ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1430 ไม่มีผู้ใดกล้าขวาง
ในขณะที่หอฉงโหลวบนเมฆาเคลื่อนตัวเดินทางอยู่นั้น มู่เฉียนซีก็ปรุงยารักษาอาการบาดเจ็บของคนเผ่าโบราณเหล่านี้
ฉึก ๆ ๆ!
เข็มยาแต่ละเข็มปักลงบนร่างของพวกเขา ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว!”
“ข้าหายแล้ว!”
“ขอบคุณท่านหมอมากขอรับ!”
พวกเขามองไปที่มู่เฉียนซีด้วยความตื่นเต้นและซาบซึ้งใจ ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับความช่วยเหลือแล้ว
กู่ถานกล่าว “นายท่าน พวกเราต้องขอบคุณท่านมาก หากท่านมีเรื่องอันใดให้พวกเราทำ ต่อให้ต้องตายพวกเราก็ไม่เสียดายชีวิต!”
เมื่อก่อน พวกเขาเคยมีจิตใจอันทะเยอทะยานต้องการเอาชนะแคว้นเทพฟ้านอินให้ได้ เพื่อจะได้กลายเป็นผู้คุมอำนาจในแดนตะวันตก
แต่เผ่าโบราณได้เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว พวกเขาเกือบถูกทำลายล้างไปทั้งเผ่า และพวกเขาก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่กบในกะลาเท่านั้น
ตอนนี้ความปรารถนาของพวกเขาก็คือการได้มีชีวิตอยู่ต่อไป และได้ฝึกฝนพลังวิญญาณเท่านั้นแล้ว
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “ข้าได้รับของตอบแทนแล้ว แต่หากพวกเจ้าไม่มีที่ไป ข้ายังขาดลูกน้องอยู่ พวกเจ้าไปช่วยได้”
“ขอบคุณท่านหมอปีศาจมากขอรับ!”
“ขอบคุณท่านหมอปีศาจ!”
“……”
สถานที่ที่พวกเขาจากมา พวกเขาไม่สามารถกลับไปได้แล้ว การที่ท่านหมอปีศาจรับพวกเขาเอาไว้ ช่างเป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก
ในตอนนี้เอง หอฉงโหลวก็กล่าวขึ้นว่า “นายท่าน ถึงตำหนักเป่ยหานแห่งแดนเหนือแล้วขอรับ เราจะออกจากม่านเมฆได้เลยหรือไม่ขอรับ?”
มู่เฉียนซีกล่าว “เตรียมพร้อมได้เลย!”
คนของเผ่าโบราณเหล่านั้นกล่าว “นายท่าน ข้าจะไปกับนายท่าน!”
“นายท่าน!”
พวกเขาไม่รู้ว่ามู่เฉียนซีมาที่ตำหนักเป่ยหานด้วยเหตุอันใด แต่พวกเขารู้ดีว่าตอนนี้คนของตำหนักเป่ยหานกำลังตามจับตัวนางอยู่ ให้นางไปคนเดียวเช่นนี้ มันอันตรายเกินไปจริง ๆ
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าคุ้นเคยกับตำหนักเป่ยหานมาก แต่พวกเจ้าไม่คุ้นเคยกับตำหนักเป่ยหานเลยสักนิด ข้าไปคนเดียวสะดวกกว่า พวกเจ้ารักษาตัวอยู่ในหอฉงโหลวกันก่อนเถอะ!”
“ขอรับ!”
เห็น ๆ กันอยู่ว่านี่เป็นเวลากลางวันแสก ๆ แต่ท้องฟ้ากลับมืดครึ้มขึ้นมาเสียอย่างนั้น
พวกเขาเห็นหอฉงโหลวขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นกลางอากาศเช่นนี้ก็ตกตะลึงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “หอฉงโหลวนี่เหมือนกับหอฉงโหลวที่ปรากฏขึ้นตอนที่ประมุขน้อยจากไปไม่ใช่เหรอ?”
“หรือว่า…ประมุขน้อยจะกลับมาแล้ว!”
“มู่เฉียนซีบุกมาแล้ว เตรียมป้องกันเร็วเข้า! เตรียมป้องกันเร็ว!”
ในขณะที่พวกเขาเตรียมป้องกันนั้น ร่างในชุดสีม่วงร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ
“มังกรเพลิงสังหาร!”
“บัวแดงพิฆาต!”
เปลวไฟสีแดงฉานนั้นพุ่งลงมาจากกลางอากาศราวกับอุกกาบาต ไม่เพียงเท่านี้ ผงยาสีเทายังถูกโปรยปรายด้วยลงมาราวกับสายฝน
ค่อก ๆ ๆ!
ตูม ปัง ปัง!
ภายในชั่วพริบตาเดียว ตำหนักเป่ยหานก็เกิดความโกลาหลขึ้น
เขม่าควันโจมตีลงไป คนจำนวนมากล้มลงไปนอนกองกับพื้น และไม่สามารถพยุงตัวลุกขึ้นมาได้
และในตอนนี้สองเท้าของมู่เฉียนซีก็ได้จรดลงบนพื้นดินแล้ว
ร่างของนางหมุนตัวเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และกระบี่ยาวเล่มหนึ่งในมือนางก็ได้วางทาบลงบนคอของผู้อาวุโสท่านหนึ่งแล้ว
ผู้อาวุโสผู้มีพลังขั้นมหาจักรพรรดิระดับเก้าผู้นี้หวาดเสียจนเหงื่อเย็นผุดพรายขึ้นท่วมตัว “ประมุขน้อย ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย! อย่าฆ่าข้าเลย”
พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าประมุขน้อยแห่งตำหนักเป่ยหานของพวกเขานับวันจะยิ่งวิปริตมากขึ้นถึงเพียงนี้
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หึ! พวกเจ้ายังจำได้อยู่เหรอว่าข้าคือประมุขน้อยของพวกเจ้า!”
ถึงแม้ว่าเป่ยกงจั๋วจะประกาศตามจับตัวนางไปทั่วทั้งดินแดน แต่ตำแหน่งของนางก็ยังไม่ถูกปลดออก
“ประมุขน้อย ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นคำสั่งของท่านหัวหน้าตำหนักทั้งสิ้น พวกเรา เอ่อ…พวกเราก็ไม่ได้อยากตั้งตนเป็นศัตรูกับประมุขน้อยเลยขอรับ!”
ในตอนนี้เอง ร่างในชุดขาวสามร่างก็ได้เคลื่อนไหวเข้ามา
พวกเขาสามคนนี้ก็คือคนที่เป่ยกงจั๋วสั่งให้ปกป้องอยู่ที่ตำหนักเป่ยหานนั่นเอง ส่วนคนอื่นทั้งหมดได้ติดตามเป่ยกงจั๋วไปตามล่าตัวมู่เฉียนซีที่แดนตะวันตกกันหมดแล้ว
“มู่เฉียนซี นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะกล้ามาเหยียบตำหนักเป่ยหานถึงที่เช่นนี้ เด็ก ๆ จับตัวนางเดี๋ยวนี้!”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “ในที่สุดพวกเจ้าก็โผล่หัวออกมาจนได้ ออกมาได้ก็ดี!”
“อู๋ตี้ เสี่ยวหง ชิงอิ่ง จัดการ!”
“ส่วนพวกเจ้า หากไม่อยากตายก็อย่าได้เข้ามาขวางข้า!” มู่เฉียนซีกล่าวเตือนคนอื่น ๆ
ตูม เปรี้ยง เปรี้ยง!
อู๋ตี้ เสี่ยวหง และชิงอิ่งรับมือกับสามคนนั้น แม้ว่าพวกเขาสามคนจะเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุด แต่อู๋ตี้ เสี่ยวหงและชิงอิ่งก็รับมือได้สบาย
ส่วนคนอื่นที่เหลือก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อฟังคำสั่งใครดี!
พวกเขาไม่กล้าล่วงเกินประมุขน้อย ส่วนท่านผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นพวกเขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่งเช่นกัน พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่ลังเล
ตูม เปรี้ยง เปรี้ยง!
และสิ่งที่ทำให้ยอดฝีมือสามคนนั้นกลัดกลุ้มใจมากที่สุดก็คือ มู่เฉียนซีหายตัวไปแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเขาทั้งสามก็ไม่อาจรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของนาง
ฉึก!
เข็มยาเข็มหนึ่งพุ่งออกไป คอของหนึ่งคนในนั้นปรากฏรอยเลือดขึ้น
และในขณะที่เขากำลังจะโคจรพลังวิญญาณขึ้น จู่ ๆ ก็รู้สึกหน้ามืดลง
ขวับ! บนร่างกายปรากฏรอยแผลจากการข่วนของกรงเล็บแมว บาดแผลนั้นลึกจนเห็นกระดูก
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ! เข็มยาหลายเข็มพุ่งไปที่อีกคนหนึ่งราวกับสายฝน
พวกเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นแล้ว “มู่เฉียนซี เจ้า! นี่เจ้าใช้อาวุธลับลอบโจมตีเหรอ!”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าจะใช้อะไร พวกเจ้าก็ไม่อาจขวางได้!”
มู่เฉียนซีมีความสามารถใดนั้นพวกเขาย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ เข็มยาของนาง มีพิษร้ายแรงแน่นอน
พวกเขาพยายามหลบหลีกเข็มยาของมู่เฉียนซีอย่างสุดกำลังความสามารถ แต่ว่า…
เสี่ยวหง ในฐานะที่เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหกนั้นก็ใช่ว่าฝีมือจะธรรมดา!
“เพลิงเผาสวรรค์!”
พรึ่บ! ชั่วพริบเดียวร่างของเขาก็ถูกไฟครอกขึ้น
อ๊า!
“ท่านผู้ยิ่งใหญ่!” เมื่อเห็นคนผู้นี้ต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชเช่นนี้ คนอื่นก็ตื่นตระหนกขึ้นแล้วเช่นกัน
แต่เมื่อเห็นสัตว์พันธสัญญาผู้ดุร้ายสองตัวนั้นของประมุขน้อยแล้ว พวกเขาก็ไม่กล้าเข้าไปช่วย
อู๋ตี้กับเสี่ยวหงรับมือกับศัตรูยังจำเป็นต้องให้มู่เฉียนซีช่วย แต่ชิงอิ่งนั้นไม่จำเป็นต้องให้ช่วยเลย!
กร่อก ๆ! แขนทั้งสองข้างถูกทำลายลงแล้ว
พลังวิญญาณถูกปิดกั้น คนผู้นั้นถูกชิงอิ่งถีบจนถลาไปอยู่ตรงหน้ามู่เฉียนซี
พลั่ก! เข่าทั้งสองข้างถูกแตะ จนเขาคุกเข่าลงตรงหน้ามู่เฉียนซี
เขาจ้องหน้ามู่เฉียนซีและกล่าวด้วยความโกรธว่า “อีกไม่นานฝ่าบาทก็จะกลับมาแล้ว มู่เฉียนซี เจ้าไม่มีทางหนีรอดแน่”
ฉึก! เข็มยาเข็มหนึ่งปักเข้าตรงหัวใจของเขา
อ๊า! ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกราวกับถูกแมลงพิษกัด และแมลงพิษนับไม่ถ้วนเหล่านี้ก็กำลังคืบคลานมากัดหัวใจของเขาอย่างบ้าคลั่ง
ความทรมานนี้ต่อให้กระดูกของเขาแข็งมากเพียงใดก็ไม่อาจทนได้
มู่เฉียนซีกล่าวเสียงต่ำว่า “เป่ยกงจั๋วขังกู้ไป๋อีไว้ที่ไหน?”
เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “มู่เฉียนซี อย่าหวังว่าเจ้าจะได้รู้เลย ต่อให้ข้าตาย ข้าก็ไม่มีทางบอกเจ้า เจ้าตัดใจเสียเถอะ!”
“ดูท่าเจ้าจะยังทรมานไม่พอ ไม่เป็นไร ข้าจัดให้เจ้าเอง!”
ฉึก ๆ! เข็มยาอีกสองเข็มปักเข้าที่ขาของเขา
“หยุดนะ! มู่เฉียนซี เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“ฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยเจ้าแน่ ฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยเจ้าแน่ มู่เฉียนซี!”
“อ๊า! ข้าบอกแล้ว ข้าบอกยอมบอกแล้ว เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ในที่สุด ความทรมานราวกับตายทั้งเป็นนี้ก็ทำให้เขายอมปริปากบอกจนได้
“นำทางไปเดี๋ยวนี้!”
แม้แต่ยอดฝีมือระดับสูงสุดสามคนก็พ่ายแพ้ไปด้วยน้ำมือของมู่เฉียนซีแล้ว ตอนนี้ตำหนักเป่ยหานไม่เหลือผู้แข็งแกร่งแล้ว จึงไม่มีผู้ใดกล้ามาขวางมู่เฉียนซีอีกต่อไป
ครั้นแล้วคนผู้นั้นจึงทำนางมู่เฉียนซีไปที่วังใต้ดิน
วังใต้ดินแห่งนี้กว้างใหญ่มาก หลังจากที่เดินผ่านเส้นทางที่ยาวไกล ในที่สุดก็เดินมาถึงหน้าประตู
เขากล่าว “เขาอยู่ในนี้ อาการเป็นตายเท่ากัน และคาดว่าไม่มีทางรักษาได้แล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเสี่ยงอันตรายมาถึงที่นี่ก็เพื่อเขา เรื่องเช่นนี้ หากเป็นคนอื่น ไม่มีทางทำเด็ดขาด” หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้น่าจะทิ้งยอดฝีมือเอาไว้มากกว่านี้ ไม่ใช่เหลือพวกเขาเอาไว้แค่สามคนเช่นนี้