เพียงจอมภูตสามารถฝึกบำเพ็ญไปจนถึงขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าเต็มขั้นได้ และรวบรวมพลังให้ถึงขั้นเพื่อดึงดูดฟ้าผ่า เช่นนั้นก็จะสามารถออกไปได้อย่างราบรื่น แต่ก็ไม่รู้ว่ามิติแห่งนี้ในโลกทั้งสี่ทิศได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นตั้งแต่เมื่อใด จอมภูติมิเพียงแต่ต้องเก็บสะสมรวบรวมพลังที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนนี้ถึงสิบเท่า แต่หากคิดที่จะขึ้นไปยังตำแหน่งด้านบนนั้นก็จะต้องผ่านสายฟ้าฟาดที่อันตรายกว่าเมื่อก่อนจึงจะขึ้นไปได้”
“หลายปีมานี้คนของโลกทั้งสี่ทิศที่สามารถผ่านฟ้าผ่าไปได้อย่างราบรื่นนั้นเกรงว่าคงจะมีอยู่ไม่เกินสิบคน”
“แต่ว่ามีค่ายกลส่งตัวระยะไกลที่สามสำนักใหญ่ขั้นสำนักนิกายระดับสามทิ้งเอาไว้เมื่อหมื่นปีก่อน สามารถออกไปได้โดยค่ายกลส่งตัวระยะไกล แต่ว่าแคว้นฟ้านอินนั้นจะไม่ยอมให้ผู้ที่มิใช่ศิษย์ของพุทธศาสนาใช้ค่ายกลส่งตัวระยะไกลอย่างแน่นอน ถ้าหากใช้ค่ายกลส่งตัวระยะไกลของตำหนักเป่ยหานหรือตำหนักตงจี๋ เช่นนั้นในภายหลังก็จะต้องไปรับใช้ราชวงศ์ตงหวงกับราชวงศ์เป่ยกง”
มู่เฉียนซีตะลึงค้าง “อันที่จริงแล้วด้วยพลังความสามารถของเสี่ยวไป๋มันก็เพียงพอที่จะขึ้นไปข้างบนตั้งแต่แรกแล้ว เจ้าไม่อยากจะไปที่ราชสำนักของราชวงศ์เป่ยกง ก็เลยเลือกหนทางที่อันตรายเช่นนี้?”
กู้ไป๋อีพยักหน้าแล้วกล่าว “ข้าไม่ยินดีที่จะกลับไปยังสถานที่เช่นนั้นอีกแล้ว แค่เพียงอยากที่จะหาสถานที่อันเงียบสงบสักแห่งไว้ฝึกยุทธ์”
มู่เฉียนซีมองไปยังเงาร่างที่อยู่กลางสายฟ้านั้นแล้วกล่าว “ดูแล้วท่านลุงผู้นั้นก็คงจะคิดเช่นเดียวกัน ล้มเหลวมาแล้วตั้งหลายครั้ง ร่างกายอันทรุดโทรมไม่อาจที่จะต้านทานสายฟ้าเอาไว้ได้อยู่ แต่กระนั้นแล้วก็ยังยินยอมที่จะทำตัวเป็นคนหนุ่มเป็นการชั่วคราวเพื่อที่จะฝ่าผ่านมันไปให้ได้”
เปรี้ยง! สายฟ้านั้นดุดันผิดปกติราวกับว่ามันไม่ยินยอมที่จะให้มนุษย์ออกจากที่ผืนดินแผ่นฟ้าแห่งนี้ไปได้
ชายสูงวัยนั้นร้องตะโกนขึ้น “ข้าจะไม่ยอมแพ้หรอก ข้ารึจะกลัวเจ้า”
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นกลบสายฟ้าอยู่ที่แลบอยู่ร่ำไป และมันก็ยังคงไม่ยอมแพ้อยู่เช่นเดิม
หลังจากที่สายฟ้าสุดท้ายฟาดลงมานั้น เงาร่างของท่านลุงผู้นั้นก็หายไปกลางอากาศ
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยความตกตะลึง “นั่นสำเร็จแล้ว”
กู้ไป๋อีกล่าว “อื้ม ผู้อาวุโสท่านนั้นมองความตายอย่างไม่เกรงกลัวและสู้ฝ่าไปอย่างเอาชีวิตเข้าแลก”
มู่เฉียนซีรู้สึกว่าภาพในฉากนี้ช่างอันตรายยิ่งนัก นางมองไปยังกู้ไป๋อีแล้วกล่าวขึ้น “เสี่ยวไป๋ หากครั้งต่อไปเจ้าจะเสี่ยงอันตรายจะต้องมีข้าอยู่ที่นั่นด้วย”
กู้ไป๋อีพยักหน้ากล่าว “มีเจ้าอยู่ข้าก็ไม่กลัวที่จะต้องล้มเหลวพ่ายแพ้อีกครั้ง”
แต่ว่า…
นางไม่อยากที่จะให้เขาต้องแบกรับสายฟ้าอันน่ากลัวเช่นนี้ แต่ก็รู้ดีว่าเขาจะไม่เลือกเส้นทางที่ง่ายดายนั้นแน่นอน
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “มีคนที่สาปแช่งตัวเองเยี่ยงนี้เช่นเจ้าด้วยรึ? ครั้งต่อไปจะต้องราบรื่นอย่างแน่นอนเสี่ยวไป๋!”
เสียงสายฟ้าจางหายไปแล้ว สายตาของมู่เฉียนซีก็สาดแววแห่งความฉงนออกมา
“ครั้งก่อนที่เจ้าเคราะห์ร้ายนั้นข้าไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าใดนัก แต่ในครั้งนี้ข้ารู้สึกว่ามิติของโลกทั้งสี่ทิศนั้นไม่ปกติเป็นอย่างมาก ราวกับว่ามันถูกพลังแห่งมิติที่แข็งแกร่งพลังหนึ่งกักขังมันเอาไว้ก็มิปาน”
แต่ทว่าจะมีพลังแห่งมิติอันแข็งกล้าอันใดที่จะสามารถจองจำโลกทั้งใบได้ เช่นนั้นแล้วมันจะมีประโยชน์อันใดเล่า?
กู้ไป๋อีกล่าว “เคยมีคนจำนวนไม่น้อยสงสัย แต่กลับไม่มีผู้ใดที่หาถึงสาเหตุต้นกำเนิดได้”
เมฆมืดดำสลายหายไป ท้องนภาเริ่มสดใส มู่เฉียนซีกล่าว “พวกเรากลับไปกันเถอะ แล้วก็ไปดูที่จัตุรัสค้าขายแลกเปลี่ยนสมุนไพรวิญญาณอีกครั้ง”
สมุนไพรวิญญาณของไห่ฝานนั้นไม่เหลือเลยแม้แต่สักต้นเดียว ต่อจากนี้ไปคงทำได้แต่เพียงใช้ยาลูกกลอนแลกซื้อเอาอย่างเดียว
โชคดีที่ในคลังของเขามีอยู่ไม่น้อย จึงซื้อของได้มาอยู่เป็นจำนวนมาก
“ข้าต้องการสิ่งนี้ เจ้าต้องการจะแลกกับอะไร?”
“ข้าต้องการยาซวนแบบน้ำของหอหมอปีศาจ อีกทั้งยังต้องเป็นรสองุ่น หลานของข้าชอบรสชาตินี้” ยายเฒ่าขายโอสถผู้หนึ่งกล่าวขึ้น
ไห่ฝานกล่าวด้วยความตะลึง “ยาซวนชนิดน้ำอะไรกัน ยาชนิดน้ำเช่นนั้นไม่เป็นที่นิยม เจ้ากลับจะเอาสมุนไพรวิญญาณที่ดีเช่นนี้แลกกับยาชนิดน้ำ อีกทั้งยังต้องเป็นรสองุ่น เจ้าเห็นว่ามันเป็นน้ำผลไม้หรือ?”
เสียงของไห่ฝานนั้นดังอยู่มิน้อย เหล่าผู้คนก็หมดคำจะพูดกล่าวกับเจ้าบ้านนอกนี้เป็นที่สุด
ยายเฒ่าเองก็มองดูอย่างรังเกียจแล้วกล่าว “แม้แต่ยาแบบน้ำของหอหมอปีศาจก็ยังไม่รู้จัก เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีประโยชน์แล้วเจ้าคนยากไร้ อย่าได้มารบกวนการค้าขายของข้า”
เจ้าคนยากไร้?
นายน้อยแห่งเกาะไห่เทียนจะเป็นผู้ยากไร้ได้อย่างไรเล่า ไห่ฝานโกรธเสียจนหน้าแดง
ในตอนนี้เองขวดยาสีม่วงขวดหนึ่งก็ได้วางลงตรงหน้าของยายเฒ่าผู้นั้น มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “ยายเฒ่า นี่เป็นยาน้ำที่ท่านต้องการ สมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ท่านจะขายให้แก่ข้าได้หรือไม่?”
ยายเฒ่ากล่าวอย่างตื่นเต้น “ได้ แน่นอนว่าได้”
ไห่ฝานได้เห็นแล้วว่าผู้ใดแย่งซื้อของของเขาไป เมื่อมองไปที่มู่เฉียนซีแล้วระเบิดความเกรี้ยวโกรธออกมา
“เจ้ากล้าที่จะแย่งซื้อของกับข้า”
มู่เฉียนซีกล่าวเย้ยหยัน “เจ้าสามารถแย่งซื้อของกับข้าได้ แล้วข้าจะไม่สามารถแย่งซื้อของกับเจ้าได้หรือ? หากเจ้าแน่จริงก็เพิ่มราคาสิ”
ไห่ฝานโกรธจัดด้วยหลายเหตุผล ถ้าหากว่าการเพิ่มราคานั้นเพิ่มด้วยยาลูกกลอนก็ยังสามารถเพิ่มราคาได้ แต่นี่เป็นยาชนิดน้ำที่แปลกประหลาดและไม่มีอยู่ จึงไม่สามารถลงมือได้
ไห่ฝานแทบอดไม่ได้ที่จะถลกหนังมู่เฉียนซีทั้งเป็น มู่เฉียนซีก็มองเมินเขาไปและไปเลือกซื้อสมุนไพรวิญญาณต่อ
จากนั้นของที่ต้องตามู่เฉียนซี ไม่ว่าจะได้ใช้ประโยชน์หรือไม่ก็ตาม ขอแค่เพียงใช้ยาลูกกลอนในการแลกเปลี่ยนซื้อขาย ไห่ฝานก็จะแย่งชิงมาเสีย
มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามขึ้น “อันนี้เท่าไร?”
ไห่ฝานกล่าว “สิ่งนี้ข้าจะเอา ข้าให้สองเท่า”
มู่เฉียนซีกล่าว “ในเมื่อนายน้อยไห่ชอบเช่นนี้ ของเหล่านี้ให้เจ้าก็แล้วกัน”
มู่เฉียนซีได้ไปยังอีกร้านหนึ่ง นายน้อยไห่ก็ไปแข่งขันแย่งซื้อเช่นเดิม
ด้วยความที่เกิดอาการหัวร้อนขึ้นชั่วขณะ รอจนเมื่อใช้สมุนไพรวิญญาณที่มีติดตัวมาไปจนหมดแล้วจึงพบว่าตนเองได้ซื้อสมุนไพรวิญญาณที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์มาอย่างมากมาย
อีกทั้งสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้นั้นไม่คุ้มกับสิ่งที่แลกไปเลยสักนิด เรียกได้ว่าขาดทุนอย่างย่อยยับ
หลังจากที่ยาลูกกลอนของไห่ฝานถูกใช้อย่างสิ้นเปลืองไปจนหมดสิ้น ยาเม็ดของมู่เฉียนซีกลับมีเหลืออยู่อย่างเพียงพอ จากนั้นนางจึงไปซื้อสมุนไพรวิญญาณที่นางอยากจะได้จริง ๆ
ที่เลือกมาเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงของที่เอาไว้หลอกเจ้าหมอนั่นเท่านั้น
หลังจากที่รู้สึกตัวแล้ว ไห่ฝานก็นึกขึ้นได้ เขากัดฟันมองไปยังมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “เจ้าตั้งใจ เจ้าตั้งใจหลอกข้า”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างไร้เดียงสา “ข้าหลอกเจ้า เจ้ามีหลักฐานเหรอ? สมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เจ้ายินดีที่จะซื้อเอาไว้เอง มาตอนนี้กลายไปคนยากไร้แล้วก็มาโทษข้า”
“เจ้า…” ไห่ฝานโกรธเสียจนจะพุ่งเข้าไปลงมือกับมู่เฉียนซี แต่ทว่าผู้ติดตามของเขาได้เข้ารั้งเอาไว้
“นายน้อย ใจเย็น ๆ ลงหน่อยเถิด เมื่อถึงตอนงานแข่งขันปรุงยาท่านก็ค่อยทำให้นางได้เห็นดำเห็นแดงกันไปเลยก็พอแล้ว อย่าได้ทำการอะไรวู่วามชั่วขณะในที่แห่งนี้”
มิใช่ว่าพวกเขาชาวเกาะไห่เทียนเกรงกลัวตำหนักเป่ยหาน แต่เป็นเพราะตอนนี้พวกเขาอยู่ในถิ่นที่ของผู้อื่น อีกทั้งที่แห่งนี้ยังมีหัวหน้าตำหนักที่แข็งแกร่ง พวกเขาจึงจำต้องระมัดระวัง
ในหอชาที่อยู่ไม่ห่างไกลออกไปนัก สตรีชุดขาวผู้หนึ่งที่เห็นเรื่องราวเหล่านี้ก็ได้กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “จงไปเชิญคุณชายผู้นั้นมา”
.
.