ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1400 ฉีกวิญญาณ
กู้ไป๋อีกล่าว “ซีเอ๋อร์ ไป๋อู๋ห่ายข้ามอบให้เจ้าเป็นคนจัดการก็แล้วกัน!”
มู่เฉียนซีเดินไปตรงหน้าไป๋อู๋ห่ายและกล่าวว่า “ตำหนักตงจี๋ของพวกเจ้าพ่ายแพ้แล้ว ดังนั้นตำหนักตงจี๋ก็ควรตกเป็นของพวกข้า ไป๋อู๋ห่าย เจ้าไม่มีหมากไว้ปกป้องชีวิตแล้ว”
ไป๋อู๋ห่ายหวาดกลัวจนสั่นไปทั้งตัว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง!
เขาตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ท่านหมิงจี ช่วยข้าด้วย…ท่านหมิงจี…”
ตอนนี้หมิงจีกำลังต่อสู้กับจื่อโยวอยู่ข้างนอก ไฉนเลยจะมีเวลามาสนใจคนอย่างเขา!
จิ่วเยี่ยเหลือบไปมองหมิงจี พลังสีดำมืดได้ทำลายมิตินี้จนแตกละเอียด!
“หวงจิ่วเยี่ย!”
เมื่อหมิงจีเห็นจิ่วเยี่ยก็ตื่นตระหนกและหวาดกลัวขึ้นแล้ว พลังแห่งนรกกำลังแผดเผา ฉีกกระชากมิติแห่งนี้
หนี!
ในหัวหมิงจีตอนนี้มีแต่คำนี้เท่านั้น
หวงจิ่วเยี่ยกล่าวกับจื่อโยวว่า “ตามไป!”
จากนั้นเขาก็อยู่เฝ้าข้างกายมู่เฉียนซี แม้ว่าศัตรูตัวฉกาจจะถูกกำจัดไปแล้ว แต่เขาก็จะไม่ยอมให้ซีเป็นอันตรายแม้แต่น้อย
“ไม่มีใครช่วยเจ้าได้ หมิงจียังเอาตัวเองไม่รอดเลย เจ้าเป็นอาหารสังเวยกระบี่มังกรเพลิงซะเถอะ!”
ทันทีที่กระบี่มังกรเพลิงขยับ คมกระบี่ก็แทงทะลุหัวใจของไป๋อู๋ห่ายทันที!
อ๊า! ไป๋อู๋ห่ายส่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด วิญญาณของเขานั้นถูกกระบี่มังกรเพลิงกลืนกินจนสิ้น
และทันทีที่ข้อมือของจิ่วเยี่ยขยับ ร่างของไป๋อู๋ห่ายก็กลายเป็นโครงกระดูกขาว และชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นผุยผงทันที
ไป๋อู๋ห่ายผู้เป็นหัวหน้าตำหนักตงจี๋สิ้นชีวิตไปแล้ว วิญญาณถูกกลืนกิน ศพก็ไร้ร่องรอย
มู่เฉียนซีเดินออกไป หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินกล่าวว่า “อมิตาพุทธ! อมิตาพุทธ!”
มู่เฉียนซีกล่าว “หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอิน ท่านเป็นพยาน แต่กลับทำได้ไม่ดี ช่างน่าผิดหวังนัก”
“มันเป็นความผิดของอาตมาเอง!” หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินก้มหน้าพลางกล่าว
“เช่นนั้นก็ต้องเอาตำหนักตงจี๋มารวมกัน ได้โปรดหัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินช่วยเหลือด้วย แม้ว่าตำหนักตงจี๋จะขาดผู้มีฝีมือไป แต่กิ่งก้านก็ยังมีอยู่ไม่น้อย จัดการยาก”
หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินกล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “ได้แน่นอนอยู่แล้ว!”
“ครั้งนี้พวกข้าสูญเสียไปไม่น้อย แต่หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอิน ในฐานะที่เป็นผู้ตัดสินและพยานกลับนิ่งดูดาย ข้าก็อยากได้คำอธิบายเรื่องนี้เช่นกัน”
หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินก็จนปัญญา นั่นมันเป็นมิติกักขัง พวกเขาไม่สามารถเข้าไปได้! ไม่ได้หมายความว่าพวกเขานิ่งดูดายสักหน่อย
“ก่อนหน้านี้ก็ให้คำมั่นเอาไว้แล้วว่าจะตัดสินอย่างยุติธรรม ความยุติธรรมของแคว้นเทพฟ้านอินก็ไม่ได้ดีสักเท่าไร”
หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินกล่าวด้วยเสียงขมขื่น “พวกเราจะชดเชยให้!”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “เรื่องชดเชยมันต้องชดเชยแน่นอนอยู่แล้ว แต่ข้ายังมีเรื่องจะขออีกเรื่อง”
หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินกล่าวถามด้วยความสงสัย “เรื่องอันใด?”
“พวกท่านต้องรับปากข้าเดี๋ยวนี้ ว่าไม่ว่าโอรสศักดิ์สิทธิ์อินรั่วเฉินจะกำลังเก็บตัวฝึกบำเพ็ญอยู่หรือว่าอยู่ที่ใด ให้ส่งตัวเขามาที่ตำหนักเป่ยหานโดยด่วน! ข้าอยากเชิญเขามาเป็นแขกที่ตำหนักเป่ยหานสักสองสามวัน คำขอนี้คงจะไม่เกินไปกระมัง!”
“เรื่องนี้ เอ่อ…”
“วางใจได้ โอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอินเป็นคนที่จิตใจดีมีเมตตา ไม่ว่าใครก็ไม่อาจฆ่าเขาได้หรอก ข้าเองก็จะไม่ฆ่าเขาเช่นกัน หัวหน้าแคว้นไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย แต่หากท่านไม่ตอบตกลง เรื่องในวันนี้ ตำหนักเป่ยหานไม่จบง่าย ๆ แน่”
หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ตกลง!”
คนของแคว้นเทพฟ้านอินล่าถอยไปแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่คนของหอหมอปีศาจกับตำหนักเป่ยหาน
ส่วนคนอื่น ๆ ที่มาดูชมการประลองก็ได้ล่าถอยไปตั้งแต่เกิดการต่อสู้กันก่อนหน้านี้แล้ว เพราะกลัวว่าจะโดนลูกหลง
ไม่นานนักจื่อโยวก็กลับมา
จื่อโยวกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่นว่า “เยี่ย หมิงจีหนีไปแล้ว”
“หนีไปแล้วอย่างนั้นเหรอ!” ชั่วครู่หนึ่ง อุณหภูมิทั่วทั้งเกาะไม่หวนคืนก็ลดต่ำลงมาก
จื่อโยวเองก็หวาดกลัวจนเหงื่อเย็นท่วมตัว “มีคนช่วยนางเอาไว้ เห็นไม่ชัดว่าคนผู้นั้นเป็นใคร แต่ข้าก็ไล่ตามไปแล้ว แต่คนพวกนั้นก็ยังหนีไปได้”
“เจ้ากลับไปที่คุกโลหิตได้แล้ว ไปรับโทษที่ทะเลโลหิต ทะเลเพลิงซะ!”
สีหน้าของจื่อโยวเจ็บปวดขึ้นมาทันที “เยี่ย นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้วกระมัง! ข้าต้องถูกถลกเนื้อหนังมังสาเป็นแน่ พระเจ้าช่วย! ข้าจะอยู่ปกป้องคนงามที่ดินแดนสี่ทิศ เจ้า…”
จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีและกล่าวว่า “ซีมีคนปกป้องอยู่แล้ว เจ้าไสหัวไปได้แล้ว!”
จื่อโยวรู้สึกราวกับโลกกำลังจะแตกสลาย ต่อให้อยากตายมากเพียงใดก็ทำได้แค่ไสหัวไปเท่านั้น
การต่อสู้ระหว่างตำหนักตงจี๋กับตำหนักเป่ยหานกึกก้องไปทั่วทั้งดินแดนสี่ทิศ
หลังจากที่คนของตำหนักเป่ยหานออกจากเกาะไม่หวนคืนกลับมายังตำหนักเป่ยหานอย่างปลอดภัย จากนั้นก็ดำเนินการรวบรวมและปราบปรามตำหนักตงจี๋
ตำหนักเป่ยหานชนะ นับจากนี้ต่อไป ดินแดนสี่ทิศจะมีกองกำลังระดับสามเพียงแค่สองกองกำลังเท่านั้น
แต่จะว่าเช่นนี้ก็ไม่ถูก ความแข็งแกร่งของหอหมอปีศาจนั้นเพียงพอที่จะเป็นกองกำลังระดับสามเช่นกัน
หัวหน้าตำหนักตงจี๋สิ้นชีวิตไปแล้ว ธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็สิ้นชีวิตไปแล้ว นายน้อยอวิ๋นซิวก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ยอดฝีมือที่มีกำลังน้อยนิดต่างก็ล้มตายไปหมดแล้ว
ตอนนี้ความสามารถของตำหนักตงจี๋ไม่อาจเทียบได้แม้กระทั่งกองกำลังระดับสอง จะต้านทานการโจมตีที่แข็งแกร่งของตำหนักเป่ยหานได้อย่างไรกันเล่า
เดิมทีกองกำลังอื่นก็มีความคิดจะแย่งชิงตำหนักตงจี๋ไปด้วย แต่กองกำลังที่โหดร้ายและน่ากลัวอย่างตำหนักเป่ยหาน อีกทั้งยังมีแคว้นเทพฟ้านอินคอยช่วยเหลืออยู่เช่นนี้ ใครจะกล้าเข้ามาแทรกมือรนหาที่ตายกันเล่า
ผู้อาวุโสสูงสุดถูกจับขังคุกใต้ดิน หลังจากที่มู่เฉียนซีจัดการเรื่องต่าง ๆ เสร็จก็ไปหาเขาทันที
ผู้อาวุโสสูงสุดเห็นมู่เฉียนซีเดินมา เขาก็กล่าวขึ้นว่า “ฆ่าข้าซะเถอะ!”
มู่เฉียนซีกล่าว “ใช่! ข้ามาวันนี้ก็เพื่อจะมาฆ่าเจ้า”
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวเย้ยหยันว่า “ฮ่า ๆ ๆ! ต่อให้เจ้าฆ่าข้าเพื่อล้างแค้นให้มู่เฟิงหลิง เจ้าก็ช่วยเขาไม่ได้อยู่ดี เจ้าจะต้องสูญเสียอารองผู้ที่รักเจ้าสุดหัวใจผู้นั้นไปตลอดกาล!”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ใครบอกว่าข้าช่วยอารองไม่ได้! ข้าทำได้!”
ฉึก! คมกริชเล่มหนึ่งแทงเข้าตรงหัวใจของผู้อาวุโสสูงสุด
ดวงตาของผู้อาวุโสสูงสุดเบิกกว้างขึ้น และนี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด!
อ๊า!
ผู้อาวุโสสูงสุดรู้สึกถูกดึงวิญญาณออกไป ความเจ็บปวดที่วิญญาณออกจากร่างนั้นทำให้เขาส่งเสียงร้องครวญครางออกมา
“มู่เฉียนซี เจ้าทำอะไร เจ้าดึงวิญญาณข้าเพื่อทำสิ่งใด?”
มู่เฉียนซีกักขังวิญญาณของเขาเอาไว้ และเดินออกมาจากคุกใต้ดิน จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่วังใต้ดิน
“เมื่อถึงเวลา เจ้าก็จะรู้เอง”
เมื่อมาถึงวังใต้ดิน ผู้อาวุโสสูงสุดมองไปที่มู่เฟิงหลิงที่ดูเหมือนว่ากำลังนอนหลับใหลอยู่ผู้นั้น
ร่างของมู่เฟิงหลิงถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี และสิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดคิดไม่ถึงนั่นก็คือ เขารู้สึกได้ว่าร่างของมู่เฟิงหลิงมีพลังแห่งชีวิตอยู่
“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้!”
“คำสาปสะท้อนกลับ ร่างกายจะถูกทำลาย ดวงจิตจะดับสลาย แต่เหตุใดมู่เฟิงหลิงถึงไม่เป็นอะไร ไม่จริง! นี่มันไม่ใช่เรื่องจริง!” ผู้อาวุโสสูงสุดร้องครวญคราง
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อารองของข้าย่อมไม่เป็นอะไรแน่นอนอยู่แล้ว!”
“เขาจะต้องรอด!”
“ซี!” มู่เฉียนซีจะลงมือใช้วิชาคำสาป จิ่วเยี่ยจึงโอบกอดนางเข้ามาจากด้านหลัง
เขารู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย อย่างไรเสียนั่นก็คือวิชาคำสาป พลังของวิชาคำสาปนั้นมันยากที่จะควบคุมได้
มู่เฉียนซีจับมือจิ่วเยี่ยแน่น “ไม่ต้องเป็นห่วง ครั้งนี้ไม่มีทางล้มเหลวแน่นอน! และข้าก็จะไม่เป็นอะไร!”
วิญญาณของผู้อาวุโสสูงสุดมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น และนางก็มีเพียงโอกาสเดียวที่จะแก้คำสาปให้อารอง หากทำพลาด ก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว
มู่เฉียนซีรวบรวมพลังจิตทั้งหมดและอ่านตำราหมื่นคำสาปในหัวหลายต่อหลายรอบ
แววตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ จากนั้นนางก็เริ่มโคจรพลังวิญญาณขึ้นและทำการฉีกวิญญาณของผู้อาวุโสสูงสุด
ใช่! มันคือการฉีกวิญญาณนั่นเอง!
อ๊า! วิญญาณของผู้อาวุโสสูงสุดส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างทรมาน!
วิญญาณถูกฉีกออกจนแตกกระจาย ผู้อาวุโสสูงสุดรู้สึกว่าดวงจิตของตัวเองกำลังดับสลาย ความรู้สึกเช่นนี้มันช่างทรมานเหลือเกิน
ไม่เพียงเท่านี้ เขายังเห็นวิญญาณของตัวเองพลันเปลี่ยนเป็นอักขระสาป และมันคืออักขระสาปสีดำ
“เจ้า…เจ้า…นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะใช้วิชาสาปเป็นด้วย แถมยังเป็นวิชาสาปชั้นสูงเช่นนี้อีก นี่มัน เป็นไปได้ยังไง?”
“สาวน้อยตระกูลมู่แห่งราชวงศ์ตงหวงสามารถฝึกฝนวิชาคำสาปได้!”
เห็นได้ชัดว่ามีเพียงแค่สายเลือดเผ่าคำสาปของพวกเขาเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนวิชาคำสาปได้!
หากเป็นเช่นนี้ ก็มีเพียงแค่เหตุผลเดียวแล้ว…
“มู่ซวน มู่ซวนมอบของสิ่งนั้นให้แก่เจ้าแล้ว…ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง…ข้าไม่นึกเลยว่าข้าจะพลาดโอกาสดี ๆ เช่นนี้ไปได้…”
“ข้าไม่ยอม! ไม่! ข้าไม่ยอม!”
.