ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1490 เข้าสู่สภาวะหลับใหล
หายนะที่ทำลายล้างดินแดนสี่ทิศในครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะหยุดลงชั่วคราว
ไม่เพียงแต่เซี่ยโจวเท่านั้นที่สงบลง แดนตะวันออกก็สงบลงแล้วเช่นกัน
ซวนหยวนชิงอวิ๋นได้รับบาดเจ็บสาหัส “องค์ชายซวนหยวน รีบรักษาอาการบาดเจ็บเถอะพ่ะย่ะค่ะ!” มู่เอ้อร์กล่าว
ต้องยอมรับในความแข็งแกร่งของเขาจริง ๆ หากไม่ใช่เพราะการสนับสนุนขององค์ชายซวนหยวนแล้วละก็ พวกเขาต้องแย่เป็นแน่ และไม่มีทางยืนหยัดได้ถึงตอนนี้แน่นอน
ซวนหยวนชิงอวิ๋นกล่าว “แม้ว่าศึกรบจะหยุดลงแล้ว แต่ข้ายังเป็นห่วงเฉียนซีอยู่ดี ต้องรีบเดินทางไปแดนเหนือให้เร็วที่สุด”
“พ่ะย่ะค่ะ!” พวกเขาเองก็เป็นห่วงท่านผู้นำตระกูลเช่นกัน
“นายท่าน!” ณ แดนเหนือ ทันทีที่ศึกจบลง เซียวเหยาก็รีบมุ่งหน้าไปที่ใจกลางศึกใหญ่ทันที
“รั่วเฉิน!”
จู่ ๆ ลูกประคำของหัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินที่เฝ้าประจำการอยู่แดนตะวันตกก็ได้กลายเป็นผุยผง ทำให้ตอนนี้เขารู้สึกร้อนอกร้อนใจดั่งมีไฟสุม
ทุกคนล้วนแต่รีบมุ่งหน้าไปยังใจกลางศึกรบทันที
ทว่า ณ ตอนนี้ ที่แห่งนี้กลับน่าสะพรึงกลัวกว่าตอนที่รับมือกับเยี่ยเฉียมาก
กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวนี้ จิ่วเยี่ยเป็นคนแผ่ซ่านมันออกมา
พิฆาตวิญญาณใช้ร่างของมู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “เป็นอะไรไปล่ะ? จะลงมืออย่างนั้นเหรอ?”
จิ่วเยี่ยจะลงมือจริง ๆ แล้ว
พลังอันมืดฟ้ามัวดินปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ทุกคนที่กำลังมุ่งหน้ามา ณ ที่แห่งนี้ต่างรู้สึกหวาดผวาเป็นอย่างยิ่ง
“พลังอันชั่วร้ายนั่นหยุดลงแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วนี่มันพลังอะไรกันแน่?”
“พระเจ้าช่วย! ช่างน่ากลัวยิ่งนัก”
“……”
มู่อีก็มาถึงแล้ว เมื่อเขาเห็นพลังนี้ก็ตกตะลึงนิ่งอึ้งไปทันที
“นั่นมัน…นั่นมันพลังขององค์ชายจิ่วเยี่ย ไม่ผิดแน่นอน!”
ในฐานะที่เป็นองครักษ์เงาของท่านผู้นำตระกูล พวกเขาเคยรับรู้ได้ถึงพลังเช่นนี้มาหลายครั้งหลายคราแล้ว
องค์ชายจิ่วเยี่ยสูญเสียการควบคุมอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ เช่นนั้นท่านผู้นำตระกูลก็…
จิ่วเยี่ยปล่อยพลังนี้ออกมากักขังพิฆาตวิญญาณเอาไว้!
พิฆาตวิญญาณไม่ตอบโต้แต่อย่างใด อีกทั้งยังกล่าวอย่างไร้ท่าทีหวาดกลัวออกมาว่า “เจ้าช่างเก่งกาจยิ่งนัก สมแล้วที่เป็น…”
ฟึ่บ!
ลำแสงของกระบี่มังกรเพลิงพลันจางลง
“ออกไป!” จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงเย็นชา
แน่นอนว่าเขาต้องการให้พิฆาตวิญญาณไสหัวออกไปจากร่างมู่เฉียนซี
ทว่า พิฆาตวิญญาณจะยอมให้จิ่วเยี่ยสมปรารถนาได้อย่างไรกันเล่า
เขาไม่เพียงแต่ไม่ออกจากร่างของมู่เฉียนซีเท่านั้น แต่ยังแอบซ่อนอยู่ในทะเลจิตวิญญาณของมู่เฉียนซีอีกด้วย
เช่นนี้ ต่อให้จิ่วเยี่ยอยากทำลายพิฆาตวิญญาณมากเพียงใด แต่เมื่อเขาซ่อนตัวอยู่ในทะเลจิตวิญญาณของมู่เฉียนซีแล้ว จิ่วเยี่ยก็ไม่สามารถทำได้
หากจิ่วเยี่ยลงมือ มู่เฉียนซีก็จะได้รับบาดเจ็บไปด้วย
จิ่วเยี่ยจะทำใจทำเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า
พิฆาตวิญญาณไม่ได้ควบคุมร่างของมู่เฉียนซีอีกต่อไปแล้ว พลันนั้นร่างมู่เฉียนซีก็หมดสติลงและร่วงลงมาจากกลางอากาศ
ร่างในชุดดำพุ่งออกไป จิ่วเยี่ยอุ้มนางเอาไว้ในอ้อมแขน
เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศพลางกอดร่างของมู่เฉียนซีเอาไว้แน่น!
ทันใดนั้น ชุดคลุมยาวของเขาก็ฉีกขาด!
อักขระสาปสีดำกระจายไปทั่วร่างของจิ่วเยี่ยแล้วในตอนนี้!
ตุบ! ร่างของพวกเขาตกลงมาสู่พื้นดิน อักขระสาปเริ่มแพร่กระจายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวงจิ่วเยี่ย
ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกคู่นั้นตอนนี้พลันเปลี่ยนเป็นความกระหายเลือดอย่างไร้ความปรานี
แต่ถึงกระนั้นจิ่วเยี่ยก็ยังคงกอดมู่เฉียนซีเอาไว้ในอ้อมแขน
อยากจะให้คนในอ้อมแขนผู้นี้…
ฉึก! ทันใดนั้นเสื้อผ้าของมู่เฉียนซีก็หายไปแล้ว
ทันทีที่ปลายกระบี่ของกระบี่มังกรเพลิงขยับ นี่เป็นครั้งแรกที่พิฆาตวิญญาณได้เห็นถึงความเก่งกาจของวิชาสาปที่แข็งแกร่งที่สุดนี้
“ข้าปล่อยแมวน้อยไปก็ได้ แต่เจ้าต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง เจ้าต้องตายและดวงจิตของเจ้าต้องดับสลายไป” น้ำเสียงอันกระหายเลือดของพิฆาตวิญญาณดังขึ้น
“ไม่มีทาง!”
“ดูท่าแล้ว เจ้าก็คงจะไม่ได้ห่วงใยแมวน้อยมากมายถึงเพียงนั้น!”
“ข้าไม่เชื่อเจ้า!”
พิฆาตวิญญาณกำลังตกลงเงื่อนไขกับจิ่วเยี่ย ทำให้สติที่ปั่นป่วนของมู่เฉียนซีกลับมาแล้วในตอนนี้
“พิฆาตวิญญาณ เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้!”
อาศัยแค่พลังของมู่เฉียนซีแค่คนเดียว ไม่สามารถขับไล่พิฆาตวิญญาณออกไปได้
ทว่า ในตอนนี้ มู่เฉียนซีรู้สึกได้ว่าแสงแห่งธรรมอันบริสุทธิ์ผุดผ่องและพร่างพราวได้แผ่ซ่านออกมาจากจิตใต้สำนึกของนาง
นางเห็นร่างที่คุ้นเคยร่างนั้นและกล่าวขึ้นว่า “อินรั่วเฉิน ภิกษุ เจ้ายังไม่ตายเหรอ?”
“อมิตาพุทธ แม่นางมู่”
“เรื่องที่ข้ารับปากว่าจะคืนของให้เจ้า ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าควรคืนให้เจ้าแล้ว”
ฝักกระบี่สีแดงเข้มปลอกหนึ่งปรากฏขึ้นในจิตใต้สำนึกของมู่เฉียนซี
แม้มันจะไม่เหมือนกับที่เห็นเมื่อครั้งก่อน แต่มู่เฉียนซีก็รับรู้ได้ว่านี่คือฝักกระบี่ของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์
การปรากฏของฝักกระบี่ เพื่อปกป้องมู่เฉียนซี และขับไล่พิฆาตวิญญาณที่คิดจะทำร้ายนางออกไปจากทะเลจิตวิญญาณของนาง
พรวด! พิฆาตวิญญาณปรากฏตัวขึ้นต่อหน้ามู่เฉียนซี
เขาจับใบหน้าของอินรั่วเฉินที่สีหน้าซีดเผือด ก่อนจะกระอักเลือดคำโตออกมา
ฝักกระบี่ขวางหน้ามู่เฉียนซีไว้
พิฆาตวิญญาณกล่าวเสียงเหี้ยมว่า “ภิกษุบ้านั่น นึกไม่ถึงเลยว่าจะเล่นอุบายนี้กับข้า รนหาที่ตายยิ่งนัก!”
มังกรเพลิงตื่นเต้นขึ้นแล้ว “เสี้ยวเสี้ยว เสี้ยวเสี้ยวกลับมาแล้ว! เสี้ยวเสี้ยว พวกเรามาช่วยกันจับพิฆาตวิญญาณกันเถอะ พิฆาตวิญญาณทำเกินไปแล้ว เขาทำร้ายนายท่าน”
ฝักกระบี่ตอบสนองมังกรเพลิงทันที พลันนั้นมังกรเพลิงตัวหนึ่ง และฝักกระบี่ปลอกหนึ่งได้ห่อหุ้มพิฆาตวิญญาณเอาไว้
พิฆาตวิญญาณกล่าวดูถูกว่า “อาศัยเพียงแค่พวกเจ้าสองคน คิดจะจัดการข้าอย่างนั้นเหรอ ช่างคิดเพ้อฝันกันเสียจริง!”
ดูเหมือนว่าพลังของมังกรเพลิงจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย มันกล่าวว่า “พิฆาตวิญญาณ! ตอนที่วิญญาณกระบี่และจิตวิญญาณกระบี่หลอมเข้าด้วยกัน ข้าก็ได้รับพลังของเจ้ามาด้วย ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว ข้าต้องทำได้แน่นอน”
พิฆาตวิญญาณกล่าวเย้ยหยัน “สวะไร้ประโยชน์ ต่อให้เจ้าได้พลังของข้าไป เจ้าก็ยังคงเป็นสวะไร้ประโยชน์อยู่วันยังค่ำ!”
ตูม!
มังกรเพลิงและฝักกระบี่ได้ต่อสู้กันกับพิฆาตวิญญาณกลางอากาศ จิตสังหารอันกระหายเลือดและพลังธาตุอัคคีอันทำลายล้างปะทุขึ้นอย่างดุเดือด
ขณะที่มู่เฉียนซีกลับกอดจิ่วเยี่ยเอาไว้แน่น “จิ่วเยี่ย…”
“ยา ข้าจะช่วยเจ้ายับยั้ง…อือ…”
จิ่วเยี่ยกดทับร่างของมู่เฉียนซีให้นอนราบลงบนพื้นดิน เขากัดนางอย่างเหี้ยมโหด พัวพันนางไม่ยอมปล่อย
เรี่ยวแรงอันน้อยนิดของมู่เฉียนซีที่พยายามขัดขืนจิ่วเยี่ยนั้นไม่มีประโยชน์เลย ทำได้เพียงแค่ให้เขากระทำอย่างเหิมเกริมเช่นนี้ต่อไป
มู่เฉียนซีรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่ตลบอบอวลอยู่ปาก
พิฆาตวิญญาณเห็นภาพนี้เข้า ดวงตาอันกระหายเลือดคู่นั้นพลันดุดันขึ้นทันที
“พวกเจ้าหยุดได้แล้ว แมวน้อยถูกตัวประหลาดนั่นรังแกแล้ว”
มังกรเพลิงรู้สึกเจ็บ เขากล่าว “แต่นายท่านต้องการให้ข้าจัดการกับเจ้าก่อน!”
“แต่ตอนนี้นางจะถูกกินแล้ว เจ้ามันโง่เขลายิ่งนัก”
พิฆาตวิญญาณต้องการจะพุ่งไปที่มู่เฉียนซี แต่ยังคงถูกมังกรเพลิงกับฝักกระบี่ขวางเอาไว้
“ไม่ได้! ข้าไม่ให้เจ้าเข้าใกล้นายท่านเป็นอันขาด”
“พวกเจ้ามันรนหาที่ตายกันชัด ๆ พวกเจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าทำลายพวกเจ้าจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ?”
พิฆาตวิญญาณโกรธเกรี้ยวขึ้นแล้ว ไม่เพียงแต่โกรธเกรี้ยวเท่านั้น แต่ยังรู้สึกหงุดหงิดใจอีกด้วย
เห็นชายผู้นั้นใกล้ชิดกับแมวน้อยผู้ที่เขาต้องตา และจะกินแมวน้อยของเขาเช่นนี้ ในใจก็เกิดความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้น
จำเป็นต้องฆ่าชายผู้นั้น แมวน้อยของเขา มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถรังแกได้!
แต่สุดท้ายก็จนปัญญา เพราะมีสองตัวนี้คอยขัดขวางเขาเอาไว้
ทันทีที่การจูบอันบ้าคลั่งจบลง ภายใต้กลิ่นคาวเลือดที่กลบปากของมู่เฉียนซี ดูเหมือนว่าจิ่วเยี่ยจะได้สติขึ้นมาเล็กน้อย
นิ้วมืออันเรียวยาวของเขาสัมผัสลงบนใบหน้าของมู่เฉียนซี และมองมู่เฉียนซีอย่างลึกซึ้ง
สายตาคู่นี้เต็มไปด้วยความคิดถึงและอาลัยอาวรณ์ ทำให้มู่เฉียนซีรู้สึกตกใจมาก
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “จิ่วเยี่ย!”
พรวด! จิ่วเยี่ยกระอักเลือดสีดำคำโตออกมา
เขากล่าวเสียงต่ำว่า “ซี ข้าจะบังคับฝืนให้ตัวเองตกอยู่ในอาการหลับใหล ข้าทำร้ายเจ้าไม่ได้ ข้าไม่อาจทำร้ายเจ้าได้”
อักขระสาปสีดำถูกจิ่วเยี่ยยับยั้งเอาไว้ได้ แต่เขากำลังกระอักเลือดออกมาอย่างต่อเนื่อง!
.
.